May 6, 2024   9:31:26 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กลยุทธ์เล่นหุ้นยามบ่ายวันนี้
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 27/10/2006 @ 16:22:50
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

กลยุทธ์ : คาด เปิดตลาด SET เปิดบวก แต่หลังจากนั้นอาจกลับมาพักตัว....แนะนำทยอยซื้อที่แนวรับ...พอร์ตลงทุนคงน้ำหนัก 40%

SET ปิดที่ 728.49 จุด ลดลง 4.31 จุด มูลค่าซื้อขาย 14,941.49 ลบ. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 668.37 ลบ. และสถาบันในประเทศขายสุทธิ 339.03 ลบ. วันนี้ปัจจัยหลักๆ คือการเข้าเทรดเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์จีน และฮ่องกง ของ ICBC ซึ่งความต้องการซื้อมีสูง และส่งผลให้ราคาหุ้น ICBC เปิดบวกกว่า 15% ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งคาดว่าน่าจะส่งผลให้ตลาดเอเชียโดยรวมคึกคัก อย่างไรก็ตามทางเทคนิค คาดว่า SET ยังมีโอกาสปรับตัวลงไปที่แนวรับ 715 ? 713 จุด โดยมีแนวรับก่อนหน้า 726* , 719-718** จุด ตามลำดับ กลยุทธ์ : คาดว่า SET วันนี้เปิดตลาดอาจจะกลับมาบวกได้ แต่ยังมีโอกาสที่จะกลับมาแกว่งตัวลง ดังนั่นแนะนำว่าไม่ควรไล่ซื้อหุ้น โดยให้ทยอยตั้งรับที่แนวรับ 726 จุด, 719 ? 718 จุด และ 715 ? 713 จุด ตามลำดับ พอร์ตลงทุนคงน้ำหนัก 40% หมวดอุตสาหกรรมที่ overweight คือ ธนาคาร (BAY, KBANK, KTB, SCB) วัสดุก่อสร้าง (DCC, GSTEEL, SCC, SINGHA, VNG, SIAM) พลังงาน (PTT, PTTEP, TOP) อสังหา (GOLD, PS, PLE, SYNTEC) BECL หุ้นเด่นเทคนิค แนะนำ AMATA, GBX (ดูรายละเอียดในรายงานหุ้นเด่นเทคนิค)

ปัจจัยบวก (ดูรายละเอียดในหัวข้อปัจจัยที่ให้น้ำหนัก)
1) หุ้น ICBC เข้าเทรดเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์จีน และฮ่องกง คาดว่าจะช่วยให้ตลาดหุ้นเอเชียโดยรวมคึกคัก
2) ดาว์นโจนส์บวก 28.98 จุด ปริมาณการซื้อขายคึกคัก
3) เงินบาทแข็งค่าสู่ 36.91 บาท/ดอลล่าร์
4) วานนี้ SET ลบ 4 จุด แต่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิอีก 669 ลบ.

ปัจจัยเสี่ยง (ดูรายละเอียดในหัวข้อปัจจัยที่ให้น้ำหนัก)
1) -

ทางเทคนิค : ยังคาดหมายการไหลลงหาแนวรับ 719-718 จุดเป็นอย่างน้อย...ดัชนีเริ่มไหลลงมาทดสอบแนวรับแรกที่บริเวณ 728-726 จุดแล้ว แม้ว่าอาจจะมีจังหวะดีดกลับขึ้นใหม่ได้ แต่คาดว่าที่แนวต้าน 732 จุดหรือดีสุดที่บริเวณ 736-740 จุดยังต้องระวังแรงขายกดกลับ โดยคาดว่าโอกาสที่จะไหลลงต่อเนื่องไปทดสอบแนวรับถัดไปที่บริเวณ 719-718 จุด และมีลุ้นหลุดลงไปถึง 715-713 จุดได้ด้วยนั้นยังมีความเป็นไปได้มาก ดังนั้นถ้ามองหาจังหวะซื้อจึงควรรอเข้ารับเมื่อตลาดปรับตัวลงหาแนวรับถัดไปมากกว่า

