May 6, 2024   4:15:58 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 30/10/2006 @ 11:00:03
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

BCPผูกสัญญาซื้อไฟฟ้าปตท.25ปี ค่าการกลั่นลดฉุดไตรมาส3ขาดทุน
Source - ข่าวหุ้น

บอร์ด BCP อนุมัติทำสัญญาซื้อไฟฟ้าและไอน้ำจาก ปตท. ยาว 25 ปี ปริมาณซื้อมูลค่าประมาณ 950 ล้านบาทต่อปี ลดความเสี่ยงซื้อไฟจาก กฟน. หลังโครงการ PQIเริ่มผลิตต้องใช้ไฟฟ้าเพิ่ม ด้านผลประกอบการไตรมาส 3 พลิกจากกำไร 1,100 ล้านบาทเป็นขาดทุน 2 ล้านบาท ค่าการกลั่นวูบฉุดยอดรวม เชื่อฟื้นตัวควอเตอร์ 4

ทั้งนี้ BCP ได้เชิญผู้ที่มีศักยภาพและสนใจลงทุนเข้ามาเสนอราคา สุดท้ายพิจารณาเลือก ปตท. ซึ่งเสนอเงื่อนไขตรงตามความต้องการ และเสนอราคาไฟฟ้าและไอน้ำต่ำที่สุด ซึ่งการคัดเลือก ปตท.ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ ให้เป็นผู้ลงทุนในโครงการดังกล่าว จะช่วยลดความเสี่ยงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าด้วย
ภาษี และค่าเสื่อมราคา (อีบิทด้า) 243 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 2 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วซึ่งมีกำไรสุทธิ 1,100 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2548 บริษัทมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสูงถึง 877 ล้านบาท ขณะที่ปี 2549 ขาดทุนจากมูลค่าสต๊อกน้ำมัน 582 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นสต๊อกน้ำมันที่ขาดทุน 232 ล้านบาท และการตั้งค่าเผื่อมูลค่าสินค้าคงเหลือลดลงอีก 350 ล้านาท

ทั้งนี้สาเหตุสำคัญมาจากการที่บริษัทมีค่าการกลั่น (ไม่รวมกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) 3.23 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ระดับ 5.36 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล เป็นผลจากระดับราคาน้ำมันปรับตัวลดลงตามปัจจัยพื้นฐาน คือ ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดต่างๆ ของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบ และฤดูมรสุมของสหรัฐอเมริกาในปีนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายรุนแรงต่อแหล่งผลิตและโรงกลั่นน้ำมันในแถบอ่าวเม็กซิโกดังเช่นปีก่อน

อีกทั้งเริ่มเข้าสู่ช่วง Low Demand Season ของน้ำมันสำเร็จรูปเนื่องจากหมดช่วงDriving Season แล้ว และมีอุปทานน้ำมันเบนซินในตลาดค่อนข้างสูง รวมถึงการเทขายทำกำไรของเฮดจ์ฟันด์ในตลาดล่วงหน้า ส่งผลให้ค่าการกลั่นปรับตัวลดลงมาก ซึ่งบริษัทยังคงระดับการผลิตไว้ที่ 60 พันบาเรลต่อวัน ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 58พันบาเรลต่อวัน
อย่างไรก็ดีสถานการณ์ราคาน้ำมันอาจมีการปรับตัวสูงขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวในแถบอเมริกาและยุโรป โดยจะมีความต้องการใช้น้ำมันประเภท HeatingOil เพื่อทำความร้อนเพิ่มขึ้น อีกทั้งท่าทีของกลุ่มประเทศโอเปกต่อระดับราคาน้ำมัน ที่อาจประกาศลดเพดานการผลิตน้ำมันดิบลงเพื่อเป็นการรักษาระดับราคาน้ำมันดิบให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม


.000002

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 30/10/2006 @ 11:02:22 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
TIPCO ยังเป็นผู้นำตลาด กระแสรักษาสุขภาพหนุน ปีนี้สดใส-ปีหน้าอีกโต30%
Source - กระแสหุ้น

?ทิปโก้? ย้ำรายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% แม้ตลาดต่างประเทศถูกกระทบจากค่าเงิน-ราคาน้ำมัน แต่ยังชดเชยได้ด้วยตลาดในประเทศที่กระแสรักษาสุขภาพบูม คุยปี 50 พร้อมเติบโต 30% จากโรงงานผลิตขวดพลาสติกเย็นเริ่มเดินเครื่อง รวมทั้งเน้นตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ด้านนักวิเคราะห์แนะซื้อสะสม จากการเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มผลไม้ ชี้ยังน่าลงทุน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ทางบริษัทเชื่อว่ามีโอกาสที่จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้มากกว่านโยบายที่จะจ่าย 1 ใน 3 ของผลประกอบการ ซึ่งถือเป็นการจ่ายเงินปันผลที่กว่าเท่าที่ผ่านมา สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิตระบบขวด PET พลาสติกพร้อมดื่มบรรจุเย็นปลอดเชื้อนั้น บริษัทเชื่อว่าจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ และสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2550 แน่นอน หลังจากที่ผ่านมามีการเลื่อนการผลิตออกจากเดิมที่จะผลิตในไตรมาส 3 เนื่องจากบริษัทขอทำการทดสอบเรื่องมาตรฐานการผลิตให้มีความแน่ใจอีกครั้ง

ด้านฝ่ายวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็น คาดว่าผลประกอบการครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดี จากการเลื่อนส่งมอบคำสั่งซื้อสำหรับตลาดส่งออก อีกทั้งจะเริ่มส่งออกสินค้าประเภทเครื่องดื่มภายในไตรมาส 4 ส่วนตลาดในประเทศจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเครื่องดื่ม โดยเฉพาะกลุ่ม Premium juice อีกทั้งกลุ่ม Economic juice ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงปลายไตรมาส 4 เช่นกัน ขณะเดียวกันยังมีการรับรู้ยอดขายของน้ำแร่ออร่าจากการทำตลาดใหม่ภายใต้การบริหารของ TIPCO ขณะที่ทางฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับลดประมาณการยอดขายปี 2549 ลงเหลือเพียง 4,048 ล้านบาทจากความล่าช้าในการเริ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่การเติบโตของยอดขายตลาดในประเทศทำให้ยังสามารถรักษาอัตรากำไรได้ในระดับสูง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายจะเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้น ทางฝ่ายประมาณการกำไรสุทธิก่อนหักรายการพิเศษ 381 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3% เทียบ YoY

อย่างไรก็ตาม TIPCO ยังคงเป็นหุ้นที่น่าลงทุนจากการเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มผลไม้ โดยเฉพาะตลาด Premium รวมถึงการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดอื่นเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตในอนาคตและลดการพึ่งพิงกับตลาดส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาท ทางฝ่ายยังคงแนะนำ ซื้อลงทุน ในหุ้นดังกล่าว ประเมินราคาเหมาะสมปี 2550 ที่ 7.79 บาทอิงจาก PE 9 เท่า

ด้านนักวิเคราะห์ทางเทคนิคบริษัท หลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงนี้ราคาแกว่งตัวที่แนวรับ 6.80 บาท ส่วนแนวต้าน 7.20 บาท แต่ให้น้ำหนักทางลงเพื่อพักฐาน เนื่องจากรอบที่ผ่านมาขึ้นมาค่อนข้างมาก ซึ่งถ้าหลุดต่ำกว่าแนวรับนักลงทุนควรระวัง



.000002


[/color:7426f10c91">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 30/10/2006 @ 11:05:21 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้


งบกลุ่มเหล็กQ3ส่อแววไม่สดใส - BSBMกำไรมีสิทธิวูบ90% จีสตีล-SSIลดตาม รอฟื้นไตรมาสนี้
Source - ข่าวหุ้น

งบกลุ่มเหล็กไตรมาส 3 วูบ ยอดขายน้อย ราคาลด BSBM ส่อแววกำไรสุทธิฮวบถึง 90%จากไตรมาส 2 เหตุมาร์จิ้นลด ส่วนจีสตีลยอดขายน้อยเพราะปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ แถมมีค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาซื้อหนี้ NSM และดอกเบี้ยเงินกู้ 120 ล้านเหรียญสหรัฐฉุดกำไร แต่คาดปีหน้าเห็นผลดีชัดควบ NSM ด้าน SSI ได้อานิสงส์มีสต็อกสินค้าต้นทุนต่ำ กำไรดีกว่าปีที่แล้ว แต่ยังลดลง 53% รอปีหน้าโครงการรัฐอัดฉีดอุตสาหกรรมเหล็กโต

บริษัทหลักทรัพย์ซิกโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ ซื้อเก็งกำไร สำหรับบริษัทบางสะพานบาร์มิล จำกัด (มหาชน) หรือ BSBM ให้ราคาเหมาะสม 1.45 บาท โดยคาดการณ์กำไรไตรมาส 3 ที่ 784 ล้านบาท ลดลง 21.5% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และ 18.9% จากไตรมาส 2 เนื่องจากปริมาณขายที่ชะลอตัวลงตามฤดูกาลและราคาขายที่ปรับลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา โดยคาดปริมาณขายเพียง 44,800 ตัน หรือลดลง 14.4%จากไตรมาส 2 และราคาขายเฉลี่ยที่ 17,500 บาทต่อตัน ลดลง 2.8%

ขณะที่บริษัทมีต้นทุนวัตถุดิบบิลเล็ตที่ระดับ 390-420 เหรียญสหรัฐต่อตัน และมีต้นทุนในการแปลงสภาพ ในระดับสูงคือ 1,300 บาทต่อตัน จากการผลิตในระดับที่ต่ำ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (กรอส มาร์จิ้น) ในไตรมาส 3 ปรับลดลงจาก 13.4% ในไตรมาสที่แล้ว มาอยู่ที่ 4.6% จึงมีผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส 3 ลดลงอย่างมากถึง 90.1% QoQ มาอยู่ที่ 11ล้านบาท

ปัจจุบันยังไม่มีปัจจัยใหม่ใดๆ ที่จะสามารถกระตุ้นความต้องการใช้เหล็กเส้นในประเทศให้เพิ่มขึ้นได้มากนัก ขณะเดียวกัน ตลาดเหล็กเส้นในประเทศอยู่ในสภาวะที่มีอุปทานมากกว่าอุปสงค์ ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาขายให้เพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นได้ทัน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มาร์จิ้นของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังปรับลดลง โดยคาดการณ์กำไรในครึ่งปีหลังที่ระดับ 53 ลบ. เท่านั้น

ทั้งนี้ซิกโก้คาด BSBM จ่ายปันผลครึ่งปีหลังอีกเพียง 0.02 บาทต่อหุ้น เมื่อเทียบกับการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ 0.10 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 1.6%

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ยูไนเต็ด แนะนำ เปลี่ยนตัวเล่น เนื่องจากปริมาณขายยังไม่กระเตื้องและไม่มีประเด็นในการลงทุน โดยคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3 จะต่ำสุดในปีนี้ โดยกำไรอยู่ที่ 10 ล้านบาท ลดลง 90% จากไตรมาส 2 แต่ดีกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วส่วนรายได้ลดลง 21.5% จากไตรมาส 2 ปี 2548 และ 18% จากไตรมาส 2

ทั้งนี้เพราะปริมาณขายลดลงและราคาเหล็กเส้นในประเทศเฉลี่ยปรับตัวลดลง ทำให้ลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อเพราะกลัวว่าราคาจะปรับลงไปอีก ประกอบกับเป็นช่วงที่การก่อสร้างชะลอตัวจึงมีความต้องการใช้เหล็กเส้นน้อยลง และมาร์จิ้นน่าจะไม่ถึง 10% เพราะไม่ได้มีต้นทุนวัตถุดิบราคาถูกเหมือนไตรมาส 2

