May 6, 2024   12:36:34 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้นค่ะ......
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 30/10/2006 @ 10:24:43
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.เอเชียพลัสแนะนำซื้อ KSLราคาเป้าหมาย 12.69 บาทผลการประชุมเบื้องต้นระหว่างผู้ประกอบการเอทานอล และกระทรวงพลังงาน ได้ข้อสรุปว่ากระทรวงฯ จะขอดูปริมาณการผลิตเอทานอลในอีก 1 เดือนข้างหน้าก่อน จึงจะประกาศว่าจะยกเลิกการใช้เบนซิน 95 อย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ (เบื้องต้นจะเลื่อนไปถึงเดือนเมษายน2550) เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีปริมาณเอทานอลเพียงพอ เนื่องจากหากมีการยกเลิกการใช้เบนซิน 95 ความต้องการใช้เอทานอลจะอยู่ที่ 8 แสนลิตร/วัน ในขณะที่ปัจจุบันผลิตได้เพียง 4.8แสนลิตร/วัน (เดือน ธ.ค. นี้ จะมีโรงงานขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 1.3 แสนลิตร/วัน) ประเด็นดังกล่าว อาจส่งผลต่อแผนการขยายกำลังการผลิตเอทานอลของ KSL อีก 2.5แสนลิตร/วัน (แบ่งเป็น 2 โรงงาน โรงงานละ 1 และ 1.5 แสนลิตร/วัน) เพื่อรองรับความต้องการใช้เอทานอลที่เพิ่มขึ้นหลังรัฐบาลประกาศยกเลิกการใช้เบนซิน 95 เพราะบริษัทฯอาจต้องรอดูความต้องการใช้ให้แน่ชัดอีกครั้ง อย่างไรก็ตามจากการทำSensitivity Analysis ของฝ่ายวิจัยพบว่าหากมีการเลื่อนสร้างโรงงานใหม่จริง จะส่งผลต่อกำไรสุทธิของ KSL ในปี 2550/51 เนื่องจากฝ่ายวิจัยใช้สมมติฐานให้ KSL ผลิตเอทานอล 2.4 แสนลิตร/วัน ซึ่งกรณีเลวร้ายสุดหาก KSL ไม่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจากปัจจุบันจะส่งผลให้กำไรสุทธิจากธุรกิจเอทานอลของ KSL ลดลงเหลือ 182 ล้านบาท จากเดิม 298 ล้านบาท (ปี 2549/50 คาดว่าปริมาณการผลิตไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ราคาขายเอทานอลที่มีแนวโน้มปรับลดลงหลังคาดว่ากากน้ำตาลจะเพิ่มขึ้น ก็อยู่ในความคาดหมายของฝ่ายวิจัยแล้ว) และหากพิจารณาในส่วนของ Fair value ในกรณีเลวร้ายสุดที่KSL ไม่สร้างโรงงานใหม่ จะส่งผลให้ Fair value ลดลงเหลือ 10.63 บาท ความไม่แน่ชัดของนโยบายรัฐบาลข้างต้น น่าจะส่งผลด้านลบต่อ KSL เนื่องจากทำให้เกิดความไม่แน่นอนของการดำเนินงาน และอาจทำให้ Fair value ที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ที่ 12.69 บาท สูงเกินไป ระยะสั้นจึงคาดว่าน่าจะเป็นแรงกดดันราคาหุ้น KSL

บล.ซิกโก้แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุน KCEราคาเป้าหมาย 3.44 บาทด้วยผลของ High Season SSEC คาดว่า KCE จะมียอดขายเท่ากั บ 1,963 ลบ.เพิ่มขึ้น10.6% QoQ และ 5.0% YoY บริษัทได้รับคำสั่งผลิตที่ยังมี เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงภาพรวมอุตสาหกรรมที่ยังขยายตัว โดยมีตัวเลข PCBBook to Bill ที่ยืนเหนื อ1 เท่ามาตั้งแต่เดือน พ.ย. 04 เป็นเครื่องยืนยันเราคาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตจะอยู่ในระดับ 90% ทุกโรงงาน โดยประเมินโรงงาน KCEไว้ ที่ 90.0% โรงงาน KCEI 99.0% และ โรงงานKCET 93.0% นอกจากนี้ยอดขายยังได้รับผลบวกจากการปรับราคาขายขึ้นอีกประมาณ 5.0% ที่บริษัทเริ่มทยอยเจรจากับลูกค้ามาตั้งแต่เดือน ก.ค.อีกด้วย โดยตอนนี้บริษัทสามารถขึ้นราคากับลูกค่ารายใหญ่ทุกรายได้แล้วเหลือเพียงแค่ลูกค้ารายย่อยเท่านั้นด้วยบริษัทสามารถปรับเพิ่มราคาขายได้มากขึ้นประกอบกับต้นทุนวัตถุ ดิบต่างๆเช่น ทองแดงราคาเริ่มทรงตัวหลังจากขึ้นมาตลอดตั้งแต่ต้นปี รวมทั้งอัตราของเสียจากการผลิตที่ทรงตัวจากไตรมาสที่แล้ว ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ใน3Q06E ปรับตัวดีขึ้นจาก 12.1%ใน 2Q06A เป็น 15.9% แต่ก็ยังอยู่ ในระดับที่ตำกว่า 21.5% ของช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี GPM ที่เพิ่มขึ้นยังไม่สามารถทำให้ บริษัทกลับมามีกำไรสุทธิได้ เพราะเมื่อหัก SG&A 289ลบ. และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยอีก 75 ลบ. ส่งผลให้ บริษัทยังคงมีผลขาดทุนในไตรมาสนี้ 28ลบ. พลิกกลับมาจากก ำไร 103 ลบ. ใน3Q05A แต่ดีขึ้นจาก 2Q06A ที่ขาดทุนถึง 91 ลบ.จากการสอบถามผู้บริหาร เราประเมินว่าแนวโน้มในไตรมาสที่ 4 น่าจะดีขึ้นโดยตอนนี้บริษัทยังคงมีคำสั่งผลิตอยู่ในมือล่วงหน้าอย่างน้อย 12 สัปดาห์ ดังนั้นเรื่องยอดขายจึงไม่ใช่ปัจจัยที่ต้องกังวล แต่สิ่งที่เราคาดว่าจะยังกดดันผลประกอบการอยู่คือเรื่องของค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบริษัทจะพยายามปรับสัดส่วนยอดขายและต้นทุนให้ Match กันมากที่สุดแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ทั้งหมด

