May 8, 2024   4:29:24 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กลยุทธ์ปีหน้าเล่นหุ้นรายตัว ชี้การเมืองเสี่ยงปัจจัยลบ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 14/11/2006 @ 10:40:12
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

สมาคมนักวิเคราะห์แนะทางสวรรค์ตลาดหุ้นปีหน้า เลือกลุยรายตัว ที่ได้รับผลกระทบน้อยจากปัจจัยเสี่ยงการเมือง พร้อมชี้ดัชนีมีโอกาสวิ่งระเบิดถึง 800 จุด ขานรับดอกเบี้ยขาลง ดันกำไรบจ.โตเพิ่ม 4% แนะรัฐบาลเร่งคลี่คลาย

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของไทยยังดีพอใช้ได้ โดยคาดว่าดัชนีสิ้นจะปิดที่ 744-750 จุด และในปีหน้าจะขึ้นถึง 800 กว่าจุด ทำให้พีอีเพิ่มขึ้นประมาณ 0.3 เท่า ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยดีเรื่องดอกเบี้ยที่จะปรับลดลง 0.5% ในปีหน้าประมาณไตรมาส 2-3

การลดดอกเบี้ยจะทำให้หุ้นขึ้นได้กว่า 4% ขณะที่ปีหน้ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะโตขึ้น 4% เช่นกัน ผนวกเงินปันผลที่โตขึ้นอีก 0.5% ทำให้ปีหน้าคาดว่าดัชนีทั้งปีจะโตขึ้น 8.5%นายสมบัติ กล่าว

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น คือ ราคาน้ำมันซึ่งไม่น่าจะต่ำลงกว่านี้เนื่องจากความต้องการน้ำมันน่าจะเพิ่มขึ้น ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้ปีหน้าดอกเบี้ยน่าจะลดลงประมาณ 0.5% ทำให้ค่าพีอีเพิ่มขึ้น

นายสมบัติ กล่าวต่อว่า หลังวันที่ 19 ก.ย. การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกลายเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจ แต่ขณะนี้แรงหนุนใกล้หมดแล้วและกำลังสะดุดอยู่ที่หลายปัญหา เช่นปัญหาภาคใต้ การห้ามชุมนุมทางการเมือง การร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขให้ลุล่วง ก็อาจทำให้ความเชื่อมั่นถดถอยได้

นายไพบูลย์ นลินทรางกูรกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ กล่าวว่า ปีหน้าดัชนีจะขึ้นแตะถึง 800 จุด ในครึ่งปีหลัง โดยตลาดหลักทรัพย์จะมี 3 ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดคือ สภาพคล่อง กำไรบริษัทจดทะเบียน และ มูลค่าของหุ้น(Valuation)

ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อราคาหุ้น เพราะจะสะท้อนผลประกอบการระยะยาวของบริษัท ซึ่งในปีที่ผ่านมากำไรของบริษัทจดทะเบียนโต 6-7% ซึ่งค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตามครึ่งหลังของปีหน้าคงจะมีการปรับประมาณการกำไรของบจ.โดยเศรษฐกิจโลกจะเป็นปัจจัยกำหนดสำคัญในปีหน้า ด้านมูลค่าหุ้นของไทยตอนนี้ยังมีค่า พีอีที่ต่ำจึงไม่ค่อยมีใครลงทุน โดยในกลุ่มธนาคารและอุปโภคบริโภคมีพีอีที่ต่ำอยู่แล้ว ซึ่งในอนาคตควรนำบริษัทที่มีค่าพีอีสูงเข้าตลาดมากๆเพื่อช่วยผลักดันการลงทุน

ส่วนปัจจัยที่น่าเป็นห่วง คือ ช่วงรอยต่อระหว่างรัฐบาลชุดนี้กับชุดหน้าว่าจะมีการสานต่อนโยบายหรือไม่ ซึ่งจุดนี้ตลาดจะปรับขึ้นแรงไม่ได้จนกว่าจะเห็นภาพครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ยังไม่หมดจากปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกซึ่งไทยต้องพึ่งส่งออกถึง 60%นอกจากนี้ราคาน้ำมันและการเมืองก็ยังอาจผันผวนได้อยู่

สำหรับการลงทุนในปีหน้า มองว่าภาคธุรกิจที่ไม่ต้องอิงกับกระแสการเมืองได้แก่ธุรกิจโรงแรม โรงพยาบาล เครื่องดื่ม และค้าปลีก เป็นต้น อย่างไรก็ตามการลงทุนคงต้องเลือกดูเป็นตัวมากขึ้น เช่นตอนนี้ แบงก์อาจกระทบบ้างจากเกณฑ์บัญชี IAS39 แต่มีบางแบงก์เช่นแบงก์กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ และกสิกร ที่ยังมีเงินทุนแข็งแกร่ง ส่วนด้านอสังหาริมทรัพย์แนะนำ ศุภาลัย และในกลุ่มพลังงานแนะนำหุ้นกลุ่มบ้านปู เนื่องจากมีผลประกอบการที่โดดเด่น

ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส จำกัด ในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในปีหน้าการเมืองยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยหลังจากการปฏิรูปเกิดความไม่มั่นใจเล็กน้อย ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ได้ปรับประมาณการตัวเลขจีดีพีปี 2550 ลงจาก 4.6% เหลือ4.4%

โดยสิ่งที่สำคัญในขณะนี้คือ การชี้แจงนักลงทุนให้เข้าใจในหลักเศรษฐกิจพอเพียง และนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ รวมทั้งกรอบการใช้งบประมาณและการลงทุนภาครัฐ ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์ทางการเมืองและนโยบายจะมีความชัดเจนมากขึ้น แต่การปรับประมาณการจีดีพีขึ้นทันทีคงเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกปีหน้าอาจชะลอตัวจึงต้องรอดูไปก่อน

สำหรับปัจจัยบวกในปีหน้า คือ หากนโยบายเศรษฐกิจเป็นไปตามที่วางไว้ก็จะเป็นผลดีส่วนราคาน้ำมันมีสัญญาณลดหรือทรงตัว ขณะที่ดอกเบี้ยไม่น่าจะปรับขึ้น และอาจลดลงบ้างเนื่องจากเงินเฟ้อลดลงตามราคาน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลทำให้บริษัทจดทะเบียนที่มีหนี้สินหรือต้องขอสินเชื่อมีผลประกอบการดีขึ้น

ขณะที่ปัจจัยลบที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ หนี้สินของสหรัฐฯซึ่งจะเป็นตัวฉุดให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังอยู่ที่การเลือกตั้งปลายปีหน้า ซึ่งถ้าหากได้การเมืองแบบเดิม ก็จะทำให้ประเทศไม่เข้มแข็งและไม่ส่งเสริมการลงทุน ทั้งนี้ ดร.ก้องเกียรติมองว่า ความเชื่อมั่นในขณะนี้ยังไม่ได้ปรับขึ้นอย่างรวดเร็วเต็มที่ รัฐบาลคงต้องใช้เวลาพิสูจน์ว่าจะทำงานได้ดีจริงหรือไม่ ซึ่งจริงๆแล้วความเชื่อมั่นจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนไทย ไม่ใช่ชาวต่างชาติ สำหรับชาวต่างชาติที่มาลงทุนในไทยยังลงทุนในระยะยาวกว่า 50%

ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือคนไทยต้องรู้จักอดทน เพราะการเปลี่ยนแปลงบ่อยอาจก่อให้เกิดผลเสีย สิ่งที่นักลงทุนและตลาดหลักทรัพย์อยากเห็นก็คือ การเมืองที่นิ่ง ผู้บริหารที่มีคุณธรรม และการดำเนินนโยบายที่มีประโยชน์ชัดเจน ทั้งนี้ทุกคนต้องช่วยกันประคับประคอง ดูว่าอะไรถูกต้องเหมาะสมและออกมาแสดงความเห็นบ้าง ซึ่งภาคธุรกิจควรมีการรวมตัวกันเพื่อสะท้อนความเห็นต่อรัฐบาล ถือเป็นกลุ่มที่มีพลัง เป็นภาคประชาสังคมอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนไทยยังต้องสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท โดยร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน

ตอนนี้ไทยมี พีอี แค่ 10 เท่า ขณะที่ประเทศอื่น 15 เท่า เพราะเค้ามีกำไรมากกว่า อย่างโรงพยาบาลบำรุงราษฎ์ ตอนนี้เป็นเครือระดับโลก มีพีอีเกิน 20 เท่า ซึ่งเราต้องสร้างบริษัทอย่างนี้เยอะๆ ซึ่งทำได้หลายวิธี ทั้งการพัฒนาตัวเองและการร่วมทุนกับต่างชาติ เช่นกรณีของแบงก์กรุงศรี เป็นต้น นักธุรกิจเราเก่งอยู่แล้ว ถ้าได้รากฐานที่ดี มีธรรมาภิบาล ก็เป็นไปได้ที่ พีอี เราจะไปถึง 15-20 เท่า ดร.ก้องเกียรติกล่าว

หุ้นเด่นสมาคมนักวิเคราะห์ปีหน้ากลุ่ม แนะนำหุ้นไม่อิงการเมือง โรงแรม โรงพยาบาล

ค้าปลีกหุ้นแบงก์ BBL KBANK SCBหุ้นพลังงาน BANPUหุ้นอสังหาฯ SPALIที่มา:สมาคมนักวิเคราะห์



.00020

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com