บล.ซิกโก้ แนะนำ ซื้อ สำหรับบริษัท จีสตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL ให้ราคาเหมาะสม 1.36 บาท โดยคาดรายได้จากการขาย 3,976 ล้านบาท ลดลง 9.9%จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และ 13.3% จากไตรมาส 2 เนื่องจากความต้องการในประเทศชะลอตัวลงตามฤดูกาล รวมถึงการที่บริษัทมีการซ่อมบำรุงเครื่องจักรประจำปีจำนวน 10 วันจึงคาดปริมาณขายจะลดลงมาอยู่ที่ 210,000 ตัน หรือลดลง 19.2% จากไตรมาส 2

ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19,000 บาทต่อตัน ส่งผลให้มาร์จิ้นลดลงมาอยู่ที่ 12.4% จาก 14.2% ในไตรมาสที่แล้ว ขณะที่บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับการเข้าซื้อหนี้ของ NSM ประมาณ 20 ล้านบาท และมีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นของเงินกู้จำนวน 120 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดีในไตรมาส 3 บริษัทจะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 100 ล้านบาทส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.1% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แต่ลดลง 29.5% จากไตรมาส 2 และปรับประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้ลง 8.3% จากประมาณการเดิม เพื่อสะท้อนปริมาณความต้องการเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ชะลอตัว

ส่วนกำไรสุทธิทั้งปีคาดอยู่ที่ 1,661 ล้านบาท ลดลง 39.3% เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และคาดว่าบริษัทจะจ่ายปันผล 0.06 บาทต่อหุ้น ต่ำกว่านโยบายบริษัททื่จ่าย 50%เนื่องจากยังมีงบลงทุนสำหรับขยายกำลังการผลิตสูง

อย่างไรก็ตามคาดว่าผลประกอบการปี 2550 มีแนวโน้มเติบโต จากการเป็นพันธมิตรกับ NSM เนื่องจากจะได้รับผลดีจากการร่วมกันสั่งซื้อวัตถุดิบทำให้ได้ราคาวัตถุดิบที่ถูกลง นอกจากนี้ GSTEEL จะได้รับค่าธรรมเนียมจาก NSM ในการให้คำแนะนำและช่วยเหลือด้านต่างๆ ซึ่งค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะสามารถชดเชยกับภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นของเงินกู้จำนวน 120 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ในปีหน้าบริษัทจะมีกำไรสุทธิที่ 1,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.8%

บริษัทหลักทรัพย์ยูไนเต็ด แนะนำ ซื้อเก็งกำไร สำหรับบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรีจำกัด (มหาชน) หรือ SSI โดยให้ราคาเป้าหมาย 1.30 บาท คาดว่าไตรมาส 3 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงที่อาจจะตั้งสำรองค่าเผื่อการลดมูลค่า เนื่องจากราคาขายในไตรมาส 4 เริ่มลดลง จึงทำให้คาดการณ์ค่อนข้างยาก แต่โดยรวมในการขายเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยมีมาร์จิ้นค่อนข้างดี จากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำ แต่แนวโน้มในระยะยาวยังต้องรอการผลักดันจากโครงการรัฐ

โดยคาดรายได้จากการขายทรงตัวที่ 10,154 ล้านบาท เพราะถึงแม้ราคาขายเหล็กแผ่นรีดร้อนจะทรงตัวสูงที่ 20 บาทต่อกิโลกรัม แต่ปริมาณขายลดลงเหลือเพียง 5 แสนตันอย่างไรก็ตามคาดว่ามาร์จิ้นจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากได้ใช้วัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำ และราคาขายยังทรงตัวได้ จึงคาดว่ากำไรเท่ากับ 719 ล้าน ลดลง 53.6% เทียบไตรมาส 2พลิกจากขาดทุนปีที่แล้ว

ทั้งนี้มีแนวโน้มว่าราคาเหล็กในประเทศไตรมาส 4 จะลดลงอยู่ในช่วง 18-19 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากความต้องการเหล็กยังไม่กระเตื้อง แต่ไม่น่าจะปรับตัวลงแรงมากนักเนื่องจากภาวะการแข่งขันในประเทศไม่มีการแข่งขันด้านราคาดังเช่นเดิม และภาวะอุตสาหกรรมมีการควบรวมมากขึ้นจึงทำให้ราคาเหล็กมีเสถียรภาพมากขึ้น

การเติบโตจะชัดเจนจากโครงการลงทุนภาครัฐ ในอนาคต 1-2 ปีข้างหน้า ยังไม่มีปัจจัยที่จะผลักดันให้ SSI มีการเติบโตที่โดดเด่น นอกจากความหวังในโครงการลงทุนจากภาครัฐที่จะทยอยลงทุน เริ่มต้นในปี 07 แต่อย่างไรก็ตามโครงการที่คาดว่าจะมีผลกระตุ้นความต้องการเหล็กแผ่นรีดร้อน คือ โครงการเกี่ยวกับระบบการส่งน้ำ เนื่องจากจะต้องผลิตท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีวัตถุดิบเป็นเหล็กแผ่นรีดร้อน แต่ในส่วนโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินคาดว่าไม่ได้ส่งผลมากนัก แต่น่าจะมีผลสำหรับเหล็กก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่

นอกจากนี้ยังมีโครงการถลุงเหล็ก ที่จะมาช่วยในด้านวัตถุดิบ ซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม

.000002






[/color:96d4dd4d07">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 30/10/2006 @ 11:06:49 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
DELTA หุ้นพื้นฐานแกร่ง ราคาหุ้นต่ำ..ซื้อลงทุนยาว
Source - กระแสหุ้น

?เดลต้า อีเลคโทรนิคส์? หุ้นพื้นฐานแกร่งของจริง บิ๊กบอส ?อนุสรณ์ มุทราอิศ? ลั่นกำเงินสดในมือ 4-5 พันล้าน พร้อมจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% มั่นใจมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละกว่าร้อยละ 20 สิ้นปีนี้คาดโกยรายได้ตามเป้า 4.5 หมื่นล. ยอมรับกระทบค่าบาทผันผวน แต่ระยะสั้น ด้านนักวิเคราะห์ประเมินเป้าหมายราคาหุ้นที่ 22.64 บาท ส่วนเทคนิคยังปรับขึ้น มีแนวต้าน 19.50 บาท

สำหรับแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 3 นั้น คาดว่าจะออกมาดีกว่าในไตรมาส 2 ที่มีรายได้อยู่ที่ 20,604.14 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ขยายตลาดไปยังประเทศยุโรป และอินเดียมากขึ้น ส่งผลทำให้รายได้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีบริษัทมั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 4 น่าจะยังคงเป็นไปในทิศทางบวก แม้ว่าในขณะนี้บริษัทจะได้รับผลกระทบในเรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ตาม แต่เชื่อว่ารายได้น่าจะยังออกมาดีอย่างต่อเนื่อง

คาดโกยรายได้รวม 4.5 หมื่นล.
นอกจากนี้ยังมั่นใจว่า เป้ารายได้รวม น่าจะเป็นไปตามที่ได้ตั้งไว้คือ ประมาณ 1,100-1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 45,000 ล้านบาท ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ขณะเดียวกัน บริษัทได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของบริษัทในปี 2550 เพิ่มขึ้นประมาณ 20-25% แต่ทั้งนี้ทางบริษัทคงจะต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอีกครั้ง ในเดือนพฤศจิกายนนี้

ฐานะแข็งแกร่งเมินพันธมิตรร่วมทุน
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงประเด็นเรื่องของการมีพันธมิตรว่า ปัจจุบันบริษัทยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนกับบริษัทแต่อย่างใด เพราะว่าบริษัทยังมีขีดความสามารถในการบริหารธุรกิจได้เอง เนื่องจากกระแสเงินสดที่บริษัทมีอยู่นั้นถือว่าอยู่ในระดับที่จะสามารถดำเนินงานในอนาคตได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องมีพันธมิตร แต่อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทไม่ได้ปิดกั้นตัวเองในการที่จะใครเข้ามาร่วมลงทุน แต่ก็คงจะต้องพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้รอบคอบเพราะการที่จะมีพันธมิตรนั้นเป็นเรื่องที่อ่อนไหวพอสมควร

ฟุ้งกำเงินสดในมือ 4-5 พันล้าน
สำหรับเรื่องของการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นนั้น ทางบริษัทก็ยังคงนโยบายที่จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 30-40% ของกำไรสุทธิ ซึ่งในงวดปี 2549 นั้นยังไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าจะจ่ายในอัตราส่วนเท่าไหร่ คงจะต้องดูในเรื่องของกระแสเงินสดและแผนการใช้เงินของบริษัทว่าเป็นอย่างไร ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดอยู่ในมือ (Cash on Hand) ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มภาพรวมของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2550 นั้น มองว่าตลาดก็ยังคงมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ โดยเฉพาะในเซกเตอร์เทเลคอมและยานยนต์ที่มีความต้องการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทางบริษัทมองว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมด้านอิเล็กทรอนิกส์ในปีหน้าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า20%

ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 22.64 บาท
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKS ประเมินหุ้น DELTA ว่า ทิศทางปรับตัวขึ้น มาจากการเก็งกำไรเกี่ยวกับตัวเลขผลประกอบการในไตรมาส 3/2549 ที่คาดว่าจะมีกำไรประมาณ 745 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 7% มาจากยอดขายที่เติบโตขึ้น จากตัวกลุ่ม LCDTV, กลุ่ม CPBG และกลุ่ม DES ขณะเดียวกัน ในระยะสั้นนี้ DELTA จะมีปัจจัยเรื่องเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นในรอบ 7 ปี จะยังคงเป็นตัวกดดันให้ราคาหุ้นของ DELTA อาจจะปรับตัวลดลงได้ในช่วงสั้นๆ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในแง่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง และยังมีการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ โดยคาดว่า DELTA ปี 2549 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลที่ระดับ 1.25 บาท ดังนั้นจึงได้ประเมินราคาเป้าหมายของหุ้น DELTA อยู่ที่ 22.64 บาท และได้ประเมินราคาทางเทคนิคโดยให้แนวรับอยู่ที่ 18.20 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 18.80-19.10 บาท

สัญญาณปรับขึ้น-แนวต้าน 19.50 บ.
นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยอำนวยฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท หลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIS ประเมินระดับราคาหุ้นของ DELTA ว่า มีประเด็นข่าวเกี่ยวกับตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 ส่วนปัจจัยอื่นๆ ในช่วงนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นนัยสำคัญแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ดี ทิศทางของค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งขึ้น อาจจะส่งผลในเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แต่คาดว่าคงจะเป็นผลกระทบในช่วงเวลาสั้น ส่วนระดับราคาหุ้นนั้นคาดว่าจะปรับขึ้นได้อีก แต่ก็คงจะปรับเพิ่มได้มาก ดังนั้นได้ประเมินกรอบราคาทางเทคนิคโดยให้แนวรับอยู่ที่ 17-18 บาท ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 19.50 บาท



.000002





[/color:f63f3a88bd">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#4 วันที่: 30/10/2006 @ 11:22:15 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
ILINK งานเพียบหนุนรายได้พุ่ง ?สมบัติ? มั่นใจปีหน้าโตเพิ่ม 25%
Source - กระแสหุ้น