บล.บัวหลวงแนะนำถือ SCCราคาเป้าหมาย 240 บาทSCC ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 3/49 ที่ 7,600 ล้านบาท ลดลง 10% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ทรงตัวเมื่อเทียบจากไตรมาสที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานนี้ได้รวมการตั้งสำรองมูลค่าลดลงของการลงทุนใน Thai CRT เพิ่มเติมอีก 948 ล้านบาทถ้าปรับปรุงด้วยรายการพิเศษนี้ กำไรจากการดำเนินงานปรับตัวสูงขึ้น 7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และ 13% จากไตรมาสที่แล้ว โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจปิโตรเคมี กำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 24,800 ล้านบาท ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่กำไรสุทธิที่มาจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 25,400 ล้านบาท ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงหากเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน SCC ได้ประกาศว่าจะมีการลงทุนในโรงงานผลิตกระดาษคราฟท์ใหม่ในประเทศเวียดนาม งบจ่ายลงทุน (CAPEX) สำหรับโครงการนี้วางงบประมาณไว้ที่ 5,200 ล้านบาท โดยโรงผลิตนี้จะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 220,000 ตันและคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในช่วงกลางปี 2552โรงงานใหม่ในประเทศเวียดนามจะทำให้กำลังการผลิตกระดาษอุตสาหกรรมของบริษัทเพิ่มขึ้น 14% นอกจากนี้บริษัทยังรายงานว่าตัวเลขล่าสุดสำหรับการลงทุนใน ระยองโอลิฟินส์แห่งที่ 2 (ROC#2) อยู่ที่ 1,200 เหรียญสหรัฐฯ (ก่อนหน้าที่รายงานไว้ที่ 1,100 เหรียญสหรัฐฯ ) ในขณะที่ต้นทุนของการลงทุนในธุรกิจปลายน้ำ HDPE และ โรงงาน PP ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เดิมอยู่ที่ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โรงงาน ROC#2 นั้นเป็นการร่วมทุนระหว่าง SCC (67%) และ Dow Chemical (33%) โรงผลิตนี้จะมีกำลังการผลิต 900,000 ตัน สำหรับเอทีลีน 800,000 ตัน สำหรับโพรพิลินและกว่า 700,000 ตัน สำหรับของสินค้าอื่นๆที่ไม่ใช่สินค้าหลัก (by product)

บล.กิมเอ็งแนะนำถือ TISCOราคาเป้าหมาย 25.00 บาทบมจ ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ประกาศผลประกอบการกำไรสุทธิไตรมาส 3/49 ออกมาเท่ากับ 332 ล้านบาท ลดลง 34.5%yoy เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและลดลง 5.3%qoq เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา สาเหตุหลักเกิดจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ยังคงปรับเพิ่มขึ้นสูงถึง 99.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด นอกจากนี้รายได้ที่ไม่ได้อยู่ในรูปดอกเบี้ยก็ปรับตัวลดลง 25.5% yoy เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากกำไรจากการขายเงินลงทุนที่ลดลงรายได้หลักคือรายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 15.3%yoy และ 5.4%qoq ทั้งนี้เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยรวมเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นสูง 99.0%yoy และ 8.7%qoq ตามการเติบโตของเงินฝาก ส่งผลให้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ปรับตัวลดลงเป็นที่ระดับ 3.30% ในไตรมาส 3/49จาก 3.33% ในไตรมาส 2/49 และ 4.17% ในไตรมาส 3/48 แม้ผู้บริหารแจ้งว่าแนวโน้มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยได้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่า TISCO ยังคงจะพบกับความท้าทายต่อไปในการบริหารต้นทุนดอกเบี้ย เนื่องจากปริมาณเงินฝากที่เพิ่มขึ้นและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยตลาดที่ยังทรงตัวในระยะสั้น สิ้นสุด ณ เดือนก.ย.49 TISCO มีเงินให้สินเชื่อ รวมเท่ากับ 6.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6 พันล้านบาท หรือ 4.0% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/49 และเพิ่มขึ้น 3.8 พันล้านบาท หรือ 6.0% เมื่อเทียบกับปลายปี 48ที่ผ่านมา สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจาก TISCO มีนโยบายที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายในด้านดอกเบี้ย สำหรับเงินฝากปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 6.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0 หมื่นล้านบาท หรือ 19.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/49 คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ที่ดีโดย NPLs ratio ปรับตัวลดลงเป็น 4.61% จาก 4.67% ในไตรมาส 2/49 ผู้บริหารแจ้งว่า TISCO มีระดับการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้ฯอยู่ในระดับสูง และเชื่อว่าจะไม่รับผลกระทบทางลบต่อแนวทางของธปท ที่จะให้มีการใช้เกณฑ์การตั้งสำรองใหม่ ตามแนวทาง IAS 39






[/color:13fc144159">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com