ถนนสายธุรกิจยานยนต์ของ อาปิโก ไฮเทค (AH) เริ่มทอดยาวออกไป หลังเข้าไปเทคโอเวอร์ เคพีเอ็น ออโตโมทีฟ (KPN) ต่อจาก กลุ่มณรงค์เดช ในราคาหุ้นละ 18 บาท เบ็ดเสร็จแล้วจะต้องใช้เงินกว่า 1.8 พันล้านบาท แลกกับอนาคตของหุ้น AH ที่คำตอบของราคา..จะต้องสูงกว่าเดิม



บางกระแสวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่ กลุ่มณรงค์เดช จำเป็นต้อง ทิ้ง หุ้น KPN ของครอบครัวออกไปทั้งหมด (57%) ในช่วงนี้ เพราะถือเป็นช่วงเวลาและโอกาสที่เหมาะสมที่สุด ดีกว่าปล่อยให้ราคาหุ้น KPN ถลำลึกลงไป ในสภาพที่ธุรกิจเริ่มหมดแรงส่ง

แต่ดีลนี้ ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเซียพลัส (ASP) ในฐานะผู้ประกบดีลคู่นี้มองว่า Win-Win ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

เนื่องจากกลุ่ม ณรงค์เดช จะได้เงินสดออกไปถึง 1,000 ล้านบาท โดยยังได้ธุรกิจโลจิสติกส์ และแวร์เฮ้าส์ ติดมือกลับไป และไม่ต้องไปพะวงกับการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังจะรุนแรงขึ้นทุกที

ส่วนด้าน อาปิโก ไฮเทค ก็เหมือนได้ธุรกิจแบบสำเร็จรูปมาต่อกระดานจิ๊กซอว์ ทำธุรกิจด้วยฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นกว่าเดิม และมีสินค้าในไลน์การผลิต และจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ครบครันมากขึ้น

หลังจากกระบวนการเทคโอเวอร์เริ่มต้นขึ้น ทาง อาปิโก โฮเทค จะต้องทำคำเสนอซื้อ (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) ต่อไป ซึ่งทาง มร.เย็บ ซู ชวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของบริษัทคาดว่า จะสามารถจบการทำทุกอย่าง จนแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2550

จากนั้น จึงจะดำเนินการเพิกถอนหุ้น KPN ออกจากตลาดหลักทรัพย์..เพื่อให้เหลือเพียง AH ตัวเดียวเท่านั้น

มร.เย็บ ซู ชวน อธิบายต่อไปว่า ประโยชน์ที่เราจะได้จากการได้บริหาร KPN คือการเซฟต้นทุนด้านการจัดซื้อ และการตลาด และยังเพิ่มขีดความสามารถการผลิตโดยเฉพาะการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ด้านพลาสติกหล่อขึ้นรูป (Forging) และการกลึงกัดไสโลหะ (Machining) ซึ่งเป็นงานที่ KPN มีความชำนาญกว่า

และจะส่งผลให้สายงานพลาสติกของ อาปิโก ไฮเทค มีขนาดการผลิตที่ใหญ่มาก จนบริษัทสามารถนำทักษะและเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้แข่งขันที่เมืองจีนได้อย่างมีศักยภาพสูงขึ้น

ย่อมเห็นได้ชัดว่า จุดประสงค์ของดีลนี้เพื่อต้องการสร้างความสามารถในการแข่งขันของ อาปิโก ไฮเทค ขณะที่มูลค่าของรายได้และกำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ..ก่อนจะส่งสัญญาณไปถึงราคาหุ้น AH ซึ่งรับข่าวดีทันทีในวันประกาศดีล

มองย้อนไปเมื่อวันแรกที่หุ้น KPN เริ่มนับหนึ่งบนกระดานซื้อขายหลักทรัพย์ ครั้งนั้น กฤษณ์ ณรงค์เดช ได้กล่าวถึง วิธีคิด ของเขาผ่านการพร่ำสอนของทนายความประจำตระกูล วิชัย ทองแตง ว่า

ท่าน (วิชัย) จะชำนาญทางด้าน M&A มาก และมักจะสอนให้เรามองเห็นความจริงของสมการธุรกิจที่ว่า 1+1 ต้องให้ได้มากกว่า 2 เสมอ และจะต้องวิเคราะห์ว่าควรเลือกทำธุรกิจไหน และควรทำยังไง

เพราะการทำธุรกิจยุคใหม่ จำเป็นจะต้องพึ่งพาในเรื่องของการ ซินเนอยี่

แต่ถ้ารวมกันแล้วมูลค่าธุรกิจมันหดหรือลดลง ...เราต้องไม่เอา!! เพราะว่าคำตอบของดีลครั้งนี้คือ เราต้องการ ดันมูลค่า

และการขายหุ้น KPN ครั้งนี้ กฤษณ์ บอกว่าก็ได้ปรึกษาทนายวิชัยก่อนแล้ว ยิ่งหากมองภาพที่ไกลออกไปหลังจากนี้ อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของโลกมันจะเหลือภาพเพียงแค่ สองด้าน เท่านั้นคือ ถ้าเราไม่ไปเทคโอเวอร์รายอื่น เราก็ต้องถูกเทคโอเวอร์เสียเอง เป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้รายหนึ่งรายใด..แข็งแรงยิ่งขึ้น

เพียงแต่วันนี้ เคพีเอ็น ออโตโมทีฟ คือผู้ที่ถูกเขาเทคโอเวอร์..มันก็แค่นั้น

ลมมันพัดมาทางนี้..เราก็ต้องปรับตัวให้ก้าวไปพร้อมๆ กับทิศทางลม เราจึงสามารถดำรงอยู่ได้ ไม่ใช่ไปต้านโดยไม่ดูพละกำลังของตัวเอง

กฤษณ์ บอกว่า การถอยออกมาก่อน..ดีกว่า แล้วครอบครัวก็ยังจะได้ Cash (เงินสด) มาอีกประมาณ 1,000 ล้านบาท ..แต่เราคงเก็บเอาไว้ก่อน ตอนนี้ยังไม่ได้คิดว่าจะเอาไปลงทุนทำอะไรต่อ

อุตสาหกรรมยานยนต์ยังเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ ตอนนั้น(ก่อนไอพีโอ)ที่ผมไปเสนอขายหุ้นให้กองทุน เราแทบจะไม่ต้องพูดอะไร กองทุนเขาบอกเลยว่าคุณจะขายผมเท่าไร จบ...ไม่มีปฏิเสธ

ตอนนี้ก็เช่นกัน เราใช้เวลาคุยกับ อาปิโก ไฮเทค เพียงสองสัปดาห์เท่านั้น และธุรกิจเราก็ยังน่าสนใจ ทางนั้นเองก็เห็นว่าธุรกิจของ เคพีเอ็น จะช่วยเพิ่มมูลค่า(หุ้น)ให้กับธุรกิจของเขาได้ การเจรจาทุกอย่างจึงเดินหน้าได้เร็ว

ผมว่าดีลของเรานี่มันยิ่งกว่า WIN-WIN เสียอีก..แต่เป็น WIN-WIN-WIN คือ แฮปปี้ทั้ง เคพีเอ็น อาปิโก ไฮเทค และ ผู้ถือหุ้น อีกด้วย ผู้บริหารหนุ่มตระกูลณรงค์เดช กล่าวปิดท้าย ก่อนจะคว้าเงินสดๆ 1,000 ล้านบาท ออกไป(แบ่งกัน)ปิดฉากธุรกิจเพียงแค่เจเนอเรชั่น ที่ 2 ของตระกูล

*****************************************************************