May 6, 2024   5:46:23 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้น-บาทไปต่อ เงินนอกโยกลุย
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 30/10/2006 @ 10:19:28
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตลาดหุ้น-ค่าบาทได้น้ำดี สัปดาห์นี้มีโอกาสวิ่งต่อ รับอานิสงค์เม็ดเงินหนีออกสหรัฐลุยภูมิภาคเอเชีย โดยเข้าซื้อสุทธิหุ้นไทยไปแล้วเฉียด 20,000 ล้านบาทเล็งซื้อเพิ่ม ขณะที่บาทมีโอกาสแตะ 36.60 บาทต่อดอลลาร์

นักค้าเงินจากธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้จะยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยกรอบคาดว่าจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 36.60-37.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศที่ยังไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย ทำให้ค่าเงินทั่วทั้งภูมิภาคแข็งค่าขึ้นในทิศทางเดียวกัน
โดยเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามา ได้ไปลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ ซึ่งส่งผลให้หุ้นในภูมิภาคเอเชียปรับขึ้น จะเห็นได้จากพอร์ตต่างชาติเป็นการซื้อสุทธิต่อเนื่องกัน ดังนั้นสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นคงได้รับแรงส่งจากเงินทุนที่ไหลเข้าเช่นเดีวกับสัปดาห์ก่อน แต่อาจมีการทยอยขายทำกำไรสลับกันออกมาบ้าง

ขณะที่แนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐฯเชื่อว่ายังอ่อนลงต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเรื่องแนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด ที่น่าจะนิ่งขึ้นหรือเป็นขาลงในอนาคต นอกจากนี้เฟดยังแสดงท่าทีเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯว่าไม่น่าจะออกมาดีนัก ซึ่งถ้าจีดีพี ของสหรัฐในไตรมาส 3 ออกมาต่ำ เงินดอลลาร์ก็น่าจะอ่อนค่าลง และดันค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น

เงินยังโยกออกจากสหรัฐ หลังแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดเริ่มนิ่ง เพราะคงที่ 5.25%มาตลอดการประชุม 3 ครั้ง รวมทั้งการเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก ส่งผลให้นักลงทุนหนีอออกไปหาภูมิภาคที่ดีกว่า และเอเชียถือเป็นอันดับแรกๆ จึงเชื่อว่าจะมีเงินไหลเข้ามาเป็นระลอกจนถึงปีหน้านักค้าเงิน กล่าว

อย่างไรก็ตามมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธปท.อาจมีการเข้ามาแทรกแซงค่าเงินบาท ทำให้แข็งค่าขึ้นได้ไม่มากนัก ซึ่งปลายสัปดาห์ก่อนธปท.ได้เริ่มแทรกแซงบ้างแล้ว แต่บาทยังแข็งค่าปิดตลาดดมื่อวันศุกร์ที่ระดับ 36.89-36.91 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้นับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา ค่าเงินบาทแข็งตัวขึ้นมากเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน โดยแข็งค่าขึ้นถึง 10% ขณะที่ดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่าขึ้นเพียง 5-6% เท่านั้นเนื่องจากประเทศไทยมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDIและเงินลงทุนในหุ้นหรือ พอร์ตโฟลิโอ อินเวสเมนท์เข้ามามาก จากการลงทุนในกิจการและการควบรวมต่างๆอย่างไรก็ตามหากนับตั้งแต่วิกฤติการณ์เศรษฐกิจในปี 2540 ถือว่าค่าเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นไม่เท่าประเทศอื่น เช่น ประเทศซึ่งค่าเงินเริ่มกลับมาแข็งค่าใกล้เคียงกับก่อนเกิดวิกฤติ

สำหรับปีหน้าคาดว่า เงินบาทยังจะแข็งขึ้นตามกระแสภูมิภาค ซึ่งเศรษฐกิจน่าจะขยายตัวไม่น้อยกว่าปีนี้ เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจยังดีทำให้เงินทุนบางส่วนเข้ามา อย่างไรก็ตามดุลบัญชีเดินสะพัดปีหน้าอาจเกินดุลลดลง เนื่องจากจะมีการนำเข้าและบริโภคมากขึ้นจากแรงกระตุ้นจากนโยบายรัฐบาล ส่วนเงินเฟ้อปีน่าหน้าจะลดลง โดยทั้งปีไม่น่าจะเกิน 3.5%

