May 8, 2024   12:49:06 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เคาะ เคาะ .....ทางสองแพร่งที่ต้องเลือก?
 

???
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
วันที่: 14/11/2006 @ 11:16:22
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

แนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระยะสั้นเริ่มส่งสัญญาณเตือนการปรับฐานราคา เริ่มชัดเจนขึ้นในทางเทคนิคซึ่งเป็นการฟ้องว่าทิศทางตลาดระยะสั้นจะมีความผันผวนมากขึ้นและนักลงทุนอาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการซื้อหุ้นเนื่องจากราคาหุ้นระยะสั้นเริ่มอิ่มตัวและอ่อนแรง และอาจจะนำมาสู่การปรับฐานราคาที่รุนแรงได้โดยกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้นอยู่ในกรอบ 730 -746 จุด หากต่ำกว่า 730 จุดคาดว่าจะเป็นสัญญาณการปรับลดการถือครองหุ้นในลักษณะที่รุนแรงขึ้น

แม้ว่าแนวโน้มหลักของทิศทางดัชนี ณ จุดปัจจุบันจะยังคงรักษาแนวโน้มขึ้นที่ดำเนินต่อไป หากดัชนีไม่ปรับตัวต่ำกว่าระดับ 735 จุดซึ่งจะเป็นจุดที่ตลาดจะต้องเลือกว่าจะขึ้นต่อหรือจะปรับฐานราคา แต่สัญญาณทางเทคนิคของดัชนีรายวันเริ่มส่งสัญญาณ เตือน ว่าแนวโน้มระยะสั้นเริ่มไม่ปลอดภัยโดยเฉพาะราคาหุ้นที่ฟื้นตัวค่อนข้างสูงที่ให้ผลตอบแทนในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมามากกว่า 15% คาดว่าจะเป็นเป้าหมายหลักสำหรับการขายทำกำไรระยะสั้น
นอกจากนี้คาดว่าจะเป็นหุ้นประเภทที่เล่นข่าวราคาหุ้นขึ้นมาเต็มมูลค่า และทางบริษัทได้ประกาศข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข่าวออกมาชัดเจนผ่านระบบแล้ว

ข้อสังเกตทางเทคนิคนั้นเป็นที่สังเกตว่าแม้ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์รายวันจะมีการสร้างจุดสูงใหม่บริเวณ
746 จุด แต่ Indicators บางตัวในทางเทคนิคกลับส่งสัญญาณ Divergence
ซึ่งหมายความว่า ดัชนีกับ Indicators เริ่มแยกทางกันเดิน ลักษณะเช่นนี้ เริ่มฟ้องว่า แนวโน้มตลาดระยะสั้นนั้นเริ่ม อิ่มตัวและพร้อมสำหรับการปรับฐานราคา รอเพียงตัวเร่งที่กระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนเท่านั้นที่จะทำให้การปรับตัวเกิดขึ้นเร็วหรือช้าแต่ในทางปฏิบัตินั้น เมื่อสัญญาณทางเทคนิคเกิดอาการ Divergence ลูกแรก ๆราคาหุ้นส่วนหนึ่งยังคงสามารถสร้าง New High ได้ต่อไปแม้ว่าความรู้สึกของผู้ลงทุนจะยังคงกลัว ๆ กล้า ๆซึ่งหากเข้าตำรานี้จะมีข้อสังเกตุคือหากตัวหุ้นรายตัวหรือดัชนีราคาหุ้นปรับตัวลงมาแรง ๆ และเร็ว ๆ
และไม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 25 วันจะมีแรงเหวี่ยงกลับของราคาหุ้นขึ้นอีกครั้งและควรจะทะลุค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วันจึงจะเป็นสัญญาณเชิงบวกแต่หากไม่เป็นไปในลักษณะนี้ นักลงทุนอาจจะต้องเสี่ยงกับการเสียเวลาในการรอคอยการฟื้นตัวใหม่อีกครั้ง