แนวรับ : 726* , 719-718** แนวต้าน 732** , 736-740*

ปัจจัยที่ต้องติดตาม
1. 27 ต.ค. : ตัวเลข GDP สหรัฐฯ
2. 14 พ.ย. : ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 จะเข้าสู่ที่ประชุมครม. และจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวาระแรกได้ในวันที่ 4 ธ.ค.นี้ โดยครม.อนุมัติกรอบงบประมาณรายจ่ายปี 50 ภายใต้วงเงินรายจ่าย 1.52 ล้านล้านบาท และรายได้ที่ 1.42 ล้านล้านบาท โดยเป็นงบประมาณขาดดุล 1 แสนล้านบาท (ที่มา : รอยเตอร์ 17 ต.ค.49)
3. 14 ธ.ค. : ประชุมโอเปก ณ กรุงอาบูจา ประเทศไนจีเรีย

ตลาดทุน, ค่าเงิน, น้ำมัน
* SET ปิดที่ 728.49 จุด ลดลง 4.31 จุด มูลค่าซื้อขาย 14,941.49 ลบ. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 668.37 ลบ. และสถาบันในประเทศขายสุทธิ 339.03 ลบ.

* (+) ดาว์นโจนส์บวก 28.98 จุด ปริมาณการซื้อขายคึกคัก
> หุ้นไมโครซอฟปรับตัวเพิ่มขึ้นตามผลประกอบการ
> ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน ก.ย. เพิ่ม 7.8% สูงกว่าคาด (ที่มา : รอยเตอร์ )

* 0(+) เงินบาทแข็งค่าสู่ 36.91 บาท/ดอลล่าร์ (ที่มา : รอยเตอร์)

* (+ หุ้นพลังงาน) ราคาน้ำมัน Nymex ปรับตัวลงเล็กน้อยจากเช้าวานนี้ โดด NYMEX ส่งมอบธ.ค. อยู่ที่ 60.41 ดอลล่าร์/บาร์เรล จากเช้าวานนี้ ที่ 61.40 ดอลล่าร์/บาร์เรล (ที่มา : รอยเตอร์ )

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ

* ตลท.พร้อมด้วยสภาธุรกิจตลาดทุนไทยจะเข้าพบกับม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ เพื่อนำเสนอแนวคิดการใช้มาตรการภาษีสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนไทย สำหรับแนวคิดการใช้มาตรภาษี ได้แก่ การให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีกับบริษัทจดทะเบียนใหม่ การยกเว้นภาษีกำไรจากเงินลงทุนในตลาดตราสารหนี้ และการยกเว้นภาษีที่เกิดจากการควบรวมกิจการ ซึ่งก่อนหน้านี้ ตลท.และกระทรวงการคลัง เคยใช้มาตรการทางภาษีเพื่อดึงให้บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดฯมาแล้ว ด้วยการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 25% สำหรับบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนในตลท.และ 20% สำหรับบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาด mai (ที่มา : รอยเตอร์ 26 ต.ค.49)

* เวิลด์แบงก์คาดเศรษฐกิจของไทยในปี 50 จะมีอัตราการเติบโตได้มากกว่า 4.5% เล็กน้อย โดยมาจากปัจจัยเรื่องการลงทุนเป็นสำคัญ ซึ่งจะช่วยในการฟื้นตัวให้กับเศรษฐกิจของไทยในปีหน้าได้ ขณะที่ในปี 49 ธนาคารโลกมองว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการเติบโตประมาณ 4.5% ซึ่งมีผลมาจากการขับเคลื่อนของภาคการส่งออกเป็นหลัก ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น (ที่มา : อินโฟเควสท์ 26 ต.ค.49)

* รัฐบาลจะแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวันที่ 3 พ.ย.นี้ เนื่องจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ติดภารกิจสำคัญในวันที่ 2 พ.ย.ทำให้รัฐบาลไม่สามารถแถลงนโยบายในวันดังกล่าวตามที่ได้มีการกำหนดไว้ก่อนหน้านี้ (ที่มา : อินโฟเควสท์ 26 ต.ค.49)