ด้านนายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)กล่าวว่า การที่ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ 37.10 บาท ซึ่งแข็งค่าสุดในรอบ 6 ปีเป็นผลจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติหลังเห็นความชัดเจนทางการเมือง จึงเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

นอกจากนี้เชื่อว่า ต่างชาติยังจะซื้อสุทธิจนถึงสิ้นปี เพราะผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4 น่าจะออกมาดี และเชื่อว่าเศรษฐกิจไตรมาส 4 จะดีขึ้นด้วย ซึ่งเป็นผลจากมีการกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 และจะดีต่อเนื่องไตรมาส 1 ปี 2550

ทั้งนี้ตลท.จะไปพบ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อขอให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลามาตรการภาษีสำหรับบริษัทจดทะเบียนใหม่ต่อไปอีก 1 ปี ซึ่งเดิมจะหมดอายุ 31 ธันวาคม 2549 รวมทั้งขอปรับแผนพัฒนาตลาดทุนไทยจากระยะเวลา 5 ปี เหลือ 3 ปี

นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบลก เปิดเผยว่าสัปดาห์นี้ดัชนีตลาดหุ้นน่าจะอยู่ระหว่าง 722-737 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติจะยังคงเข้าซื้อสลับกับการขายทำกำไร

สำหรับปัจจัยที่จะมีผลต่อตลาดหุ้น คือ ผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนที่จะทยอยออกมาจะเป็นตัวกำหนดตลาด แต่คาดว่าผลประกอบการในปีนี้คงไม่ดีนักแต่อาจมีบางบริษัทที่โดดเด่นและมีแรงซื้อเฉพาะ ขณะที่ค่าเงินบาทยังคงแข็งต่อขึ้นเนื่องจากยังมีเงินต่างประเทศเข้ามา

ส่วนในไตรมาส4 ผลประกอบการของบจ.น่าจะดีขึ้นเล็กน้อย โดยจะยังมีนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ชี้นำตลาดในหุ้นขนาดใหญ่ โดยจะทยอยซื้อสลับกับขายทำกำไร เนื่องจากหลังปฏิรูปการเมืองมีต่างชาติเข้ามาลงทุนมากและขณะนี้เงินบาทแข็งขึ้น ทำให้อาจมีการขายทำกำไรสลับกับนักลงทุนรายย่อยที่จะเข้าซื้อหุ้นขนาดกลางและเล็กเพื่อเก็งกำไร

Q4 หลังการเมืองคลี่คลาย ต่างชาติจะทยอยซื้อหุ้น ไม่ซื้อทุกวัน วันไหนเขาซื้อหุ้นใหญ่ก็จะขยับขึ้น ส่วนวันที่เขาไม่ซื้อ รายย่อยก็จะซื้อหุ้นเล็กสลับกันไป ในอาทิตย์หน้าคิดว่านักลงทุนคงซื้อมากกว่า แต่คงมองข้ามไปปีหน้ากันแล้วว่า กลุ่มวัสดุก่อสร้างและอสังหาฯ คงจะนำตลาดเพราะงบประมาณและโครงการรัฐมีจะความชัดเจน

ด้านนายพงษ์พันธ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินกล่าวว่าตลาดถือว่าไม่มีข่าวดีและข่าวร้าย เนื่องจากเศรษฐกิจมหภาคค่อนข้างนิ่ง ทั้ง อัตราเงินเฟ้อ และดอกเบี้ย ส่วนในภูมิภาคก็มีการซื้อขายไม่มากนัก

อย่างไรก็ดีหากสหรัฐประกาศจีดีพีออกมาต่ำ และทำให้ดัชนีดาวน์โจนส์ตกลง อาจมีผลกับตลาดหุ้นอื่นด้วย โดยมองว่าดัชนีตลาดหุ้นน่าจะอยู่ระหว่าง 720-730 จุด โดยหุ้นแบงก์ยังจะนำตลาด แต่หุ้นระดับกลางจะคึกคักขึ้น โดยแนะนำหุ้นเด่น คือ MCOT ที่ราคา 37.5 บาท และ DELTA ที่ราคา 24.5 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยตลาดเดือนต.ค.แล้วกว่า 20,000 ล้านบาท โดยเมื่อวันศุกร์(27ต.ค.)ซื้อสุทธิอีก 1,786 ล้านบาท




.000002

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com