May 7, 2024   6:19:27 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้นค่ะ......
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 13/11/2006 @ 10:44:02
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.นครหลวงไทยแนะนำซื้อ DELTAราคาเป้าหมาย 21.53 บาทกำไรจากการดำเนินงานปกติ Q3/49 DELTA เท่ากับ 713 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่ SCIBSประเมินไว้ 699 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิต่ำกว่า SCIBS และ Consensus คาด เนื่องจากมีรายการพิเศษ 103 ล้านบาทในไตรมาสนี้ เป็นการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 73 ล้านบาท และค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน 30 ล้านบาท สำหรับประเด็นสำคัญด้านผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้คือ อัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin GPM) ในไตรมาสนี้ลดลงตามคาด เหลือ 17.2% เพราะต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ขณะที่การรับรู้รายได้ในรูปเงินบาทลดลง ตามผลของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น จากค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 36.5-37.0 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ น่าจะส่งผลให้GPM ของ DELTA ทรงตัวใกล้เคียงกับ Q3/49 ที่ผ่านมา ขณะที่รายได้น่าจะยังทรงตัวได้ใกล้เคียงกับ Q3/49 เพราะได้อานิสงค์จาก High Season ของธุรกิจ คาดว่ากำไรสุทธิQ4/49 DELTA จะทำได้ราว 563 ล้านบาท ผลการดำเนินงานตลอด 9M49 ที่ผ่านมา DELTA มีกำไรสุทธิถึง 1,657 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 18.1% yoy แต่ด้วยภาพธุรกิจใน Q4/49 ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมปี 2549 คาดว่า DELTAจะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 2,851 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% yoy

บล.สินเอเชียแนะนำถือ RRCราคาเป้าหมาย 21.25 บาทผลการดำเนินงาน 3Q49 ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ สาเหตุหลักจากการขาดทุนจากการตีมูลค่าสินค้าคงเหลือซึ่งเป็นผลของการปรับลดของราคาน้ำมันใน 3Q49 และทำให้ ACLS ปรับประมาณการกำไรปกติปี 49 ลงจากเดิม 24% โดยได้รวมผลขาดทุนจากการตีมูลค่าสินค้าคงเหลือเข้าไปในประมาณการ และคาดว่า กำไรปกติปี 49 จะอยู่ที่ 6,401 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว และส่วนประมาณการปี 50 ยังคงเดิม และให้ราคาเป้าหมายปี 50 ที่ 21.25 บาทต่อหุ้น ใช้ P/E ratio ที่ 9 เท่า อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ยังมีความผันผวนของราคาน้ำมันที่จะส่งผลต่อค่าการกลั่นใน 4Q49 ที่อาจจะสูงขึ้นจาก 3Q49 ได้ไม่มาก ซึ่งค่าการกลั่นที่ผันผวนนี้ จะส่งผลต่อกำไรของ RRC ได้มากกว่า TOP เนื่องจาก RRC ยังทำธุรกิจโรงกลั่นเพียงอย่างเดียว จึงแนะนำเพียง ถือ RRC มีกำไรปกติใน 3Q49 ที่ 835ล้านบาท ลดลงมากเนื่องจากค่าการกลั่นเบื้องต้น (Gross refinery margin) ใน 3Q49 อยู่ที่ 0.62 ดอลลาร์สหรัฐฯ บาร์เรล เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในปลาย 3Q49 ปรับลดจาก 2Q49 อย่างมาก ทำให้มีราคาตลาดของน้ำมันต่ำกว่าราคาต้นทุนน้ำมันของ RRC ส่งผลให้ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากตีมูลค่าสินค้าคงคลังจำนวน 6.52 ล้านบาร์เรลตามหลัก Lower of cost or market จำนวน 2,065 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นStock Loss เฉลี่ยที่ 4.51 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และหากไม่รวมผลขาดทุนนี้ ค่าการกลั่นรวมใน 3Q49 จะอยู่ที่ 5.14 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ใน 2Q49 RRC มีกำไรสุทธิที่ 1,181 ล้านบาท เนื่องจากมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินกู้ดอลลาร์สหรัฐฯที่ 346 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการแข็งค่าของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ในส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน และดอกเบี้ยจ่ายลดลงค่อนข้างมากเพราะได้มีการคืนเงินกู้บางส่วน รวมทั้งยังใช้ประโยชน์จากการบันทึกบัญชีเครดิตภาษีเงินได้จำนวน 1,577 ล้านบาทใน 3Q49 ซึ่งช่วยให้กำไรสุทธิปรับตัวลดลงน้อยกว่ากำไรปกติ