?อินเตอร์ลิ้งค์? ยังเติบโตต่อเนื่อง งานทะลักเข้าไม่มีหยุด ล่าสุดผู้บริหารปรับเป้ารายได้ทั้งปีเป็น 1,000 ล้านบาท ?สมบัติ อนันตรัมพร? มั่นใจปีหน้าสดใสและเติบโตเพิ่มอีก 20-25% ชี้ภาพรวมธุรกิจยังดี มุ่งเป้าเน้นลุยรับงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเพิ่ม เชื่อมั่นแม้มีรัฐบาลใหม่ แต่งานในด้านเทคโนโลยีไม่มีทางถูกยุบ เพราะต้องเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ บริษัทได้ทำการยื่นซองประมูลโครงการ AMR ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคไปแล้ว มูลค่าโครงการประมาณ 900-1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทราบผลการประมูลโครงการนี้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ หรืออย่างช้าภายในต้นไตรมาส 1/2550

นายสมบัติ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มผลรายได้ในไตรมาส 3 นั้น คาดว่ารายได้น่าออกมาดีกว่าไตรมาส 2 และออกมาดีกว่างวดเดียวกันของปีที่แล้ว ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4 ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเนื่องจากบริษัทมีงานที่รับรู้รายได้จากโครงการเก่าหลายโครงการรวมทั้งงานที่สนามบินสุวรรณภูมิที่เข้ามาไตรมาส 4 ค่อนข้างเยอะ ซึ่งส่งผลให้บริษัทต้องปรับเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 835 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตปี 2550 เพิ่มขึ้นประมาณ 20-25%

นอกจากนี้ บริษัทจะหันไปรับงานภาครัฐวิสาหกิจให้เพิ่มขึ้น เช่น งานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง รวมไปจนถึงงานของทหารที่ต้องการให้บริษัทเข้าไปวางระบบการสื่อสารให้ เป็นต้น

ส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีหน้า บริษัทจะยังคงเน้นในเรื่องของการรักษาความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งทางด้านสายสัญญาณและ CABLING อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการออก Product ใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

สำหรับแนวโน้มภาพรวมของอุตสาหกรรมนั้น บริษัทมองว่าน่าจะยังมีอัตราการเติบโตอย่างเนื่อง แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ หรือมีแต่มีการเปลี่ยนของรัฐบาลก็ตาม แต่ว่าโครงการใหญ่ๆ หรือโครงสร้างพื้นฐานของประเทศยังไม่ได้มีการยกเลิกแต่อย่างใด ประกอบกับเทคโนโลยีการสื่อสารนั้นยังเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะว่าในเรื่องของระบบเทคโนโลยีนั้นต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนันเชื่อว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมในปีหน้าจะยังคงมีอัตราการขยายตัวที่ต่อเนื่องจากปีนี้อย่างแน่นอน

นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIS เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยมองว่าการที่ระดับราคาหุ้นของ ILINK ปรับตัวขึ้นนั้นน่าจะมาจากแรงขายทำกำไรเกี่ยวกับตัวเลขผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสและรายได้ทั้งปีที่คาดว่าจะออกมาดี แต่อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยมองว่าราคาหุ้นที่เทรดอยู่ในตลาด ณ เวลานี้นั้นถือว่าปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเยอะแล้ว และเชื่อว่าระดับราคาหุ้นก็ไม่น่าจะขัยไปได้มากกว่านี้แล้ว

ส่วนในแง่ของปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้น ฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองในเชิงบวก เพราะว่า INLINK นั้นถือเป็นว่าผู้นำอันดับหนึ่งในด้านสายสัญญาณและสายไฟเบอร์ออฟฟิค ขณะที่รายได้ยังคงมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงได้ประเมินกรอบราคาทางเทคนิคโดยให้แนวรับอยู่ที่ 8 บาท ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 10 บาท



.000002
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#5 วันที่: 30/10/2006 @ 11:23:54 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
PPM แย้มผลงานไตรมาส3 เข้าเป้า

นายชำนาญ พรพิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรพรหมเม็ททอล จำกัด (มหาชน) หรือ PPM เปิดเผยถึงทิศทางผลประกอบการปี 2549 มีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าเป้าหมายที่ได้วางไว้ที่ 2,500 ล้านบาท เนื่องจากครึ่งปีแรกมีรายได้แล้ว 1,315 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2548 ที่มีรายได้ 2,393 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของยอดขายต่อหน่วยขยับเพิ่มขึ้น จึงทำให้คาดว่ารายได้รวมทั้งปีสูงกว่าเป้าหมายที่ได้ตั้งเป้าไว้

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/2549 ยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการได้ แต่เบื้องต้นถือเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากราคาแร่ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตมีการปรับเพิ่มขึ้น หนุนให้รายได้ไตรมาสดังกล่าวขยายตัวทิศทางเดียวกัน

สำหรับราคาหุ้นที่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อกันถึง 4 วันทำการเป็นผลจากที่ผ่านมาราคาปรับลดลงต่ำกว่าพื้นฐานที่แท้จริง ซึ่งพบว่าปัจจุบัน P/E อยู่ที่ 3 เท่า ต่ำกว่าตลาด mai ที่มี P/E 8 เท่า นอกจากนี้นักลงทุนอาจเห็นถึงศักยภาพเติบโตของบริษัทจึงเข้ามาลงทุนมากขึ้น และส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะรอลุ้นผลประกอบการไตรมาส 3/2549 ที่ใกล้ประกาศออกมา
นายชำนาญกล่าวว่า บริษัทมีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นงวดปี 2549 ในอัตราที่สูงกว่าปี 2548 ที่จ่าย 0.08 บาท/หุ้น เนื่องจากครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิถึง 71.68 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนทั้งปีที่มีกำไรสุทธิ 33.37 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีหลังก็ขยายตัวเช่นกัน
?โอกาสจ่ายปันผลสูงกว่าปีก่อนมีมาก ซึ่งอาจได้เห็นตัวเลข 2 หลักในงวดปีนี้ได้ จากปีก่อนจ่ายไป 0.08 บาท/หุ้น และพยายามรักษา Gross Margin ทั้งปีอยู่ที่ 5 - 10% ทรงตัวากปีก่อนหน้า แม้ว่าต้นทุนการดำเนินงานจะปรับเพิ่มสูงขึ้น?นายชำนาญ กล่าว

อย่างไรก็ตามขณะนี้บริษัทมีการพูดคุยกับทางพันธมิตรต่างประเทศอยู่ ซึ่งเป็นพันธมิตรในธุรกิจเดียวกันที่ต้องการหาผู้ประกอบการในประเทศเข้าร่วมธุรกิจด้วย แต่ยังไม่ได้สรุปเป็นทางการ แค่เพียงศึกษาโอกาสความเป็นไปได้เท่านั้น


.000002
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#6 วันที่: 30/10/2006 @ 11:26:06 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
STANLY ไตรมาส 2/49 กำไร 325 ลบ.

สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่2(F45-1)
บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)

สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน (หน่วย : พันบาท)
ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน
ปี 2549 2548 2549 2548

กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 325,002 244,771 647,239 510,426
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 4.24 3.19 8.45 6.66

.000002
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#7 วันที่: 30/10/2006 @ 11:28:21 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
AMACคืนชีพหมวดเกษตรธ.ค.


AMAC ยื่นตลาดหลักทรัพย์ขอย้ายกลับมาเทรดในหมวดธุรกิจเกษตรเดือนธ.ค.นี้ หลังเร่งทำกำไรได้ตามเกณฑ์ตลาด แย้ม 2ไตรมาสปีนี้ปั้นกำไรแล้ว 14 ล้านบาท ส่วนงบไตรมาส3/2549ประกาศได้ปลายเดือนต.ค. ลั้นล้างขาดทุนสะสมหมดปีหน้า จับมืออิเซกิ ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรกลการเกษตรครบวงจรของญี่ปุ่น รุกเป็นตัวแทนจำหน่ายรถแทรคเตอร์ในประเทศ หนุนยอดขายปีหน้าเติบโตถึง 2 เท่าตัว

ทั้งนี้บริษัทจะเป็นตัวแทนจำหน่ายรถแทรคเตอร์เพื่อการเกษตรยี่ห้ออิเซกิแต่เพียงรายเดียวในประเทศ และในอนาคตคาดว่าจะมีการจำหน่ายเครื่องตัดหญ้าเช่นกัน ซึ่งเบื้องต้นมีดีลเลอร์กว่า 10 รายสั่งซื้อแทรคเตอร์ล็อตแรก รวมมูลค่า 30-40 ล้านบาท ดังนั้นจะส่งผลดีต่อยอดขายในปีนี้บางส่วนมากกว่า 100 ล้านบาท ส่วนปี 2550 คาดว่าจะรับรู้ยอดขายทั้งปีเติบโตกว่า 2 เท่า คิดเป็น 600-700 ล้านบาท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯอาจพิจารณาให้บริษัทย้ายเข้าไปซื้อขายในกลุ่มเครื่องจักรกลได้

?รายได้หลักในปีนี้คือการผลิตเครื่องยนต์ดีเซลสูบเดียวระบบไดเร็คอินเจ็คชั่น เช่น ยี่ห้อสิงค์คะนองนา ซึ่งช่วยประหยัดน้ำมันกว่า 25% แต่หลังจากบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับอิเซกิจะช่วยให้มียอดขายเพิ่มขึ้นแม้ว่ามาร์จิ้นจากการขายรถมีเพียง 10% แต่จะมีมาร์จิ้นจากบริการหลังการขาย การซ่อมแซมชิ้นส่วนอะไหล่เพิ่มขึ้น โดยมั่นใจว่าปีหน้าจะแย่งส่วนแบ่งการตลาดขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ในประเทศได้แน่นอน เพราะมีจุดเด่นของสินค้าที่มีคุณภาพเน้นความทนทานในการใช้งานรถแทรคเตอร์จากปกติใช้งานได้ 800 ชั่วโมงต่อปี เป็น 3,000 ชั่วโมงต่อปี ?นายธีรชัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม สำหรับรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นสูงสุด 10 รายแรก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548 คือ บริษัท ฟาร์อีสท์ แอสเซ็ท คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 28 ล้านหุ้น คิดเป็น 14% ซึ่งจำหน่ายหุ้นออกมาทั้งหมด เมื่อวันที่ 04/10/2549 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น 13.57% ,นายสุทธิศักดิ์ โล่ห์สวัสดิ์ ถือหุ้น 20 ล้านหุ้น คิดเป็น 10% UBS AG, Singapore Branch ถือหุ้นจำนวน 16 ล้านหุ้น คิดเป็น 8% นายมนตรี สีหนาทกถากุล ถือหุ้น 10 ล้านหุ้น คิดเป็น 5%

นอกจากนี้ยังมีนางสาวสุภาพร อรุณเสถียร ถือหุ้น 10 ล้านหุ้น คิดเป็น 5% นายปรีชา เดชะคำภู ถือหุ้น 10 ล้านหุ้น คิดเป็น 5% Market Dollar Group Ltd. ถือหุ้น 8 ล้านหุ้น คิดเป็น 4% นางสาวณัฐสุรีย์ เลิศชัยรัตน์ ถือหุ้น 8 ล้านหุ้น คิดเป็น 4% นายชำนิ จันทร์ฉาย ถือหุ้น 6 ล้านหุ้น คิดเป็น 3% นายธีรชัย เหรียญทรัพย์ดี ถือหุ้น 5 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.50%

นายจักรกฤษณ์ ธนวิรุฬธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงินและบัญชี AMAC กล่าวว่า ในปี 2550 บริษัทคาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมจำนวน 54 ล้านบาทได้ โดยมาจากกำไรจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น และบริษัทอาจจะพิจารณาเพิ่มทุนหากทางอิเซกิพิจารณาให้บริษัทเป็นผู้ผลิตรถแทรกเตอร์บางรุ่น ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องซื้อเครื่องจักรเพื่อรองรับการผลิตดังกล่าวเช่นกัน


.000002 [/color:e741a4ee38">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#8 วันที่: 30/10/2006 @ 11:37:05 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
บล.ซิกโก้-แนะซื้อBAY