* ปรีดิยาธร คาดเสนอ FTA ไทย-ญี่ปุ่นเข้าสภานิติบัญญัติฯม.ค.50 เพื่อลงนาม รมว.คลังคาดว่าจะสามารถเสนอรายละเอียดของข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าไทยญี่ปุ่นหรือ FTA ไทย-ญี่ปุ่น เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ในราวเดือนม.ค.50 หลังจากที่มีการทำประชาพิจารณ์เพื่อให้เกิดความโปร่งใสก่อนที่รัฐบาลจะลงนามในข้อตกลงดังกล่าว ทั้งนี้ คาดว่ากระทรวงพาณิชย์จะสรุปประเด็นของข้อตกลงให้ที่ประชุมครม.พิจารณาได้ภายในธ.ค.นี้ ซึ่งหลังจากครม.ให้ความเห็นชอบก็จะเข้าสู่กระบวนการประชาพิจารณ์ต่อไป (ที่มา : อินโฟเควสท์ 26 ต.ค.49)

* ปลัดกระทรวงพลังงาน เผยมีแนวโน้มที่จะต้องเลื่อนการยกเลิกการจำหน่ายเบนซิน 95 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด จากเดิมจะยกเลิกตั้งแต่ต้นปี 50 เนื่องจากการหารือกับผู้ผลิตเอทานอลในยประเทศพบว่าปริมาณการผลิตเอทานอลในเดือนธ.ค.49 จะไม่เพียงพอกับปริมาณความต้องการใช้ อย่างไรก็ตามในเดือนธ.ค.นี้จะมีการทบทวนปริมาณการผลิต เอทานอลสำหรับปี 50 อีกครั้ง หากผู้ผลิตยืนยันได้ว่าปริมาณการผลิตในเดือนก.พ.50 จะสูงถึง 1 ล้านลิตรตามเป้าหมายเดิม ก็จะสามารถประกาศกำหนดยกเลิกการจำหน่ายเบนซิน 95 ได้ชัดเจนอีกครั้ง (ที่มา : อินโฟเควสท์ 26 ต.ค.49)

* กระทรวงพลังงานมีแนวโน้มเลื่อนการยกเลิกใช้เบนซิน 95 จากเดิมต้นปี 50 อาจไปถึงเม.ย. 50 แต่จะประชุมอีกทีอีก 1 เดือนข้างหน้า การเลื่อนเนื่องจากเกรงว่าอุปทานของเอทานอลจะไม่เพียงพอ จากความสามารถในการผลิตปัจจุบันวันละ 6 แสนลิตร แต่สามารถผลิตได้จริงเพียงวันละ 4.8 แสนลิตรเท่านั้น และยังไม่มีการยืนยันอย่างชัดเจนจากผู้ผลิตรายอื่นว่าจะสามารถผลิตได้ตามแผนหรือไม่ โรงงานเอทานอลโวยไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนเพราะจะมีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อเงินลงทุนจากแบงค์ (ที่มา: Post Today 27 ต.ค.)

ความเห็น: ทางการได้ส่งสัญญานการเลื่อนมาก่อนหน้านี้บ้างแล้ว อาจยังเป็น Sentiment เชิงลบต่อบริษัทในตลาดฯ ที่มีแผนลงทุนเอทานอล คือ TOP และขยายการลงทุน อย่าง KSL และ LANNA อาจจะต้องทบทวนแผนฯ จากคาดเดิมที่โรงงานใหม่จะเริ่มผลิตในช่วงปี 51-52 แต่ไม่กระทบต่อ Valuation อิงจากกำลังผลิตปัจจุบัน ของ TOP (ธุรกิจหลักปัจจุบัน โรงกลั่น) ที่ 71 บาท LANNA ที่ 13.80 บาท และ KSL ที่ 10.80 บาท

* ขึ้นค่าจ้าง 3-7 บาททั่วไทย คณะกรรมการค่าจ้างกลางมีมติปรับค่าจ้างเพิ่ม 3-7 บาททั่วประเทศ โดยกทม. และ ปริมณฑลปรับสูงสุด 7 บาท ต่ำสุดน่าน 3 บาท ส่วนจังหวัดที่ได้รับการปรับเพิ่ม 4-5 บาท มี 30-40 จังหวัด เช่นภูเก็ต มีผล 1 ม.ค. ปีหน้า (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ 27 ต.ค.)