บล.ยูไนเต็ดแนะนำซื้อ BAFSราคาเป้าหมาย 11.80 บาทผลประกอบการ 3Q49 มีกำไรสุทธิ 107 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.25 บาท ลดลง 23%YoYแต่เพิ่มขึ้น 6%QoQ โดยกำไรที่ลดลง YoY มีสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าบริการเติมน้ำมันใกล้เคียงกับ 3Q48 แม้ว่าในไตรมาสนี้จะมีการปรับขึ้นอัตราค่าบริการ 6% จาก 2.58เซนต์/แกลลอน เป็น 2.74 เซนต์/แกลลอน เริ่มใช้ตั้งแต่เดือน ก.ค.49 และปริมาณเติมน้ำมันเพิ่มขึ้น 1% เป็น 1,035 ล้านลิตรใน 3Q49 แต่ราคาและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นกลับถูกชดเชยกับผลลบจากค่าเงินบาทใน 3Q49 ที่แข็งขึ้นมากประมาณ 8.98% เป็นประมาณ 37.61บาท/ดอลลาร์ จาก 41.32 บาท/ดอลลาร์ใน 3Q48 ขณะที่ต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น14%YoY ส่งผลให้ gross margin ใน 3Q49 ลดลงเหลือ 68% จากที่ 72% ใน 3Q48 ส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้น QoQ มาจากรายได้ค่าบริการเพิ่มขึ้น 9%QoQ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 8%QoQ สำหรับกำไรสุทธิ 9M49 อยู่ที่ 337 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.79บาท ลดลง 3%YoY โดยคิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรทั้งปี 49 ของเราที่ 424 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.0 บาท จากกำไรสุทธิ 3Q49 ที่ออกมาลดลงจากปีก่อนค่อนข้างมากแต่ดีกว่าที่คาดเล็กน้อย 2% โดยเราคาดไว้ที่ 105 ล้านบาท ประกอบกับแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน จะปัจจัยสำคัญกดดันราคาหุ้นในระยะสั้นและส่งผลลบต่อผลประกอบการ 4Q49 ของ BAFS แม้ว่าในไตรมาสนี้จะเป็นช่วง high season ของธุรกิจการบินและท่องเที่ยวก็ตาม แต่เรายังมีมุมมองเชิงบวกกับ BAFS จากกำไรสุทธิปี 50 ที่คาดว่าจะขยายตัว 17%YoY จากการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิเต็มปี เราแนะนำให้ ซื้อ เมื่อราคาอ่อนตัว โดยให้ราคาเป้าหมายปี 50 ที่ 11.80 บาท มี upside gain อยู่ 6%

บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ RRCราคาเป้าหมาย 22.50 บาทกำไรลดลง 62% yoy จากค่าการกลั่นลดลงที่ลดลงต่ำ 1 เหรียญ/บาร์เรล บริษัทรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/49 ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้มาก มีกำไรสุทธิ 1,181 ล้านบาทคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.41 บาท ลดลง 62% yoy ซึ่งเป็นผลมาจากค่าการกลั่นที่ลดลงอย่างมากจากประมาณ 9.81 เหรียญ/บาร์เรลในไตรมาส 3/48 ลงมาเหลือเพียง 0.62 เหรียญ/บาร์เรลในไตรมาสนี้ (รวมผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันประมาณ 4.51 เหรียญ/บาร์เรล)ซึ่งจะเห็นได้ว่าค่าการกลั่นลดลงไปต่ำกว่า 1 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ไม่คุ้มทุน ทำให้บริษัทมีผลขาดทุนก่อนภาษี 920 ล้านบาท แต่ที่บริษัทรายงานกำไรสุทธิได้ก็เนื่องจากบริษัทสามารถใช้ผลขาดทุนสะสมทางภาษีเกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้บันทึกอีกประมาณ 5,256 ล้านบาท ซึ่งสามารถหักภาษีลงได้ประมาณ 1,755 ล้านบาท ทำให้บริษัทไม่ต้องเสียภาษีในไตรมาสนี้ และยังสามารถบันทึกรายการภาษีกลับมาเป็นรายได้อีกด้วย ซึ่งส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ไม่ขาดทุน เรายังคงประเมินว่าผลกำไรก่อนภาษีของบริษัทในไตรมาส 4/49 น่าจะมีการฟื้นตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อน โดยคาดว่าค่าการกลั่นจะฟื้นตัวจากปัจจัยในเรื่องของความต้องการน้ำมันเพื่อการทำความร้อนตามฤดูกาล การลดกำลังการผลิตลงของโรงกลั่นที่มีต้นทุนสูง และการหยุดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในอเมริกาและยุโรปกำลังการผลิตรวม 2.4 ล้านบาร์เรลต่อวันที่คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ค่าการกลั่นกลับไปในระดับ 6-7เหรียญ/บาร์เรลได้ จากผลการดำเนินงาน 9 เดือนของบริษัทที่ทำกำไรปกติได้ 5,339ล้านบาท คิดเป็นกำไรปกติต่อหุ้น 2.11 บาท หรือ 66% ของประมาณการผลกำไรปกติทั้งปีของเราที่ 8,080 ล้านบาท คิดเป็นกำไรปกติต่อหุ้น 2.82 บาท บวกกับค่าการกลั่นที่ลดลงมากในไตรมาส 3/49 ทำให้เราปรับสมมติฐานค่าการกลั่นเฉลี่ยทั้งปีของบริษัทลดลงจาก 7เหรียญ/บาร์เรล เป็น 6.5 เหรียญ/บาร์เรล ส่งผลให้ประมาณการผลกำไรปกติในปีนี้ลดลง10% เป็น 7,265 ล้านบาท หรือ 2.53 บาท/หุ้น และกำไรสุทธิลดลงเหลือ 8,866 ล้านบาท หรือ 3.09 บาท/หุ้น ราคาที่เหมาะสมอิง PER 8 เท่าของปีหน้า จะลดลงจาก 25.50บาท เหลือ 22.50 บาท






[/size:1bfa228449">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com