May 5, 2024   2:36:26 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > พอร์ตหุ้นรุ่นกระทิง
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 05/11/2006 @ 01:03:54
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

แนวโน้มการลงทุนในระยะสั้นยังคงแกว่งตัวในกรอบ 715 -740 โดยนักลงทุนส่วนหนึ่งยังคาดหวังการขึ้นทดสอบแนวต้านบริเวณ 738 จุด หรือการทำจุดสูงใหม่เหนือบริเวณดังกล่าวโดยคาดหมายเป้าหมายระยะสั้นบริเวณดัชนี 755 /762 เป็นจุดตัดสินใจหากดัชนีสามารถทะลุแนวต้านบริเวณ 738 ขึ้นไปได้เพราะจะมีทางวิ่งประมาณ 22-27 จุดโดยประมาณ

การกลับขึ้นยืนเหนือค่าเฉลี่ย 10 วันได้อีกครั้งของดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ในทางเทคนิคแล้วหมายความถึง

การสร้างจุดสูงใหม่เหนือ 738 ซึ่งในทางปฏิบัติอาจจะฝืนความรู้สึกผู้ลงทุนเพราะมองว่าตลาดหุ้นได้ฟื้นตัวขึ้นมาพอสมควรแล้ว การขึ้นต่อเท่ากับเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนระยะสั้นเพราะจะต้องเข้าเสี่ยงซื้อหุ้นในราคาแพงขึ้น เพื่อต้องการขายในราคาที่แพงกว่าต้นทุนซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยง หรือเพิ่มโอกาสยังไม่สามารถสรุปได้

แต่ในภาคปฏิบัตินั้นรูปแบบทางเทคนิคของหุ้นในแนวโน้มขึ้นส่วนใหญ่คือ ขึ้นมีการทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ปรับตัวลงไม่มีการทำจุดต่ำสุดใหม่(Make New High , Not Make New Low) ส่วนในตลาดขาลงนั้นรูปแบบของราคาหุ้นมักจะทำตรงกันข้ามคือ ลงมีการทำจุดต่ำใหม่ และขึ้นไม่มีการทำจุดสูงใหม่( Make New Low, Not Make

New High) ซึ่งทำให้ในเวลาตลาดอยู่ในแนวโน้มขึ้นนักลงทุนจึงซื้อหุ้นแพงกว่าเก่า แล้วยังขายได้แพงกว่าต้นทุน

ตรงกันข้ามเวลาตลาดขาลงซื้อหุ้นที่คิดว่าถูกแล้ว แต่ถูกอีก และถูกจนไม่กล้าซื้ออะไรทำนองนั้น

นอกจากในเรื่องรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในภาวะกระทิงแล้ว การติดตามค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของราคาหุ้นปัจจุบัน(SPOT,CLOSE) นั้นราคาหุ้นมักจะยืนเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

ขณะที่ในตลาดหุ้นขาลงกลับทำตรงกันข้ามกล่าวคือ ราคาหุ้นปัจจุบันจะอยูที่ต่ำสุดและตามด้วยค่าเฉลี่ยระยะสั้น

ระยะกลางและระยะยาว โดยช่วงห่างระหว่างราคาหุ้นปัจจุบันกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว(Moving
Average 200 days) นั้นมักจะมีช่วงห่างค่อนข้างมาก ซึ่งหุ้นที่อยู่ในลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักจะใช้เวลาในการฟื้นตัวค่อนข้างนาน เล่นไปมักจะเสียเวลาและทรัพยากรเงินทุนค่อนข้างนาน และตัวแปรที่จะเปลี่ยนภาพหุ้นที่มีลักษณะนี้ให้ดีขึ้นมักจะเป็นเรื่องของ ข่าวดี ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้ในลักษณะ ฟ้าผ่า แต่หากไม่มีตัวช่วยลักษณะนี้ เรียกว่าต้องใช้บรรยากาศชนิดรุนแรงมาลากจูงราคาหุ้นจึงจะเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหรือขึ้นได้

ลักษณะที่ต้องสังเกตอีกอย่างหนึ่งในทางเทคนิค หรือ Indicators ต่าง ๆ ในทางเทคนิคเช่น RSI MACD MOMENTUM STOCHASTIC นั้นส่วนใหญ่จะต้องอยู่ในแนว Extreme ตัวอย่างเช่น Indicators ประเภทวัดความแกว่งระยะสั้น เช่น RSI MOMENTUM STOCHASTIC นั้นส่วนใหญ่จะบ่งชี้การเคลื่อนตัวของหุ้นเร็วในเขตที่นักเทคนิคเรียกว่า Overbought กล่าวคือค่าทางด้านตัวเลขของตัวบ่งชี้เหล่านี้จะอยู่เหนือบริเวณค่า 50 และในชนิดที่รุนแรงนั้นมักจะอยู่บริเวณแนว 70 -90% จึงจะมีการเปลี่ยนแปลงของราคาในทิศทางที่รุนแรงและรวดเร็ว