ความเห็น: ค่าจ้างขั้นต่ำใน กทม. เดิมเท่ากับ 184 บาทต่อวัน หากปรับขึ้น 7 บาทจะทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เพิ่มเป็น 191 บาท หรือคิดเป็นอัตราการปรับเพิ่ม 3.8% ซึ่งจะมีผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการในระดับที่แตกต่างกันไปตามสัดส่วนของค่าแรงที่ประกอบอยู่ในต้นทุน โดยในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และ อสังหาริมทรัพย์ น่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานในสัดส่วนที่สูงที่สุด ซึ่งธุรกิจรับเหมาน่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งสัดส่วนค่าแรงอยู่ในระดับประมาณ 20-25% ซึ่งหากใช้อัตราการเพิ่มของค่าจ้างในการคำนวณจะพบว่าต้นทุนจะสูงขึ้น 0.8-1.0% อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าปัจจุบันผู้รับเหมาส่วนใหญ่จะจ่ายในอัตราที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำเล็กน้อยอยู่แล้ว เนื่องจากสถานการณ์แรงงานไม่พอเพียง จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก อีกทั้งการปรับค่าจ้างจะพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อประกอบด้วย ซึ่งแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะลดลงจึงคาดว่าการปรับค่าแรงครั้งต่อไปจะมีผลไม่มาก จึงยังคงการประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มรับเหมาเช่นเดิม ซึ่งหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯได้ปรับตัวขึ้นมามากโดยบริษัทที่ยังอยู่ในเรทติ้ง ?ซื้อ? ได้แก่ STEC และ SYNTEC

* ธนาคารโลกห่วงไทยโตช้าลงขจัดความยากจนได้ลำบาก ดร.เคซี่ เอ็ม มาร์ติน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก กล่าวในการสัมมนาเรื่อง ?การเติบโตต่อเนื่องกับการพัฒนาสังคมสร้างสมดุลระดับภูมิภาคเพื่อขจัดความยากจนในไทย? ร่วมจัดโดยสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจ และ สังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. เกี่ยวกับ ?การปฏิรูปกับการฟื้นตัว? ว่าการเติบโตของไทยลดลงจาก 6% ต่อปีในช่วงปี 2545-2547 และคาดว่าจะลดลงเหลือเฉลี่ย 4.5% ระหว่างปี 2548-2551 บ่งบอกได้ว่าการขยายตัวลดลงทำให้ขจัดความยากจนได้ยาก (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ 27 ต.ค.)

ข่าวบริษัทจดทะเบียน

* BECL (ซื้อ, ปิด 23.20 บาท, ปัจจัยพื้นฐาน 28.50 บาท, ทางเทคนิค มีลุ้นรีบาวด์ โดยมีแนวต้านที่ 23.60 บาท) : เผยว่าไตรมาส 3/49 มีรายได้กว่า 1.5 พันล้านบาท โต 2% จากงวดปีก่อน พร้อมคงเป้ารายได้ทั้งปีนี้โต 3% จาก 6.7 พันล้านบาทในปีก่อน ส่วนปี 50 ตั้งเป้ารายได้โต 5% สำหรับปริมาณการใช้รถในไตรมาส 3/49 เพิ่มเป็น 9 แสนตัน/วัน และคาดไตรมาส 4 จะเพิ่มเป็น 9.2-9.3 แสนคันต่อวัน และเชื่อว่าการเปิดใช้แอร์พอร์ตลิ้งค์ปลายปี 50 กระทบบริษัทไม่มากพร้อมยืนยันจะซื้อหุ้น BMCL เพิ่มขึ้นให้ได้รวม 250 ล้านหุ้นตามเป้าหมาย (ที่มา:รอยเตอร์ 26 ต.ค.)