BAY : ช่วง เวลาแห่งการวาง... แผนครอบครัว ...เพื่ออนาคต

ช่วง เวลาแห่งการวาง...แผนครอบครัว...เพื่ออนาคต : เรามองว่าในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป BAY จะทุ่มเทกับการวางแผนธุรกิจ เพื่อเป็น เป็นUniversal Banking หรือ ธนาคารครบวงจร เต็มรูปแบบ โดยสังเกตุได้จาก การเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นในบริษัทย่อยและบริษัทในเครือต่างๆ เพื่อมีอำนาจอย่างเต็มที่ในการบริหารจัดการกิจการได้เบ็ดเสร็จ นอกจากนั้นหากดีล ขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ GE Capital ลอตแรกจำนวน 1,319 ล้านหุ้น เป็นเงิน22,256 ลบ. เป็นไปตามคาด จะยิ่งช่วยเสริมการบริหารงานและบริหารเงินของธนาคารให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นกอปรกับหากดีลดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ BAY มีเงินสดไหลเข้าธนาคารจำนวนมากจะยิ่งเสริมฐานเงินทุนอันจะ เป็นประโยชน์ในนโยบายเพิ่มสัดส่วนในบริษัทลูก ฉะนั้นในช่วงเวลา 1 ปีนับจากนี้เราอาจได้เห็นBAYเพิ่มสัดส่วนกับบริษัทในเครืออย่างต่อเนื่อง

สินเชื่อใน 3Q06A ลดลง แต่รายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย :สินเชื่อใน 3Q06A ลดลง 6.8 พัน ลบ. มาอยู่ที่ระดับ 4.45 แสน ลบ. แต่ รายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลเพิ่มขึ้น เล็กน้อย 8.9% QoQ และ 52.2% YoY เราประเมินว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้จากดอกเบี้ยมาจากการขยับอัตรา ดอกเบี้ยในช่วง 1H06A ซึ่งเพิ่มขึ้นมาก

ค่าใช้จ่ายจากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นสูง : ค่าใช้จ่ายจากอัตราดอกเบี้ยใน3Q06A เพิ่มขึ้นถึง 20.9% QoQ และ 140.8% YoY อยู่ที่ 4,582 ลบ. จาก 3,791 ลบ. ใน 2Q06A โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ค่าใช้จ่ายจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นมากมาจากต้นทุนเงินทุนในด้านเงินฝากเพิ่มสูงขึ้นมากและต่อเนื่องตั้ง แต่ต้นปี และเริ่มส่งผลต่อค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ เราคาดว่าภาพการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในด้านนี้จะยังเพิ่มอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงใน 2Q07E จึงจะเริ่มทรงตัว

กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่า 10.3% QoQ : กำไรสุทธิใน 3Q06A เพิ่มขึ้นถึง 10.3% QoQ และ 15.6% YoY อยู่ที่ 1,867 ลบ. จาก 1,692 ลบ.ใน 2Q06A ทั้งที่ใน 3Q06A BAY ต้องเริ่มจ่ายภาษีเป็นไตรมาสแรกหลัววิกฤติเศรษฐกิจ จำนวน 524 ลบ.แต่ก็ไม่สามารถลดกำไรสุทธิลดลงได้มากนัก

NIM เริ่มอ่อนแรงตัวลงเล็กน้อย : ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและ เงินกู้หรือ NIM เริ่มอ่อนตัวลงเล็กน้อยใน 3Q06A โดยมาอยู่ที่ 3.07% จาก 3.14% ใน 2Q06A ซึ่งเป็นไปตามภาพรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เราประเมินว่าต้นทุนทางการเงินของ BAY ที่เพิ่มขึ้นจะยังกดดันต่อ NIM ให้ยัง คงมีโอกาสปรับตัวลดลงอีกในอนาคต

คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 23.90 บาท : จากกำไรสุทธิที่ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และอนาคตที่จะได้พันธมิตรทีแข็งแกร่งอย่าง GE Capital เข้ามาร่วมบริหาร เราจึงคงคำแนะนำ ซื้อ โดยมีราคาเหมาะสมที่ 17.9%

หมายเหตุ : ในงบการเงิน FY07E เรายังไม่ได้รวมการถือหุ้นของ GE จำนวน 1,319 ล้านหุ้นในล็อตแรก โดยเราจะรวมจำนวนหุ้นดังกล่าวก็ต่อเมื่อมีการยืนยัน อย่างแน่นอนจากกรณีดังกล่าวแล้ว

โดย บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด ประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2549


.000002 [/color:f317e302f6">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#9 วันที่: 30/10/2006 @ 11:38:10 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
บล.ซิกโก้-แนะถือPTTEP

PTTEP: เทวดาตกสวรรค์

ผลประกอบการ 3Q06A ปรับลดลง : PTTEP ประกาศผลการ 3Q06A ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ถึงแม้ราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 38.25 $/BOE เพิ่มขึ้น 21% YoY และ 1.7%QoQ แต่กำไรสุทธิกลับลดลงเหลือ 6,813 ลบ. ปรับลดลง 5% YoY และ 6.3% QoQ สาเหตุมาจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการตัดจำหน่ายหลุมสำรวจโครงการพม่า, เวียดนาม รวมทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานSeismic ของโครงการ เวียดนาม, อัลจีเรีย และอินโดนีเซีย ปรับเพิ่มขึ้น234% QoQ และ 327% YoY ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายจากการตัดจำหน่ายจะเกิด ขึ้นจนกว่าโครงการจะสามารถผลิตในเชิงพาณิชย์

คาดการราคาน้ำมันปรับตัวดี : SSEC มองว่าราคาน้ำดิบตลาดโลกระยะสั้นจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่ OPEC ประกาศลดกำลังการผลิต 1Mil.B/D และการปรับลดกำลังการผลิตของประเทศ Norway ได้ประกาศปิดแท่นขุดเจาะ 2 แห่งซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 300,000 B/Dส่งผลให้ปริมาณน้ำมันสำรองในยุโรปปรับลดลง 2 MB อย่างไรก็ตามเรามองว่าการดีดกลับของราคาน้ำมันจะไปได้ไม่ไกลนักเนื่องจากปัจจัยกดดัน เรื่องพายุเฮอร์ริเคนได้หมดไปแล้วประกอบกับอากาศในปีนี้ไม่หนาว เหมือนปีที่แล้วทั้งนี้คงมีเพียงการเคลื่อนไหวของกลุ่ม OPEC ที่จะมีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันซึ่งในปัจจุบันประเทศในกลุ่มยังคงรักษานโยบายลดกำลังการผลิตได้อยู่ ถึงกระนั้นในระยะยาวเราประเมินแนวโน้มราคาน้ำมันจะยังปรับตัวลดลงจาก Supply ใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดโดยเฉพาะ แหล่งน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโกที่มีปริมาณสำรองและพื้นที่อยู่ระหว่างพัฒนาจำนวนมากและจะเริ่มเข้ามาในตลาดช่วงกลาง FY07E

ยังแนะนำ ถือ เป้าหมาย 108 บาท: ถึงแม้ผลประกอบการใน3Q06A จะออกมาไม่ดีเหมือนที่คาดไว้แต่เรามองว่า PTTEP จะสามารถสร้างการเติบโตได้จากการโครงการในประเทศโอมานและเวียดนามที่จะ เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ใน FY07E ดังนั้นเรายังคงแนะนำให้ ถือ ซึ่งเราได้ประเมินมูลค่าเหมาะสม ณ สิ้น FY07E ที่ 108 บาท โดยใช้วิธี DCF ด้วย WACC ที่ 8.2%

โดย บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด ประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2549

.000002
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#10 วันที่: 30/10/2006 @ 11:39:05 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
บล.เอเซีย พลัส-แนะซื้อINOX

ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส (INOX): ซื้อ
ราคาปัจจุบัน 1.19 บาท
Fair Value 1.29 บาท
น่าจะได้เห็นกำไรสูงถึง 501 ล้านบาทในงวด 3Q49

* คาด 3Q49 กำไรจากการดำเนินงาน 501 ล้านบาท เพิ่ม 19.6เท่า YoY
* แนวโน้มธุรกิจสดใสตามราคาสเตนเลส แนะนำ ซื้อ

คาด 3Q49 กำไรจากการดำเนินงาน 500 ล้านบาท

ราคาสเตนเลสที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามราคานิกเกิลที่ปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าราคาขายเฉลี่ยในงวด 3Q49 ของ INOX จะสูงถึง 105 บาท/ก.ก. เพิ่มจากราคา 91.5 บาท/ก.ก. ในงวด 2Q49 โดยมีปริมาณการขายในงวด 3Q49 รวม 39,200 ตัน ใกล้เคียงกับ 2Q49 ทำให้ยอดขายในงวด 3Q49 อยู่ที่ระดับ 4,125 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%QoQ ขณะที่ทิศทางการปรับตัวขึ้นของราคาสเตนเลสทำให้ INOX ได้รับผลประโยชน์ทั้งจาก metal spread ตามปกติ บวกกับผลกำไรจาก Inventory ที่ซื้อในราคาถูกเนื่องจากมี time lag ระหว่างเวลาในการซื้อวัตถุดิบและการขายสินค้าห่างกันประมาณ 2-3 เดือน จะทำให้ gross margin ในงวด 3Q49 อยู่ในระดับสูงถึง 16% โดยค่าใช้จ่ายอื่นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ภายใต้สมมุติฐานดังกล่าวคาดว่า INOX จะมีกำไรจากการดำเนินงานงวด 3Q49 ที่ระดับ 501 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.6 เท่าเทียบกับ 3Q48

แนวโน้มธุรกิจสดใสตามราคาสเตนเลส แนะนำ ซื้อ

แนวโน้มราคาสเตนเลสที่ยังปรับเพิ่มขึ้น จะทำให้ INOX ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสเตนเลสรายเดียวของประเทศได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยปัจจุบัน INOX มี order ล่วงหน้าในมือประมาณ 60 วัน น่าจะทำให้ผลประกอบการงวด 4Q49 ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยฝ่ายวิจัย กำหนด Fair Value ที่ระดับ P/BV 0.8 เท่า จะให้มูลค่าหุ้นที่เหมาะสม ณ สิ้นปี 2549 ที่ 1.29 บาท ซึ่งมี Upside จากราคาปัจจุบัน 8.7% ขณะที่ผลประกอบงวด 2H49 ที่น่าจะสูงกว่าประมาณการเดิมของฝ่ายวิจัย จะส่งผลให้มูลค่าหุ้นทางบัญชีของ INOX ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม โดยฝ่ายวิจัยอาจพิจารณาปรับเพิ่มประมาณการหลังการประกาศงบ 3Q49 อย่างเป็นทางการ จึงคงคำแนะนำ ซื้อ

โดย บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประจำวันที่ 30 ต.ค. 2549


.000002
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#11 วันที่: 30/10/2006 @ 11:40:08 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
บล.เคจีไอ-แนะซื้อSTANLY

บมจ. ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า: ผลประกอบการในไตรมาส 2 2549/50: เป็นไปตามคาด - ซื้อ
ราคาปัจจุบัน (บ.) 161.0
ราคาเป้าหมาย (บ.) 195.0
Upside (%) 21.0

สรุปประเด็นสำคัญ และข่าวล่าสุด
- ผลประกอบการไตรมาส 2 2549/50 เติบโต 33% จากปีก่อนหน้าแต่ทรงตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นไปตามที่เราและตลาดคาด
- อัตรากำไรข้นต้นลดลง แต่ควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดีขึ้น
- คงคำแนะนำ ?ซื้อ? ราคาเป้าหมาย 195 บ. (ตามวิธีคิดลดกระแสเงินสด)