ส่วนค่าที่ต่ำกว่าระดับ 30% ส่วนมากจะสะท้อนความหนืดของราคาหุ้นและต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนาน

สำหรับ Indicators ระยะกลาง เช่น MACD นั้นส่วนมากการตัดขึ้นของสัญญาณในลักษณะที่สัญญาณซื้อต่ำกว่าค่า Zero Line นั้นมักจะฟ้องว่า หุ้นตัวนั้นยังสามารถทำจุดต่ำใหม่ได้อีก แต่เหมาะสำหรับนักลงทุนประเภทมีเงินเยอะ และมีความอดทนสูงในการรอจะซื้อหุ้นได้ที่ราคาค่อนข้างต่ำแต่เสียเวลาและทรัพยากรเงินค่อนข้างหนัก

เรียกว่า คลังสินค้าหรือพอร์ตการลงทุนเต็มไปด้วยหุ้นที่มีโอกาสขึ้นหรือ เกือบจะขึ้น แต่ยังไม่ขึ้นอะไรทำนองนั้น แต่เมื่อใดที่สัญญาณเหนือค่า Zero Line จะทำให้ประหยัดเวลาในการลงทุนแต่ทั้งนี้ควรจะเป็นระยะเริ่มต้นเพราะ ส่วนต่างราคา จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะสิ้นสุดรอบการลงทุน

แต่สำหรับนักลงทุนบางประเภทที่ใช้จำนวนหุ้นหรือปริมาณการซื้อขายในการกำหนดกิจกรรมการลงทุนเนื่องจากมองหุ้นเหมือน ลูกโป่ง หากอัดเงินเข้าไปลูกโป่งก็พอง เอาเงินออกลูกโป่งก็แฟบ และดูการที่หุ้นเข้าอยู่ใน 20 -40 อันดับหุ้นที่มีการซื้อขายหนาแน่นเป็นจังหวะสำหรับการเข้าเก็งกำไร หรือลงทุนในกรอบเวลาที่สั้นขึ้นและวัดผลการลงทุนที่เร็วกว่า โดยใช้การหายหน้าจาก 20 -40 หุ้นที่มีการซื้อขายมากเป็นตัวขายหุ้นออกเช่นกัน

ดังนั้นนักลงทุนกลุ่มนี้จะเน้นดู พฤติกรรมการซื้อขายซึ่งจะให้ความเม่นยำที่สูงกว่า แต่หากนักลงทุนสามารถประยุกต์ทั้งด้านเทคนิค ปัจจัยพื้นฐานและพฤติกรรมการลงทุนมาสนับสนุนกันและคัดสรรหุ้นจะทำให้ความเสี่ยงจากการลงทุนลดลง และประหยัดเวลามากขึ้น เพราะมีการเลือก เป้าหมายชัดเจน

ที่กล่าวถึงนั้นจะเป็นแนวทางในการพิจารณาหุ้นที่อาจจะเป็นทางเลือกในการลงทุนในภาวะตลาดกระทิง

เพราะในแง่ความเป็นจริงตลาดหุ้นขึ้น หุ้นบางตัวที่ถืออาจจะไม่ขึ้นก็ได้ในทางปฏิบัติ และที่สำคัญคนในตลาดหุ้นจะต้องมี ความยืดหยุ่น ในการลงทุนค่อนข้างสูง เพราะบ่อยครั้งที่ แนวรับและแนวต้าน และเป้าหมายนั้น ไม่ได้บรรลุเสมอไป แต่อาจจะเป็น ใกล้เคียงเป้าหมาย สูงกว่าเป้าหมาย หรือต่ำกว่าเป้าหมายเกิดขึ้นได้ ดังนั้น

ความพอใจในแง่ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับเงินฝาก เมื่อเทียบกับเวลาในการลงทุน และเมื่อเทียบกับความเสี่ยงและตัวแปรที่กระทบจิตวิทยาการลงทุนจึงน่าจะบอก ยุทธวิธีในการลงทุนได้ดีกว่า

สำหรับหุ้นรุ่นกระทิงกำลังแตกเนื้อหนุ่ม กล่าวคือมีการพัฒนาแนวโน้มจากขาลงในระยะท้าย ๆ
และเป็นการเริ่มต้นแนวโน้มฟื้นตัวในระยะต้น ๆ โดยพิจารณาจากตัวข้างต้นที่กล่าวมาซึ่งเป็นการคละระหว่างหุ้นประเภท



.00020 [/color:07bccefb8c">[/size:07bccefb8c">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com