* ITV (ขาย, ปิด 2.92 บาท, ปัจจัยพื้นฐาน 2.80 บาท, ทางเทคนิค มีโอกาสอ่อนตัวได้บ้าง โดยมีแนวรับที่ 2.86 บาท) : สปน.เตรียมสรุปการคิดค่าปรับของ ITV ที่ขณะนี้เพิ่มสูงเป็น 8 หมื่นล้านบาท พร้อมกับยืนยันว่าไอทีวีจะต้องดำเนินการจ่ายค่าปรับและปรับผังรายการตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด เพื่อส่งเป็นหนังสือแจ้งไปยัง ITV ในเร็วๆนี้ โดยคาดว่า ภายในสัปดาห์หน้าจะเรียกประชุมคณะกรรมการประสานงานการดำเนินงานตามสัญญาว่าด้วยการร่วมทุนของสปน.กับไอทีวี และเตรียมสรุปผลสอบไอทีวีแก่คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ภายในไม่เกิน 2 สัปดาห์ (ที่มา:อินโฟเควสท์ 26 ต.ค.)

* TPI (ถือ, ปิด บาท, ปัจจัยพื้นฐาน 8.10 บาท, ทางเทคนิค มีโอกาสอ่อนตัวได้บ้าง โดยมีแนวรับที่ 7.10 บาท) :เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น IRPC เตรียมเดินทางไปโรดโชว์ในสหรัฐและอังกฤษในวันนี้ หลัง PTT ได้เข้าไปถือหุ้นใหญ่ 31.5% เมื่อต้นปีนี้

> บริษัทจะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันของ TPI ในราวเดือนพ.ย.เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ซึ่งจะกระทบต่อรายได้ทั้งปีของบริษัทไม่เกิน 6% แต่ยืนยันที่จะทำรายได้จากการขายในปีนี้ที่ระดับราว 2 แสนล้านบาท

> นอกจากนี้ในวันนี้ (27 ต.ค.) บริษัทอยู่ในช่วง Road Show ที่ลอนดอน อังกฤษ และนิวยอร์ค ตามคำเชิญของกองทุน (ที่มา:รอยเตอร์ 26 ต.ค.)

* INOX (ถือ, ปิด 1.18 บาท, ปัจจัยพื้นฐาน 1.20 บาท, ทางเทคนิคช่วงนี้อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป คาดว่ากำลังจะปรับพักตัวลงไปหาแนวรับบริเวณ 1.14 และ 1.10-1.05 บ.ตามลำดับ) : แหล่งข่าวเผย ?ประยุทธ? มีแผนขายหุ้นทั้งหมดให้ต่างชาติ 3 รายที่สนใจทาบซื้อ เมื่อเย็นวานนี้ สนข.อินโฟเควสท์ ในหน้าจอ บิสนิวส์ รอยเตอร์ ได้ลงข่าวโดยอ้างแหล่งข่าวจากโบรกเกอร์ เปิดเผยว่าขณะนี้นายประยุทธ มหากิจศิริ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ INOX กำลังพิจารณาขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ 65.68% ซึ่งมีนักลงทุนต่างประเทศจำนวน 3 รายได้แสดงความสนใจและเข้ามาเจรจาซื้อขายหุ้นแล้ว แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปในเรื่องของราคาซื้อ-ขาย (ที่มา:อินโฟเควสท์ 26 ต.ค.)

* SCB (ถือ, ปิด 65.50 บาท, ปัจจัยพื้นฐาน 72.50 บาท) : ยื่นฟ้อง SAFARI SCB ระบุสาเหตุที่ยื่นฟ้อง SAFAIR ต่อศาลเพ่งว่า SAFARI ผิดสัญญาเงินกู้ยืมมูลหนี้ 2,326.6 ลบ. เพื่อนำไปลงทุนในบริษัทลูกคือ ภูเก็ตแฟนตาซี โดยมีการปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว 3 ครั้ง

> SCB เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของ SAFARI โดยหลักทรัพย์ค้ำประกันเป็นที่ดิน ซึ่งคุ้มกับมูลหนี้ (ปัจจุบันขึ้นกับราคาประเมิน)

> ที่ผ่านมา SCB ได้จัดชั้น SAFARI เป็นหนี้สงสัยจะสูญ และมีการตั้งสำรองครบตามจำนวน (ที่มา: โพสทูเดย์ 27 ต.ค.)