ผลประกอบการไตรมาส 2 2549/50 เติบโต 33% จากปีก่อนหน้าแต่ทรงตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นไปตามที่เราและตลาดคาด

สแตนเลย์การไฟฟ้า รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 2549/50 (รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 มีนาคม 2550) ที่ 325 ล้านบาท เติบโต +33% จากปีก่อน แต่ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปตามที่เราและตลาดดาดไว้ การเติบโตจากปีก่อน เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ในขณะที่ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า เพราะการลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นนั้น ถูกชดเชยได้ด้วยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

(=) ยอดขายเป็นไปตามคาด ที่ 2,016 ล้านบาท ทรงตัวทั้งจากปีก่อนและไตรมาสก่อน เนื่องจากตลาดรถยนต์ในประเทศชะลอตัวลง และรถยนต์บางรุ่นไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เช่น นิสสัน ทิด้า

(-) อัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าคาดที่ 20.1% ปรับตัวขึ้น +180bps จากปีก่อน แต่ลดลง 200bps จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความสามารถในการควบคุมของเสียยังไม่นิ่งพอ และยอดขายที่ทรงตัว ทำให้ ไม่ได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด

(=) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงตามคาด อยู่ที่ 88 ล้านบาท ลดลง -28% จากปีก่อน และ -27% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็นการลดลง อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สัดส่วนค่าใช้จ่ายฯต่อยอดขายลดลงมาอู่ที่ 4.4% ในไตรมาสนี้จาก 6.1% และ 6.0% จากปีก่อน และไตรมาสก่อนตามลำดับ

(+) รายได้อื่นๆ สูงกว่าคาด ที่ 73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +90% จากปีก่อน แต่ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายเศษซากพลาสติก การปรับขึ้นจากปีก่อน และสามารถทรงตัวได้จากไตรมาสก่อนหน้า ถือเป็นสัญญาณที่ดีถึงความสามารถในการรักษาระดับ เราเชื่อว่าจะมาจากการปรับปรุงวิธีการคัดแยกเกรดของพลาสติกที่เป็นของเสีย ทำให้ขายได้ราคาที่ดีขึ้น

หากไม่รวมรายการกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 14 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ กำไรก่อนรายการพิเศษของบริษัทฯ อยู่ที่ 311ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากปีก่อน แต่ลดลงเล็กน้อย -2.8% จากไตรมาส 1 2549/50

ผลประกอบการครึ่งปีบัญชีของบริษัทฯ คิดเป็น 55% ของประมาณการทั้งปีของเรา

อัตรากำไรข้นต้นลดลง แต่ควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดีขึ้น
จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าคาด แสดงให้เห็นว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ยังไม่นิ่งนัก เนื่องจากความสามารถในการควบคุมของเสียยังไม่นิ่งพอ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะออกมาต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด แต่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารก็ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จนออกมาสร้างความประทับใจต่อตลาด ทั้งนี้เนื่องจากที่เราเคยวิเคราะห์ว่า การนำระบบ SNAP เข้ามาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่ายและการดำเนินงานของบริษัทฯได้เป็นอย่างดี มีแนวโน้มที่เราจะปรับประมาณการของบริษัทฯลง หลังจากศึกษาถึงแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้น และความสามารถชองบริษัทฯที่จะรักษาระดับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในระดับต่ำเช่นนี้ไว้ได้หรือไม่ หลังการประชุมนักวิเคราะห์ในช่วงบ่ายวันนี้

การประเมินมูลค่าและคำแนะนำ
แม้ว่า มีแนวโน้มที่เราจะปรับประมาณการและราคาเป้าหมายของบริษัทฯ ลงแต่จากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดในอุปกรณ์ส่องสว่างทั้งรถยนต์ (65-70%) และรถจักรยานยนต์ (90%) มากที่สุด ประกอบกับมุมมองเชิงบวกของเราที่มีต่อตลาดส่งออกยานยนต์ไทย ( 9 เดือนที่ผ่านมาเติบโต +27% จากปีก่อน) เราจึงยังคงมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ซึ่งจากการปรับประมาณการแบบคร่าวๆ แล้วไม่ได้ทำให้มูลค่าของบริษัทฯ เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ (เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง ควรจะถูกชดเชยได้ด้วยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ) จึงคงคำแนะนำ ?ซื้อ? ราคาเป้าหมาย 195 บ. (ตามวิธีคิดลดกระแสเงินสด)

โดย บมจ.หลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย) ประจำวันที่ 30 ต.ค. 2549


.000002
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#12 วันที่: 30/10/2006 @ 11:41:08 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
กองทุนทิ้งหุ้นCPNเหลือ4.9%

กองทุนเพื่อการร่วมลงทุนขายหุ้นCPN ให้บุคคลในวงจำกัดจำนวน 71.9 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 1.5 พันล้านบาท หวังเพิ่มสัดส่วนฟรีโฟลท สร้างสภาพคล่องให้กับหุ้น ชี้หลังขายออกเหลือหุ้นเพียง 4.9%

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น CPN(27 ต.ค.) เปิดที่ 21.90 บาท ปรับขึ้นสูงสุด 22.20 บาท และปิดที่ 21.60 บาท ลดลง 0.70 บาท หรือ 3.14% มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 157.90 ล้านบาท นอกจากนี้ในช่วงเช้าวันเดียวกันมีรายการซื้อขายหุ้นขนาดใหญ่(บิ๊กล็อต)หุ้นCPNจำนวน 24 รายการ จำนวน 71.90 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 21.00 บาท รวมมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 1,509.90 ล้านบาท

นายนริศ เชยกลิ่น รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) CPN แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บริษัทได้รับแจ้งจากกองทุนเพื่อการร่วมลงทุน (Thailand Equity Fund) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ซึ่งเดิมถือหุ้น 8.2% ว่าได้ขายหุ้นสามัญที่ถืออยู่ในบริษัทจำนวนรวม
71.9 ล้านหุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด(PP) โดยภายหลังการขายหุ้นดังกล่าว กองทุนเพื่อการร่วมลงทุนคงถือหุ้นในบริษัท 4.9%

ทั้งนี้เพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่หุ้นของบริษัท และเพิ่มโอกาสให้แก่นักลงทุนรายย่อยได้รับประโยชน์จากการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งกองทุนเพื่อการร่วมลงทุน และกลุ่มจิราธิวัฒน์ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท ได้หารือและมีข้อตกลงร่วมกัน โดยกองทุนเพื่อการร่ววมลงทุน ได้ขายหุ้นให้กับ PP สัดส่วน 3.3% ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นรายย่อย

สำหรับการขายหุ้นดังกล่าวได้ใช้วิธีการสำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book-Building) เพื่อเสนอขายต่อนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ โดยมีบล.ภัทร, เมอร์ริล ลินช์ (สิงคโปร์) และบล.ยูบีเอส เอจี เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย

อนึ่ง ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ เดือนพ.ค.กองทุนเพื่อการร่วมลงทุน ถือหุ้นCPN ในสัดส่วน 8.20% เป็นอันดับ 2 รองจากบริษัทเซ็นทรัลโฮลดิ้ง ถือหุ้นอยู่ 27%


.000002
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#13 วันที่: 30/10/2006 @ 11:43:06 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
ทยเอ็นวีดีอาร์ ขายหุ้น CPF 0.03%

ตลท.รายงานการจำหน่าย หุ้นของบมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(listed)
โดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด
ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 25/10/2549
จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น -0.03% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 5.0% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด


.000002
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#14 วันที่: 30/10/2006 @ 11:44:10 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
บล.โกลเบล็ก-แนะซื้อเมื่ออ่อนตัว?RCL


COMPANY REPORT 30 ตุลาคม 2549
Sector : Transportation ราคาปิด 23.00 บาท
REGIONAL CONTAINER LINE (RCL) ?ซื้อเมื่ออ่อนตัว? เป้าหมาย 26 บาท

Demand เพิ่ม แต่ Freight Rate ปรับลดลง
คาดผลประกอบการ 2H49 ทรงตัวจาก 1H49 แต่ปรับตัวลงเมื่อเทียบกับ 2H48 เนื่องจากปริมาณขนส่งเพิ่มขึ้น แต่ Freight Rate กลับมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เนื่องจากการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่มากขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ยังคงทรงตัวจาก 1H49 สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 50 คาดว่าจะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน, อินเดีย และประเทศในตะวันออกกลาง แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น รวมทั้ง Supply เรือที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนะนำ ?ซื้อเมื่ออ่อนตัว? ราคาเป้าหมายปี 50 ที่ 26 บาท

ประเด็นสำคัญในการลงทุน
คาดผลประกอบการ 2H49 ทรงตัวจาก 1H49 แต่ลดลงเมื่อเทียบ 2H48: ปริมาณขนส่ง 3Q49 อยู่ที่ 643,537 TEUs ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.8% YoY ส่วน 2H49 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.6% HoH สำหรับทั้งปีคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปี 48 ประกอบกับยังได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 อย่างไรก็ตาม Freight Rate กลับมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่มากขึ้น โดยผู้ประกอบการขนส่งทางเรือขนาดใหญ่มีการลงมาแข่งขันมากขึ้น รวมทั้งยังมีต้นทุนจากการเช่าเรือเพิ่ม 2 ลำ เพื่อทดแทนเรือที่ต้องนำเข้าอู่ซ่อม จึงคาดว่าผลประกอบการ 2H49 จะใกล้เคียงกับ 1H49

Freight Rate ปี 50 มีแนวโน้มทรงตัว/ปรับตัวลง: แม้ว่าความต้องการเรือคอนเทนเนอร์จะเติบโตอย่างต่อเนื่องตามภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน, อินเดีย และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง แต่คาดว่า Supply ของเรือในกลุ่มนี้ปี 50 จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องราว 15% ซึ่งจะทำให้การแข่งขันในธุรกิจนี้มีมากขึ้น ส่งผลให้อัตราค่าระวางขนส่งสินค้าทางเรือประเภทบรรจุตู้คอนเทนเนอร์ หรือ Freight Rate ยังมีแนวโน้มทรงตัวถึงปรับตัวลดลง

คาดปี 50 รายได้ยังคงเติบโตจากปริมาณความต้องการที่สูง: ในปี 50 RCL จะรับมอบเรือขนาด 1,108 ทีอียู จำนวน 2 ลำ (ปัจจุบันกองเรือในส่วนที่ RCL เป็นเจ้าของมีจำนวน 33 ลำ อายุเฉลี่ย 10 ปี) ซึ่งจะเน้นเส้นทางที่มีความต้องการสูง คือ จีน, อินเดีย และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง แต่ยังมีปัจจัยกดดันจาก Supply เรือที่มีแนวโน้มมากขึ้น รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องติดตาม คือ ราคาน้ำมันหากมีแนวโน้มทรงตัวถึงปรับตัวลดลงจะเป็นปัจจัยบวก ส่วนค่าเงินบาทหากแข็งค่าขึ้นจะทำให้รายได้ในรูปเงินบาทลดลง ซึ่งจากปัจจัยต่างๆ เราคาดการณ์ว่ากำไรในปี 50 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10%

สัดส่วนรายได้จาก COC เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง: ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จาก COC คิดเป็น 51% เพิ่มขึ้นจากในอดีตที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงปริมาณการขนส่งภายในภูมิภาคเอเชียที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเพิ่มขึ้นของสัดส่วน COC ต่อ SOC จะทำให้บริษัทมี Margin ที่สูงขึ้น

แนะนำ ?ซื้อเมื่ออ่อนตัว? โดยมีราคาเป้าหมายปี 50 ที่ 26 บาท: ราคาปัจจุบันซื้อขายกันที่ PER ประมาณ 5 เท่า ของช่วงต่ำของ PER เฉลี่ยในอดีตที่ซื้อขายประมาณ 3-12 เท่า ทั้งนี้ ปัจจุบัน Freight Rate มีแนวโน้มอ่อนตัว แต่ยังคงสูงกว่าช่วงก่อนปี 47 ดังนั้น เราจึงประเมินมูลค่าในปี 50 ด้วยวิธี PER ที่ประมาณ 6 เท่า ได้ราคาเป้าหมายปี 50 ที่ 26 บาท สำหรับเงินปันผลครึ่งหลังปี 49 คาดว่าจะจ่าย 1 บาท ส่วนในปี 50 คาดว่าจะจ่าย 1.50 บาท คิดเป็น Dividend Yield ประมาณ 6.5% อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันราคาห่างจากเป้าหมายไม่มาก แนะนำ ?ซื้อเมื่ออ่อนตัว?

