samjin สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 352 | วันที่: 03/11/2006 @ 16:48:41 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ใครก็พูดกันว่า เศรษฐกิจอเมริกันกำลังชะลอตัวลง และทุนกำลังไหลออก ทำให้ค่าดอลลาร์ไม่สดใส เหมือนกับอนาคตของจอร์จ บุช จูเนียร์ นักทำสงครามขวาจัด แต่คำอธิบายที่แท้จริงในรายละเอียดว่า ทำไมเศรษฐกิจอเมริกันจึงเสียศูนย์ ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้
นักวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ในอเมริกา ได้ทดลองเสนอคำตอบล่าสุดเอาไว้น่าสนใจ
เขาบอกว่า เมื่อมองจากการถดถอยของเศรษฐกิจอเมริกา เป็นเรื่องไม่น่าแปลกเพราะว่า หลังจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์อเมริกาเริ่มฝ่อลง ความชัดเจนของปัญหาเรื้อรังก็โผล่ออกมาให้เห็น
นั่นคือ อุตสาหกรรม และธุรกิจของเอมริกา(ไม่นับธุรกิจการเงิน) กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และยังไม่สามารถหาธุรกิจใหม่ที่เป็นขุมทรัพย์มาทดแทนได้
เหตุผลเบื้องหลังเช่นนี้ ก็เพราะว่า ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ คือ กุญแจเบื้องหลังแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจอเมริกันให้เหนือกว่าชาติอื่นๆทั่วโลก กลายเป็นเสาหลักมาโดยตลอด แต่ถึงวันนี้ วันที่เทคโนโลยีนี้กระจายตัวไปทั่วโลก ความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยีสารสนเทศของอเมริกากำลังหมดไป
ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายคือ ไมโครซอฟท์ เจ้าพ่อวงการซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ มีกำไรมากที่สุดจากฐานผลิตใหม่นอกอเมริกา ไม่ใช่ในอเมริกาเหมือนเดิมอีกแล้ว
ส่วนฮอลลีวูด และธุรกิจบันเทิงนั้น แม้จะยังเป็นวัวนมที่ให้น้ำนมเป็นทองไม่ขาดสายแต่ช่วงหลัง เห็นได้ชัดว่า เริ่มออกอาการแผ่วให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจนเริ่มมีปัญหากับการทำกำไร
เมื่อแรงขับสำคัญในฐานะสิ่งมหัศจรรย์ที่เคยขับเคลื่อนความเหนือกว่าของธุรกิจอเมริกาถดถอยลง และยังหาธุรกิจใหม่ทดแทนไม่ได้ อเมริกา ก็เลยตั้องมีอาการย่ำแย่ให้เห็น
โดยเฉพาะธุรกิจรถยนต์ เมื่อ 2 ยักษ์ใหญ่อเมริกันอย่าง เจนเนอรัล มอเตอร์สและฟอร์ด ประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง จนต้องหาทางลดกำลังการผลิตและลดคนงานลงทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงอย่างชัดเจน
ยิ่งดุลการค้าที่ขายเรื้อรังไม่เคยขาด ก็สะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
มองเข้าไปถึงเศรษฐกิจภายใน ภาพรวมของนิสัยการออมคนอเมริกันที่ติดลบอย่างหนัก เพราะเคยกับการใช้เงินเกินตัวอย่างแก้ไม่หาย แถมคนอเมริกันกว่าครึ่งประเทศฝากความหวังในการลงทุนของตนไว้กับตลาดหุ้น ไม่ใช่ด้วยการลงทุนการผลิตอย่างจริงจัง ก็ยิ่งทำให้เห็นว่า เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับมาสู่พื้นฐานของการสร้างเศรษฐกิจในยามขาลงคือ ขยัน ประหยัด และแสวงหาโอกาสใหม่ คนอเมริกันก็ลืมไปเสียแล้วว่าควรทำอย่างไร
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับชาติในเอเชีย ที่กำลังเริ่มปรับตัวรับมือกับการแข่งขันในเวทีการแข่งขันของโลกทุนนิยมได้มั่นใจมากขึ้น ความอ่อนด้อยในการแข่งขันของธุรกิจอเมริกันยิ่งชัดเจนมากขึ้น
สิ่งที่ยังเป็นคำถามและไม่มีคำตอบในตอนนี้ก็คือ หากคนอเมริกันที่เคยบริโภคเกินตัว เริ่มตระหนักว่าถึงเวลาที่จะหยุดซื้อหรือสร้างหนี้กันแล้ว เศรษฐกิจของอเมริกาที่เคยเติบโตเพราะแรงกระตุ้นให้คนบริโภคเกินขนาด จะรับมือเรื่องนี้ได้ดีเพียงใด เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืดและคนตกงานจำนวนมหาศาล
นักเศรษฐศาสตร์ที่ชอบคำนวณอนาคตเคยประเมินว่า หากหักด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้ว อัตราการเติบโตที่แท้จริงทางเศรษฐกิจของอเมริกาใน 2-3 ปีข้างหน้า จะติดลบอยู่ที่ประมาณปีละ 2.5% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่สดใสเอาเสียเลย
หลายคนพาลเชื่อไปว่า กำลังซื้อที่หดหายนี้(ถือว่าเป็นแนวโน้มเลวร้ายสุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจอเมริกายุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองเลยก็ว่าได้) จะยิ่งทำให้อเมริกา เข้าสู่วงจรเลวร้ายครั้งสำคัญ
แต่นั่นก็ดูเหมือนจะจะเป็นการประเมินต่ำไป หากพิจารณาจากวัฒนธรรมการต่อสู้แบบอเมริกันนับแต่อดีตก่อตั้งประเทศขึ้นมาเป็นมหาชนรัฐรายแรกของโลกเมื่อกว่า 200ปีก่อน
ในมุมมองของเศรษฐกิจมหภาค อนาคตของพลังทางเศรษฐกิจที่สำคัญของแต่ละประเทศ สามารถดูได้จากปริมาณและคุณภาพของผู้ประกอบการและแรงงานที่จะเข้ามาสู่ตลาดเพื่อขับเคลื่อนพลังการผลิตใหม่ๆ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา สังคมอเมริกันได้รับประโยชน์มหาศาลจากการไหลเข้าของแรงงานสมองและกายในทุกด้าน จากเป็นสังคมแห่งโอกาส และเปิดกว้างในเรื่องเสรีภาพ
การอพยพมหาศาลของพวกลี้ภัยศาสนาในยุโรป การนำเข้าแรงงานทาสจากแอฟริกาในต้นคริสต์ศตวรรษ อพยพของพวกยิวจากยุโรปในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19การไหลบ่าของแรงงานจากเอเชีย และมันสมองจากชาติฟาสซิสท์ และคอมมิวนิสต์ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ล้วนเป็นแรงขับให้เศรษฐกิจอเมริกาโตกระฉูดอย่างทันทีทันควันชัดเจน
คำถามก็คือว่า ในวันนี้ เมื่ออเมริกามีประชากรมากถึง 300 ล้านคน และเริ่มเข้มงวดกับแรงงานจากต่างประเทศอย่างเอาเป็นเอาตายผ่านกฎหมายเข้าเมือง อเมริกาจะลดความสามารถในการดูดซะบความรู้ทางลัดจากชาติอื่นๆมาในสังคมได้เหมือนเดิมแค่ไหน
นี่คือคำถาม
|