ความเห็น : คาดว่ามีผลต่อ SCB ไม่มาก เนื่องจาก SAFARI เป็นหนี้ที่จัดชั้นเป็นหนี้สงสัยจะสูญ แล้ว โดยสัดส่วนหนี้ SAFARI คิดเป็น 3.4% ของ NPL และ 0.36% ของสิ้นเชื่อรวม

* BCP-DR1 (ปิด 10.20 บาท, ทางเทคนิค เคลื่อนไหวในกรอบ 9.90-10.50 บาท) : 3Q49 ขาดทุนสุทธิ 34 ล้านบาท จากกำไรสุทธิ 1.1 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน

<< ความเห็น: ผลการดำเนินงานที่ขาดทุน คาดว่าจากค่าการกลั่นที่ลดลงมาก และมี Stock Loss ในขณะที่ยังคงใช้กำลังผลิตเพียง 55-60% เพื่อมิให้กระทบต่อค่าการกลั่นมาก จากส่วนต่างราคาน้ำมันเตาและน้ำมันดิบที่ยังติดลบ

<< แม้ราคาหุ้นยังต่ำกว่า BV ณ สิ้น 3Q49 ที่ประมาณ 17 บาท BV (Fully-diluted) ที่ 12.7 บาท รวมทั้งราคารับซื้อคืนโดยกระทรวงการคลังที่ 13 บาทตั้งแต่ปี 57 แต่จากผลการดำเนินงานที่ผันผวนมากตามราคาน้ามัน ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ก่อนโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันจะเริ่มดำเนินการได้ในปลายปี 2551 จึงยังไม่แนะนำให้ซื้อลงทุน

* SHIN (ปิด 33 บาท, ทางเทคนิค คาดว่ามีโอกาสไหลลงหาแนวรับ 31 บ.ได้ ซึ่งถ้าหลุดต่ำกว่าลงไปจะดูไม่ดี แต่ถ้าไม่ต่ำกว่าก็จะเป็นการแกว่งในกรอบ 31-34 บ.อีกพักใหญ่) : เทมาเส็ก แถลงว่า ม.ร.ว. ทองน้อย ไม่รับตำแหน่งที่ปรึกษา สนง.ในไทย กก.ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการลงทุนของเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ออกแถลงการณ์ช่วงเย็นวานนี้ว่า ม.ร.ว. ทองน้อย ทองใหญ่ รองราชเลขาธิการฯ จะไม่รับตำแหน่งในฐานะเป็นที่ปรึกษาสำนักงานเทมาเส็กที่จะตั้งขึ้นในประเทศไทย (ที่มา:อินโฟเควสท์ 26 ต.ค.)

* TRAF (ปิด 0.58 บาท, ทางเทคนิค มีโอกาสอ่อนตัวได้บ้าง โดยมีแนวรับที่ 0.55 บาท) : คาดปีนี้บริษัทจะยังขาดทุนสุทธิ แต่ปีหน้าจะเริ่มมีกำไร และคาดต.ค.จะประชุมบอร์ดเรื่องลดทุนและเพิ่มทุน หลังยกเลิกแผนขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงส่งผลให้ต้องเลื่อนแผนล้างขาดทุนสะสมเป็นปีหน้า จากเดิมตั้งเป้าจะล้างขาดทุนสะสมได้ในปีนี้ (ที่มา:รอยเตอร์ 26 ต.ค.)

* TYONG (อยู่ระหว่าง SP) : ศาลล้มละลายกลาง นัดฟังคำสั่งขอเลิกการฟื้นฟูธนายงวันที่ 14 พ.ย. ศาลล้มละลายกลาง กล่าวในบัลลังก์ว่า จากการนัดพิจารณาคำร้องขอยกเลิกแผนฟื้นฟูกิจการในวันที่ 26 ต.ค.นั้น ได้มีเจ้าหนี้ผู้คัดค้านได้แถลงว่าสุดแล้วแต่ศาลฯจะพิจารณาและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทำรายงานยกเลิกการฟื้นฟูกิจการฉบับใหม่เสนอมา เพื่อประกอบการพิจารณาของศาลฯแล้ว ศาลฯจึงต้องใช้เวลาในการวินิจฉัย โดยนัดฟังคำสั่งในวันที่ 14 พ.ย.อีกครั้งหนึ่ง (ที่มา:รอยเตอร์ 26 ต.ค.)

โดยบริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด ประจำวันที่ 27 ต.ค. 2549


.000002 [/color:7f61b1b43f">[/size:7f61b1b43f">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com