โดย บจ.หลักทรัพย์ โกลเบล็ก ประจำวันที่ 30 ต.ค.2549

.000002

[/color:e16c888877">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#15 วันที่: 30/10/2006 @ 11:50:33 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
บล.สินเอเซีย-แนะซื้อRATCH

บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรี (RATCH): ซื้อ
ราคาปิด 40.75 บาท
ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท
กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 21.2% YoY และ 23.1% QoQ จากค่าใช้จ่ายที่ลดลง
หมวดธุรกิจ : พลังงานและสาธารณูปโภค

ข้อมูลการเงิน
ปี กำไรสุทธิ กำไรปกติ EPS-กำไรปกติ BV DPS P/E P/BV Div. Yield
(ล้านบาท) (ล้านบาท) (บาท/หุ้น) (บาท/หุ้น) (บาท/หุ้น) (เท่า) (เท่า) (%)
2546 5,424 5,424 3.74 17.06 1.75 8.40 1.84 5.57
2547 6,487 6,405 4.42 19.63 2.00 9.01 2.03 5.03
2548 6,066 5,960 4.11 21.72 2.00 9.81 1.86 4.96
9M49 5,188 5,188 3.58 23.29 1.00 - - -
2549F 6,649 6,649 4.59 24.18 2.25 8.89 1.69 5.52
2550F 6,330 6,330 4.37 26.08 2.18 9.33 1.56 5.36
แหล่งข้อมูล : ข้อมูลบริษัท, ACLS

คำแนะนำการลงทุน

กำไรปกติใน 9M49 คิดเป็น 78% ของประมาณการปี 49 โดยคาดว่า RATCH จะมีกำไรปกติปี 49 ที่ 6,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
12% YoY

ยังคงแนะนำ ซื้อ? RATCH เพื่อลงทุนระยะยาวที่ราคาเป้าหมายปี 50 ที่ 48 บาท จากวิธี DCF โดยคาดว่า RATCH จะจ่ายปันผล
ประมาณ 2.25 บาทในปี 49 คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 5.5% ต่อปี และยังมีปัจจัยบวกจากโอกาสการเข้าร่วมประมูล IPP ที่ RATCH มี
ความพร้อมทั้งพื้นที่และสายส่งในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 700-1,400 เมกะวัตต์อยู่แล้ว

สาระสำคัญ

กำไรสุทธิ 3Q49 เพิ่มขึ้น 21.2% YoY และ 23.1% QoQ โดยใน 3Q49 RATCH มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,795 ล้านบาท โดยมีปัจจัย
จาก

รายได้เพิ่มขึ้น 12.4% YoY และ 4.0% QoQ: โดยรายได้ค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าราชบุรี
(Availability Payment: AP) ลดลง 2.2% YoY จากอัตราค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าในปี 2549 มีอัตราต่ำกว่าปี 2548 ซึ่งเป็นไปตาม
ที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) แต่เพิ่มขึ้น 13.1% QoQ เนื่องจากในไตรมาสนี้มีการหยุดซ่อมบำรุง
น้อยกว่า 2Q49 ส่วนรายได้จากค่าพลังงานเพิ่มขึ้น 18.0% YoY และ 1.3% QoQ ตามค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น

อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 15.3%: ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 12.8% ใน 2Q49 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับ 18.1% ใน 3Q48 จากต้นทุนในการบำรุง
รักษาและค่าอะไหล่โรงไฟฟ้าซึ่งเป็นค่าบริการตามสัญญา Contractual Service Agreement (CSA) กับ
General Electric International Operations Co.,Inc และ GE Energy Parts,Inc จำนวน 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 138.3% YoY
และ 54.4% QoQ

รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าลดลง 31.0% YoY และ 31.7% QoQ: โดยใน 3Q49 RATCH รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากไตร
เอนเนอจี้ (TECO) ที่ 222 ล้านบาท ลดลง 11.0% YoY และ 4.4% QoQ โดยได้รวมผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวน 109 ล้านบาท
ทั้งนี้ TECO มีผลการดำเนินงานที่ลดลง YoY และ QoQ เนื่องจากมีการหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมแซมอุปกรณ์โรงไฟฟ้าในเดือนก.ย.49 และยังรับรู้
ส่วนแบ่งขาดทุนของราชบุรีเพาเวอร์ที่ 39 ล้านบาท สูงขึ้น 25% YoY และ 304% QoQ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายบางรายการไม่สามารถบันทึกเป็นต้นทุน
งานระหว่างก่อสร้าง

รายได้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น 122.4% YoY และ 11.6% QoQ: เนื่องจากมีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นและการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
ในปี 49

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 78.4% YoY และ 1.4% QoQ: ลดลงมาก YoY เนื่องจากในปี 48 มีค่าใช้จ่ายในการจัดหา
เงินกู้ใหม่เพื่อทดแทนเงินกู้เดิม 466 ล้านบาท แต่ในไตรมาสนี้ไม่มี

ตารางผลประกอบการ 3Q49
3Q49 3Q48 เปลี่ยนแปลง 2Q49 เปลี่ยนแปลง
(ล้านบาท) (ล้านบาท) YoY (ล้านบาท) QoQ
รายได้ 13,090 11,649 12% 12,592 4%
กำไรปกติ 1,795 1,482 21% 1,459 23%
กำไรสุทธิ 1,795 1,482 21% 1,459 23%
กำไรปกติต่อหุ้น (บาท) 1.24 1.02 21% 1.01 23%
กำไรสุทธิต่อหุ้น (บาท) 1.24 1.02 21% 1.01 23%
อัตรากำไรขั้นต้น (%) 15.32 18.05 12.77
ค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (%) 1.01 5.01 1.07
อัตราหนี้สินต่อทุนสุทธิ (เท่า) 0.63 0.94 0.73
มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (บาท) 23.29 21.26 23.06
แหล่งข้อมูล : ข้อมูลบริษัท, ACLS

โดย บล.สินเอเซีย จำกัด ประจำวันที่ 30 ต.ค. 2549

.000002
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#16 วันที่: 30/10/2006 @ 11:53:38 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
บล.กิมเอ็ง-แนะซื้อลงทุนSTANLY

บมจ. ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) ซื้อลงทุน
Automotive

ราคาปิด (บาท) 162.00
ราคาเป้าหมาย (บาท) 175.00
SET Index 725.77

Stock Information
หุ้นที่ออกและชำระแล้ว (ล้านหุ้น) 76.63
ราคาพาร์ (บาท) 5.00
Free Float (%) 44.27
มูลค่าตลาด (ล้านบาท) 12,414
Foreign Limit (%) 49.00

Major Shareholders
Stanley Electric Co.,Ltd (%) 29.95
กลุ่มลี้อิสสระนุกูล (%) 26.27

กำไรสุทธิยังสามารถรักษาระดับได้ดีต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน

กำไรสุทธิไตรมาสสองยังอยู่ในเกณฑ์ดี

บมจ.ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2550
(งวด ก.ค.? ก.ย. 2549) มีกำไรสุทธิเท่ากับ 325 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 4.24 บาท) เพิ่มขึ้น
+1%qoq และ +33%yoy ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้จะมีกำไรเท่ากับ 322 ล้านบาท ถ้าหากตัดกำไร
จากอัตราแลกเปลี่ยน 14 ล้านบาท จะมีกำไรปกติเท่ากับ 311 ล้านบาท (?4%qoq, +32%yoy)
ตัวเลขกำไรดังกล่าวนับว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี และสามารถรักษาระดับได้ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน
แม้ว่าจะถูกกดดันอย่างหนักจากปัจจัยลบต่างๆ โดย (1.) ยอดขายค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาสก่อน
และปีก่อนที่ 2,016 ล้านบาท สอดคล้องกับยอดผลิตรถยนต์ของประเทศรวม (2.) อัตรากำไรขั้นต้น
เท่ากับ 20.1% ลดลงจากไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ 22.2% คาดเป็นผลจากส่งมอบแม่พิมพ์น้อยลง แต่ดีขึ้น
จากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 18.3% จากการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ และ
(3.) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ปรับลดลงมาเหลือเพียง 88 ล้านบาท ลดลง 27%qoq และ
28%yoy

แนวโน้มกำไรในช่วงที่เหลือของปีคาดหมายว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง

แนวโน้มกำไรในช่วงที่เหลือของปีคาดหมายว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง จากคำสั่งซื้อ
ใหม่ๆเข้ามาต่อเนื่อง การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ ทำให้เราคาดหมายว่ากำไรในปีนี้จะยัง
ขยายตัวเท่ากับ 13% เป็น เท่ากับ 1,218 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 15.9) บาท โดยผลประกอบการ
ในงวด 6 เดือนแรกคิดเป็น 53% ของประมาณการทั้งปี ในขณะที่ผลประกอบการงวดครึ่งปีหลังจะสูงกว่า
งวดครึ่งปีแรกทำให้แนวโน้มผลประกอบการมีโอกาสจะมากกว่าที่เราประเมิน

คงคำแนะนำ ซื้อลงทุน แต่อัพไซด์เริ่มน้อย

เราประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 175 บาท ภายใต้เงื่อนไข P/E 11 เท่า ซึ่งมากกว่า
หุ้นกลุ่มยานยนต์อื่นๆเล็กน้อย เรายังคงคำแนะนำ ซื้อลงทุน แต่ราคาหุ้นก็เริ่มมีอัพไซด์น้อยลงเหลือ 8%
หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

Earnings summary
Year End Mar 31 2M04 2005 2006 2007F 2008F
Sales (Btmn) 1,087 6,870 8,316 9,596 10,364
EBITDA (Btmn) 245 1,674 1,965 2,236 2,415
Earnings (Btmn) 124 867 1,067 1,218 1,352
EPS (Bt) 1.62 11.32 13.92 15.9 17.64
PER (x) 100.3 14.3 11.6 10.2 9.2
EV/EBITDA (x) 51.5 7.3 6 5.1 4.3
CF/share (Bt) 2.7 18.3 21.5 24.4 26.2
BVPS (Bt) 38.8 46.4 56.5 67.8 80.2
P/BV (x) 4.2 3.5 2.9 2.4 2
DPS (Bt) 0.5 3.7 4.6 5.3 5.8
Dividend yield (%) 0.30% 2.30% 2.80% 3.20% 3.60%
Net debt/equity (x) 0.1 Cash Cash Cash Cash
ROA (%) 3.00% 19.40% 20.80% 19.70% 18.90%
ROE (%) 4.20% 26.60% 27.10% 25.60% 23.80%
Source : Company reports and KELIVE Research estimates.