สิ่งที่ผู้ลงทุนมักถามกันบ่อย ๆ คือ ทำไมหุ้นเป็นแนวโน้มขึ้นอยู่ดี ๆ จู่ ๆ เพียงชั่วข้ามวันข้ามคืนกลับเปลี่ยนแปลงแนวโน้มชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากในการหาคำธิบายสำหรับผู้ลงทุนเพราะปกติการลงทุนในตลาดหุ้นมีตัวแปรสำคัญที่กระตุ้นราคาคือ ผลประกอบการของบริษัทที่เกี่ยวกับโยงกับภาวะเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุน และอีกส่วนหนึ่งคือ ภาพการรับรู้ข้อมูลของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดว่ามองในมุมบวกหรือมุมลบ
ซึ่งเรื่องสำคัญคือ ความโลภ และความกลัวของนักลงทุนนั่นเองที่มีผลต่อทิศทางและราคาหุ้น
เพราะหากนักลงทุนมีความรู้สึกโลภและคิดว่าหุ้นจะขึ้นด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามก็จะใส่เงินซื้อหุ้น แต่เมื่อใดนักลงทุนมีความรู้สึกกลัว ก็จะรีบขายหุ้นหนีและถือเงินสดไว้กับตัว รอเมื่อความมั่นใจกลับคืนมาก็ค่อยหาจังหวะลงทุนใหม่
ซึ่งอาจจะยังเป็นหุ้นตัวเดิมหากความรู้สึกยังดีอยู่ หรืออาจจะเป็นหุ้นตัวใหม่ หากมีความรู้สึกว่าหุ้นตัวเดิมนั้นไม่ดี

จุดที่นักลงทุนต้องติดตามคือการปรับตัวที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงการปรับฐานราคาทางเทคนิคหรือเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากแนวโน้มขึ้น เป็นแนวโน้มลงชนิด กลับหลังหัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากในการพิจารณาเพราะหากพิจารณาในแง่ข้อมูลเรื่องผลประกอบการของบริษัทที่ประกาศออกมานั้นพบว่าหลายบริษัทไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นมากนักแต่ราคาหุ้นกลับฟื้นตัวขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญทั้งที่ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานยังคงเป็นเรื่อง
เดิม ๆ และบ่อยครั้งอาจจะเป็น เหล้าเก่าในขวดใหม่ ด้วยซ้ำ แต่ตลาดหุ้นก็จับเอามาเป็นตัวเล่น ทั้งนี้เพราะว่าหุ้นกลุ่มหลัก ๆ นั้นราคาเริ่มอิ่มตัวและไม่จูงใจ

ในภาวะที่ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะทางสองแพร่ง ต้องยอมรับว่าหุ้นในกลุ่มรอง ๆ ลงมามักจะเริ่มมีบทบาทในการเก็งกำไรมากขึ้น เพราะจะมีนักลงทุนส่วนหนึ่งที่หยิบยกเอาการเคลื่อนไหวของนักลงทุนรายใหญ่ และพฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่เข้ามา อรรถาธิบาย ซึ่งทำให้ราคาหุ้นเหล่านี้มีการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติพร้อมทั้งปริมาณการซื้อขายไต่ระดับเข้าสู่ 40 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องโดยที่ไม่มีคำอธิบายจากทางบริษัทที่ชัดเจนแต่อย่างใดตรงกันข้ามกลับมีข่าวทางสื่อสารมวลชน ปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหุ้นที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าว เช่น TPIPL NNCL IEC APURE EWC STAR RS BAY BAY-W1 เป็นต้น หากถามว่าหุ้นเหล่านี้ดีกว่าหุ้นตัวอื่น ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดมากนักหรือราคาถึงได้วิ่งอย่าง น่ามหัศจรรย์
ยังเป็นเรื่องที่หาคำตอบได้ยาก แต่หากถามว่าหุ้นเหล่านี้สภาพคล่องดี เก็งกำไรกันสะดวกคำตอบคือ ถูกต้อง
ส่วนใครจะได้เสียนั้นอยู่ที่ฝีมืออะไรทำนองนั้น

ดังนั้นนักลงทุนที่หากินกับตลาดหุ้น และแสวงหากำไรจากตลาดหุ้นนั้นจึงต้องมีความสามารถในการ คาดเดา
ทิศทางของหุ้นเก่ง เพื่อดักทางซื้อหุ้นที่ ทางเงินไหลผ่าน ได้อย่างถูกจังหวะก็จะสามารถเกาะเกี่ยวเก็บกำไรจากตลาดหุ้นได้ โดยอาจจะไม่ต้องพิจารณาตัวแปรเรื่อง ภาวะตลาดมากนัก ส่วนการพิจารณาด้านปัจจัยพื้นฐานนั้นเป็นเรื่องที่ควรสนับสนุนเพราะจะทำให้นักลงทุนมี เบาะ ไว้รองรับแรงกระแทกระดับหนึ่ง สำหรับหุ้นที่น่าติดตามช่วงนี้อยู่ในภาวะหาปลาในซอกหิน เจอแต่ปลาฉลาม จนต้องเลือกเก็งกำไรในหุ้นประเภท เจ็ดพิสดารแห่งลุ่มน้ำกังหนำ กระโดดเข้าไปเจ้าภาพรับกินตลอด สำหรับหุ้นที่น่าติดตามเช่น CEI LOXLEY BFIT N-PARK TGCI LVT YNPเป็นต้น[/color:346c2a2294">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com