STANLY quarterly earnings (Btmn)
2Q07 1Q07 %qoq 2Q06 %yoy 1H07 %yoy 1H/07F
Sales 2,016 2,030 -1% 2,023 0% 4,046 2% 42%
Other Income 73 73 0% 38 90% 146 57% 79%
COGS 1,432 1,401 2% 1,496 -4% 2,833 -3% 41%
Depreciation & amortisation 178 180 -1% 157 13% 357 16% 51%
Gross profit 406 450 -10% 370 10% 856 14% 44%
Gross margin (%) 20.10% 22.20% - 18.30% - 21.20% -
SG&A 88 121 -27% 123 -28% 209 -15% 36%
SG&A/Sales (%) 4% 6% - 6% - 5% -
EBITDA 569 581 -2% 442 29% 1,149 26% 51%
EBITDA margin (%) 28% 29% - 22% - 28% -
Interest expense 0 0 -50% 1 -100% 0 -100% 1%
Equity from subsidiary 14 20 -32% 14 -1% 34 38% 63%
Net profit before extra item 311 325 -4% 235 32% 635 28% 52%
Extra item 14 -2 nm 10 44% 12 -8%
Net profit 325 322 1% 245 33% 647 27% 53%
EPS (Bt) before extra item 4.06 4.24 -4% 3.07 32% 8.29 28% 52%
EPS (Bt) 4.24 4.21 1% 3.19 33% 8.45 27% 53%
Source : Company reports and KELIVE Research estimates. Note: COGS does not include depreciation and amortisation

โดย บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 30 ต.ค.2549

.000002
[/color:332360c8ab">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#17 วันที่: 30/10/2006 @ 11:58:55 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
BLSมองดัชนีระยะกลางเป็นบวก

นายคมสันต์ ปรมาภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2549 แนะนำให้นักลงทุนปิดสถานะ ?Long? ที่เปิดไว้ และหากดัชนี SET50 ลงไปอยู่ในระดับ 505-500 จุดให้ทยอยเปิดสถานะ ?Long? กลับ และไม่แนะนำให้เปิดสถานะ ?Short? เนื่องจากมองว่าตลาดในระยะกลางยังคงอยู่ในระดับที่ดี
ทั้งนี้ ดัชนี SET50 มีแนวต้านที่ 520 จุด และแนวรับที่ 500 จุด สัญญา S50Z06 สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2549 มีแนวต้านที่ 520 จุด และแนวรับที่ 505 จุด

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ราคาฟิวเจอร์สลดลงมาจากการที่นักลงทุนต่างชาติที่เปิดสถานะ ?Long? ไว้มาก แต่เมื่อมีสัญญาณขายจึงปิดสถานะและทำให้ปริมาณการซื้อขายเริ่มลดลง ส่วนนักลงทุนรายย่อยเปิดสถานะ ?Short? ไว้มาก และเมื่อตลาดขึ้นทำให้ปริมาณการซื้อขายของรายย่อยชะลอตัวลงไป แต่การปรับตัวลงมาค่อนข้างดี ทำให้นักลงทุนรายย่อยสามารถปิดสถานะทำกำไรได้

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสามารถใช้ดัชนี SET เป็นสัญญาณในการเปิดสถานะ ?Long? ได้ โดยหากดัชนีปรับลงไปต่ำกว่า 720 จุด น่าจะมีโอกาสเข้าไปเปิดสถานะได้ และยังแนะนำให้นักลงทุนเปิดสถานะเฉพาะสัญญา S50Z06 อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนนักลงทุนที่ต้องการเปิดสัญญา S50H07 สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2550 ให้รอสถานะคงค้างปรับขึ้นไปเกิน 1,000 สัญญาจึงเป็นจุดที่น่าเข้าไปลงทุน
?มองว่าเดือนมีนาคมพื้นฐานไม่น่าจะดี ตลาดน่าจะดีในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงต้นปีหน้าเล็กน้อย การไปเปิดสถานะในเดือนมีนาคมนั้น ราคาฟิวเจอร์สอาจจะไม่ปรับตามดัชนีอ้างอิง เพราะเป็นช่วงของการจ่ายเงินปันผล? นายคมสันต์ กล่าว
นายคมสันต์ กล่าวต่อว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนี SET50 ปรับตัวลดลงเนื่องมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าค่อนข้างเร็ว และเป็นในสัดส่วนที่มาก และมองว่าค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไปซึ่งเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้ามาดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับปกติได้

ดัชนี SET50 วันที่ 27 ตุลาคม 2549 ปิดที่ระดับ 508.64 จุด ลดลง 2.00 จุด หรือ 0.39% มูลค่าการซื้อขาย 6,259.03 ล้านบาท
ภาวะปิดตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ประจำวันที่ 27 ตุลาคม 2549 มีปริมาณการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 1,255 สัญญา โดยสัญญา S50Z06 สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2549 มีปริมาณการซื้อขาย 1,189 สัญญา โดยดัชนีปิดที่ระดับ 511.40 จุด ลดลง 3.70 จุด มีราคาเสนอซื้อสัญญาที่ 511.40 จุด ราคาเสนอขายที่ 511.50 จุด

สัญญา S50H07 สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2550 มีปริมาณการซื้อขาย 64 สัญญา ดัชนีปิดที่ระดับ 511.50 จุด ลดลง 3.60 จุด มีราคาเสนอซื้อสัญญาที่ 511 จุด และราคาเสนอขายที่ 511.70 จุด สัญญา S50M07 สิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2550 มีปริมาณการซื้อขาย 1 สัญญา โดยดัชนีปิดที่ระดับ 513.50 จุด ลดลง 3.40 จุด มีราคาเสนอซื้อสัญญาที่ 512 จุด และราคาเสนอขายสัญญาที่ 512.10 จุดสัญญา S50U07 สิ้นสุดเดือนกันยายน 2550 มีการซื้อขาย 1 สัญญา มีราคาเสนอซื้อสัญญาที่ 512 จุด และราคาเสนอขายสัญญาที่ 513 จุด



.000002
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#18 วันที่: 30/10/2006 @ 12:13:14 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
EASTW คุยQ4 ถึงปีหน้าโตเพิ่ม มองหาพันธมิตรร่วมทุนไฟฟ้า

EASTW คุยไตรมาสรายได้เติบโตเพิ่ม ทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมาย 1.6-1.7 พันล้านบาท ขณะที่Q1 ปีหน้าขยายตัวเพิ่มต่อ ล่าสุดเดินหน้าพันธมิตรร่วมธุรกิจผลิตไฟฟ้า พร้อมเตรียมเปิดโต๊ะรับซื้อหุ้น ?เอ็กคอมธารา? จากผู้ถือหุ้นรายย่อย ก่อนกลับไปเจรจากับ EGCOMP อีกครั้ง ส่วนการนำบริษัทย่อยเข้า ตลท.ยังติดกฎเกณฑ์บางประการ โบรกฯให้แนวต้านที่ 6.00 บาท มองภาพรวมธุรกิจแกร่ง

นายวันชัย หล่อวัฒนตระกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 4/2549 คาดว่ารายได้น่าจะเติบโตประมาณ 4-5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2548 ที่มีรายได้อยู่ที่ 370 ล้านบาท หรือใกล้เคียงกับไตรมาส 3 ที่ผ่านมามีรายได้ 400 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากในไตรมาส 4 ธุรกิจน้ำดิบมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปริมาณการใช้น้ำของนิคมอุตสาหกรรมและลูกค้าครัวเรือนเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนเป้ารายได้รวมทั้งปี 2549 ทางบริษัทเชื่อว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 7-8% หรือมีรายได้ไม่น้อยกว่า 1,600-1,700 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทมั่นใจในไตรมาส 1/2550 คาดว่ารายได้น่าจะออกมาดีกว่าไตรมาส 4/2549 เช่นกัน เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากน้ำประปาเข้ามาช่วยเสริมรายได้ของบริษัทให้ปรับตัวดีขึ้น แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาปริมาณน้ำจะค่อนข้างเยอะก็ตาม แต่บริษัทยังมีได้รายได้จากการจ่ายน้ำประปาให้กับผู้บริโภคในย่านสุวรรณภูมิเข้ามาช่วยเสริม ดังนั้นจึงคาดหวังว่าเป้าอัตราการเติบโตในปี 2550 ไว้ที่ 10% นั้นจะสามารถทำได้ ส่วนความคืบหน้าเรื่องของการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้านั้น นายวันชัย กล่าว ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนในธุรกิจดังกล่าว โดยในเบื้องต้นบริษัทคาดว่าจะผลิตไฟฟ้าในอัตรากำลังการผลิตที่ 50 เมกะวัตต์ และต้องใช้งบลงทุนประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2550 นั้น ในส่วนของการลงทุนในธุรกิจน้ำดิบนั้นคงไม่มีการลงทุนวางท่อขนาดใหญ่ เนื่องจากบริษัทได้ลงทุนไปไหมดแล้ว แต่จะเป็นการลงทุนในส่วนของแหล่งน้ำสำรองมากกว่า โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนในส่วนนี้ประมาณ 500 ล้านบาท ส่วนของธุรกิจน้ำประปา ทางบริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทย่อย) จะเป็นผู้ลงทุน เพราะได้สัมปทานได้ที่จังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา บางปะกง และเกาะสมุย โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนในส่วนนี้ประมาณ 500-600 ล้านบาท ส่วนธุรกิจน้ำดื่มนั้น ทางบริษัทจะลดปริมาณการให้บริการตู้น้ำดื่มลดลง เพราะว่าตู้บริการน้ำดื่มเริ่มที่จะถึงจุดที่อิ่มตัวแล้ว โดยปัจจุบันบริษัทมีตู้กระจายทั่วประเทศแล้วกว่า 3,000-4,000 ตู้

นายวันชัย กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องเกี่ยวกับการซื้อเอ็กคอมธาราจาก บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCOMP) หรือ เอ็กโกว่า ขณะนี้การเจรจายังไม่มีความคืบหน้ามากนัก เนื่องจากยังติดในเรื่องของราคาและจำนวนหุ้นที่ยังตกลงกันไม่ได้ ดังนั้นทางบริษัทจะหาวิธีการที่จะไปเจรจากับทางผู้ถือหุ้นรายย่อยเพื่อขอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยให้ได้ครบ 25% แทน จากปัจจุบันบริษัทถือหุ้นอยู่ที่ 15% แล้วทางบริษัทจะกลับไปเจรจากับ EGCOMP อีกครั้ง

ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับการนำบริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)นั้น นายวันชัยกล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้ส่งเรื่องให้กับทางที่ปรึกษาทางการเงินกลับไปศึกษาข้อมูลบางอย่างเพิ่มเติม เพราะว่าติดขัดกฎเกณฑ์บางเรื่อง

ด้าน นายชัย จิรเสรีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัท หลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยยังคงมีมุมในเชิงบวกต่อหุ้นของ EASTW เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของ EASTW นั้นถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี นอกจากนี้ EASTW เองมีแผนที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและค่อนข้างที่จะมีความเป็นได้สูง อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยประเมินว่าระดับราคาหุ้นของ EASTW จะยังคงแกว่งตัวในลักษณะของการ Side Way ในกรอบแคบ ๆ ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงได้ประเมินกรอบราคาทางเทคนิคโดยให้แนวรับอยู่ที่ 5.50 บาท ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ 5.90 บาท

ด้านนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท หลักทรัพย์ แอ๊ดคินซิน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยมองว่าระดับราคาหุ้นของ EASTW อาจจะปรับเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อยเท่านั้น เพราะว่ายังขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุน แต่ถ้ามองในระยะยาวนั้นปัจจัยพื้นฐานของ EASTW ถือว่ายังน่าลงทุน ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงประเมินกรอบแนวรับอยู่ที่ 5.50 บาท ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 6 บาท

โดย กระแสหุ้น

.000009
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#19 วันที่: 30/10/2006 @ 12:20:00 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
OISHI รับตลาด ตปท.เจาะยาก โบรกฯมองธุรกิจเริ่มถึงจุดอิ่มตัว

?โออิชิ? เตรียมเปิดตัว 3 แบรนด์ใหม่ในงานราชพฤกษ์ 1 พ.ย.นี้ พร้อมคงเป้ารายได้ทั้งปีที่ 5,000 ล้านบาท คุยโฆษณาตัวใหม่ช่วยกระตุ้นยอดขายเพิ่ม แต่ยอมรับตลาดต่างประเทศเจาะยาก ส่วนปีหน้า มีแผนเปิด 2 สินค้าใหม่ภายใต้แบนด์เดิม คาดทั้งปีเติบโตได้ 20% โบรกฯมองตลาดชาเขียวอิ่มตัว ส่งผลให้กำไรลดลงตามไปด้วย

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ OISHI เปิดเผยว่า บริษัทจะทำการเปิดตัวเครื่องดื่มน้ำผลไม้แบนด์ใหม่ 3 แบนด์ในงานราชพฤกษ์ 2006 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยงบประมาณ 50 ล้านบาท รวมทั้งมีงบโฆษณาอีก 10 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถรับรู้ยอดขายเข้ามาในปี 2550 จึงยังคงรายได้ในปีนี้ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเครื่องดื่ม 3,000 ล้านบาท และอาหาร 1,500 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ?ตอนนี้ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดมากนัก เนื่องจากยังไม่เปิดตัว แต่เรายังคงเน้นสินค้าเพื่อสุขภาพอยู่แน่นอน และที่ผ่านมาไม่นานเราก็ได้ตอกย้ำการมีสุขภาพดีด้วยโฆษณาโออิชิตัวใหม่ ชุดคิมและจิน ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยยังไม่รู้ว่าจะ Growth เท่าไหร่ เพียงยอดขายน่าจะขยับขึ้นมาจากคำสั่งซื้อที่เพิ่ม ซึ่งเราจะมีโฆษณาอีก 2 ชุดรอออกอากาศอยู่?

สำหรับตลาดในต่างประเทศนั้น บริษัทยังคงเจาะตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากทั้งเรื่องการทำตลาด และการโฆษณาที่มีงบประมาณค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงดำเนินการต่อไป โดยยังมีช่องทางที่ดีในการทำตลาดของเบียร์ช้างช่วยสนับสนุน

นอกจากนี้ ในปี 2550 บริษัทมีแผนเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบนด์เดิมอย่างโออิชิ และอะมิโนโอเค โดยตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 20% ซึ่งถือเป็นมาตรฐาน แต่ทำได้หรือไม่นั้นต้องดูอีกครั้งหนึ่ง ส่วนกรณีที่มีผู้ประกอบการหลายรายในส่วนของธุรกิจเครื่องดื่มน้ำผลไม้ หันลงมาเล่นตลาดล่างกันมากขึ้นนั้น ทางบริษัทมองว่าเป็นไปตามกลไกตลาดมากกว่า โดยตลาดน้ำผลไม้ถือเป็นตลาดใหญ่ที่สามารถเข้าแข่งขันกันได้ ซึ่งที่ผ่านมาตลาดได้มีการทำตลาดเช่นนี้อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ?เป็นปกติที่ใครจะเข้ามาเล่น โดยที่ผ่านมาคนทำตลาดบนหันมาเล่นตลาดล่าง หรือคนเล่นตลาดล่างหันไปจับตลาดบนถือเป็นเรื่องปกติ เพราะตลาดน้ำผลไม่มีขนาดค่อนข้างใหญ่?

ด้านนายไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนายการฝ่ายปฏิบัติการร้านอาหาร กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีการเปิดสาขาร้านอาหารเพียง 6 สาขา จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 10 สาขา เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ นอกจากนี้ ยังมีการปิดบางสาขาที่หมดสัญญากับทางเจ้าของพื้นที่ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับรายได้ของธุรกิจแต่อย่างได


ขณะที่ในปี 2550 บริษัทยังคงดำเนินการตามแผนเดิมที่จะขยายสาขาให้ได้ 10 สาขาเป็นอย่างน้อย โดยไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นแบนด์ไหน จำนวนเท่าไหร่ เนื่องจากบางพื้นที่ที่ตั้งใจว่าจะเปิดบางแบรนด์อาจจะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม ?ธุรกิจร้านอาหารของเราโตเฉลี่ยประมาณ 13% ซึ่งมากกว่าการเติบโตของตลาดที่อยู่ 5-6% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลประกอบการจะออกมาค่อนข้างดีแน่นอน?

นอกจากนี้ บริษัทได้ทำการเปิดแบนด์ร้านใหม่ ?The Tepp? ร้านอาหารประเภทเทปันยากิ โดยจะเป็นส่วนหนึ่งของร้านอาหารในเครือโออิชิ ซึ่งได้รับความนิยมจากลูกค้าต่างประเทศจำนวนมาก และเริ่มเปิดแห่งแรกที่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์

ด้านนางสาวลินดา โชคชูชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ให้ความเห็นว่า ทางบริษัทได้ปรับประมาณการกำไรปีนี้ลงจากเดิม 868 ล้านบาท เหลือเพียง 167.9 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าตลาดชาเขียวเริ่มอิ่มตัว ซึ่งน่าจะดูได้จากไตรมาส 3 ที่คาดว่าผลประกอบการในส่วนของเครื่องดื่มน่าจะลดลง โดยไตรมาส 2 ที่ผ่านมาลดลงถึง 40% YoY ขณะที่ตลาดโดยรวมลดลงถึง 76.4% ส่วนธุรกิจร้านอาหารที่เติบโตขึ้นน่าจะมาชดเชยในกำไรที่ลดลงไปได้เพียงเล็กน้อย เพราะในไตรมาส 2 ปีนี้ธุรกิจขยายตัว 14.2% ขณะที่ธุรกิจเครื่องดื่มหดตัวถึง 40%

โดย ASP ให้มูลค่าพื้นฐาน (Fair Value)อยู่ที่ 23.90 บาท โดยในแง่ของราคาแล้วยัง Up Side ขึ้นไปได้บ้างประมาณ 10% แต่ทางบริษัทให้คำแนะนำ ขาย ซึ่งราคาเทคนิคมีแนวรับที่ 19.70 บาท ส่วนแนวต้านที่ 23.00 บ

.000001
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#20 วันที่: 30/10/2006 @ 12:29:20 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
[u:68b9d9304f">[b:68b9d9304f">ชี้แนวโน้มดัชนีปรับฐาน เพื่อทะยานระลอกใหม่ ต่างชาติเริ่มวิตกค่าบาท [/b:68b9d9304f">[/u:68b9d9304f">

ประเมินทิศทางดัชนี แนวโน้มปรับฐานเพื่อทะยานรอบใหม่ ระบุค่าบาทแข็งค่ารวดเร็ว กระทบต่อการลงทุนต่างชาติ ฉุดซื้อขายเบาบางลง สัปดาห์นี้จับตาปัจจัยเม็ดเงินไหลเข้า ตัวเลขเศรษฐกิจแบงก์ชาติที่จะประกาศออกมา และตัวเลขกำไร บจ.

นายชัย จีระเสรีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัท หลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทย สัปดาห์นี้ (30 ต.ค.-3 พ.ย.) ว่า ตลาดหุ้นไทยอาจจะมีการปรับตัวอ่อนลงหรือปรับฐานของดัชนีก่อน เพื่อการปรับตัวขึ้นต่อ ทั้งนี้มีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน ที่เริ่มทยอยประกาศออกมา ปัจจัยเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจของแบงก์ชาติที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ และปัจจัยเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างมาก ส่วนทิศทางของนักลงทุนต่างประเทศนั้น มองว่าจะยังเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่ปริมาณการซื้อขายอาจจะชะลอตัวลง ประเมินกรอบแนวรับอยู่ที่ 715 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 738-740 จุด

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท หลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า ยังอยู่ในช่วงของการพักปรับฐาน ทั้งนี้คาดว่าดัชนีจะยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ในลักษณะของการ Side Way เนื่องจากมีปัจจัยเกี่ยวกับค่าเงินบาท ที่ปรับแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจจะทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามให้น้ำหนักเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเร็วเกินไป ความผันผวนอาจจะส่งผลให้มีเงินไหลเข้า และอาจจะเทขายทำกำไรออกมาเร็วได้เช่นกัน ปัจจัยเกี่ยวกับเรื่องของตัวเลขเศรษฐกิจที่ของแบงก์ชาติที่จะประกาศออกมา รวมไปถึงเรื่องของการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2549 ของบริษัทจดทะเบียน ส่วนทิศทางของนักลงทุนต่างชาติแรงซื้ออาจเบาบางลง ไม่มากเหมือนในช่วงที่ผ่านมา

โดย กระแสหุ้น[/color:68b9d9304f">

.0007
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#21 วันที่: 30/10/2006 @ 14:49:42 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
RAIMON ปิดเช้าพุ่ง 5.71% โบรกฯมองบวกช่วงสั้น-จะเปิดโครงการใหม่ พ.ย.นี้

หุ้น RAIMON ปิดเทรดช่วงเช้าราคาพุ่งขึ้น 5.71% มาอยู่ที่ 1.48 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท มูลค่าซื้อขาย 20.67 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 1.42 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1.50 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 1.41 บาท

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.สินเอเซีย ระบุว่า หุ้น RAIMON มีปัจจัยบวกช่วงสั้น เตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่มูลค่า 3 พันล้านบาทในเดือนพ.ย.49 และกำลังเจรจาซื้อที่ดินใหม่มูลค่า 500-1,500 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ คาดสรุปผลได้สิ้นปี 49

สำหรับแนวโน้มกำไรปี 49 อาจชะลอตัว เนื่องจากยอดขาย (Presale) ส่วนใหญ่ (ประมาณ 1.5 พันล้านบาทจะไปรับรู้เป็นรายได้เต็มที่ในปี 50
พร้อมให้แนวรับ 1.38-1.36 บาท แนวต้าน 1.44-1.46 บาท และมีจุดถอย 1.35 บาท

ส่วนบล.ยูไนเต็ด มองหุ้น RAIMON เป็นหุ้นเด่นในวันนี้ โดยให้เป้าหมายไว้ที่ 1.50 บาท

.000002
 กลับขึ้นบน
samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
#22 วันที่: 30/10/2006 @ 15:41:25 : re: ข่าวสดสดวันนี้นี้นี้
TOP ขายหุ้นกู้ 2 ชุด 5.5 พันลบ. ดอกเบี้ย 5.39% และ 5.70%

นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการอำนวยการ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า ในวันที่ 31 ตุลาคม 2549
บริษัทฯ จะดำเนินการระดมเงินกู้ระยะยาว โดยการออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
เสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน จำนวน 2 ชุด วงเงินรวม 5,500 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ครั้งที่ 1/2549 ชุดที่ 1 ครั้งที่ 1/2549 ชุดที่ 2
มูลค่าหุ้นกู้ที่เสนอขาย 2,750 ล้านบาท 2,750 ล้านบาท
อายุหุ้นกู้ 3 ปี 7 ปี
อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 5.39 ต่อปี ร้อยละ 5.70 ต่อปี
วันออกหุ้นกู้ 31 ตุลาคม 2549 31 ตุลาคม 2549
วันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ 31 ตุลาคม 2552 31 ตุลาคม 2556
อัตราต่อหน่วย 1,000 บาท 1,000 บาท

ทั้งนี้ หุ้นกู้ทั้ง 2 ชุดดังกล่าวมีธนาคารแสตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย
และมีธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้ รวมทั้งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ โดยบริษัท ฟิทช์
เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ระดับ AA-

.000002
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com