May 6, 2024   6:24:20 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > บทวิเคราะห์รายวัน
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 26/10/2006 @ 12:00:09
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ตลาดหุ้นปิดบวกตามแนวโน้มตลาดหุ้นต่างประเทศ
SET วานนี้ ตลาดหุ้นปิดบวกตามแนวโน้มตลาดหุ้นต่างประเทศ ส่งผลให้ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 732.80 จุด บวก 4.27 จุด หรือ +0.59% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 16,579.07 ล้านบาท โดยปรับตัวขึ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ สื่อและสิ่งพิมพ์ และพลังงาน
หุ้นที่ปรับตัวขึ้น 216 บริษัท ปรับตัวลง 138 บริษัท และไม่เปลี่ยนแปลง 93 บริษัท
วานนี้นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,319.01 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 177.72 ล้านบาท




เราคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในช่วง 730-740 จุด เป็นแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่องได้
ด้านผลการประชุมของเฟดเกี่ยวกับนโยบายดอกเบี้ยในวันที่ 25 ต.ค.49 ซึ่งคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม แต่ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจะชะลอตัวยังกดดันตลาดอยู่
ด้านดัชนีดาวโจนส์ +6 จุด จะส่งผลต่อบรรยากาศแดนบวกต่อแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ด้านราคาน้ำมันดิบ +2.05 ดอลลาร์/บาร์เรล จะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน และต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย
ในระยะสั้นแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่องได้อีก นอกจากจะอิงกับแนวโน้มของตลาดหุ้นต่างประเทศแล้ว การเมืองที่มีเสถียรภาพ ทำให้นักลงทุนมองว่าราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยยังต่ำอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นต่างประทศ โดยการเข้าซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องอีก 1,300 ล้านบาท ได้สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังสนใจหุ้นอยู่ และยังผลักดันในหุ้นกลุ่มหลักยังปรับตัวขึ้นต่อไปได้ อย่างน้อยในระยะสั้นหุ้นยังปรับขึ้นได้อีก 2-3 วัน
ในแง่ของกลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำว่า อาจเข้าซื้อลงทุนได้อีกครั้งหนึ่ง โดยกลุ่มที่น่าสนใจเป็นกลุ่มพลังงาน หลักทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ PTTEP, ASP หรือ ASP-W1, CK และซื้อเก็งกำไรใน MLINK, GENCO



 ประเด็นต่างประเทศ
1) วานนี้ (25 ต.ค.49) คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25% ตามคาด ถือเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม 3 ครั้งติดต่อกัน โดยแถลงการณ์ของ FED ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐชะลอตัวลง ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นการชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัย ขณะที่ FED คาดว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าราคาพลังงานปรับตัวลดลง และยังสะท้อนให้เห็นผลกระทบสะสมจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา

2) วานนี้ (25 ต.ค.49) สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐเปิดเผยยอดขายบ้านมือสองประจำเดือน ก.ย.49 อยู่ที่ระดับ 6.18 ล้านยูนิต หรือ ?1.9% เมื่อเทียบกับเดือน ส.ค.49 โดยลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.47 โดยต่ำกว่านักเศรษฐศาสตร์จากรอยเตอร์คาดว่ายอดขายบ้านมือสองของสหรัฐในเดือน ก.ย.49 จะอยู่ที่ระดับ 6.23 ล้านยูนิต และลดลงจาก 6.30 ล้านยูนิต ในเดือน ส.ค.49

3) วันนี้ (26 ต.ค. 49) กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐจะเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่ประจำเดือน ก.ย.49 โดยนักเศรษฐศาสตร์จากรอยเตอร์คาดว่ายอดขายบ้านใหม่จะอยู่ที่ 1.045 ล้านยูนิตในเดือน ก.ย.49 ลดลงจาก 1.050 ล้านยูนิต ในเดือน ส.ค.49

 การเมืองไทย
1) ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เผยว่า ได้รับการประสานงานจากรัฐบาลมาแล้วว่ามีความพร้อมที่จะแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว โดยคาดว่าวันที่เหมาะสมน่าจะเป็นวันที่ 2 พ.ย. 49 เพราะกำหนดเดิมในวันที่ 27 ต.ค. 49 อาจะกระชั้นชิดเกินไป

2) รองนายกรัฐมนตรี และรมว. อุตสาหกรรม เผยว่าระยะเวลาการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ประมาณ 1 ปีเศษ อาจไม่สามารถดำเนินการอะไรได้มาก น่าจะเป็นการเข้าไปแก้ไขปัญหาเดิม ๆ ที่มีอยู่ รวมถึงการปรับทิศทางการทำงานของประเทศที่จะต้องดำเนินต่อไปในอนาคต ทั้งนี้รัฐบาลจะแถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวันที่ 27 ต.ค. 49 นี้ ซึ่งเป็นกรอบนโยบายที่ยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและสามารถนำไปปฏิบัติได้ โดยคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกัน โดยนโยบายจะประกอบด้วย 5 ด้านสำคัญ คือ เศรษฐกิจ, สังคม, การเมือง, ความมั่นคง และต่างประเทศ

3) รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. อุตสาหกรรม มองว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าโต 4-5% เป็นอัตราที่สามารถทำได้ แต่หากต้องการให้โตมากกว่านี้ต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยรัฐบาลมีนโยบายจัดตั้งแผนประสิทธิภาพแห่งชาติ เพื่อให้ภาครัฐและเอกชนทำงานร่วมกัน

4) นายกรัฐมนตรี คาดว่า จะสามารถยกเลิกประกาศห้ามการชุมนุมทางการเมือง เกินกว่า 5 คนได้ประมาณต้นเดือน พ.ย. 49 ซึ่งในการหารือร่วมกับหัวหน้าพรรคการเมืองเมื่อวานนี้ (25 ต.ค. 49) ได้ขอให้ทุกพรรคเสนอแนวความคิดเห็นเพื่อนำไปร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญด้วย

 เศรษฐกิจไทย
1) รมช. คมนาคม เผยว่า กระทรวงคมนาคมจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของเม็ดเงินที่จะนำมาใช้ในการลงทุนโครงการก่อสร้างระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้า ตลอดจนรูปแบบการประมูล ซึ่งคาดว่าจะหารือกันภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ รวมถึงการพิจารณารูปแบบการลงทุนก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานในระบบขนส่ง ซึ่งมีโอกาสที่จะมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความรอบคอบมากที่สุด โดยจะพิจารณาจากหลายส่วนประกอบกัน ทั้งวิธีการลงทุนและรูปแบบการบริหารจัดการ

2) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยว่า เงินบาทในขณะนี้แข็งค่าเร็วเกินไป เนื่องมาจากมีเงินเริ่มไหลกลับเข้าตลาดหุ้น ซึ่งทาง ธปท. ไม่ได้ให้ความเห็นว่ามีการเข้าแทรกแซงเงินบาทหรือไม่ โดยเมื่อวานนี้ (25 ต.ค. 49) เงินบาทแข็งค่าแตะระดับ 37.06 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 7 ปีนับตั้งแต่ ม.ค. 43

 ประเด็นในตลาดหุ้น
1) บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ จำกัด เผยว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมในการนำระบบชำระราคาหลักทรัพย์ T+2 มาใช้ จากปัจจุบันที่ใช้ T+3 โดยจะมีการประเมินอีกครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 50 และน่าจะนำมาใช้ได้ ทั้งนี้ทาง ตลท.เชื่อว่าการนำระบบดังกล่าวมาใช้จะช่วยลดความเสี่ยงในการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้า รวมทั้งเป็นการเพิ่มสภาพคล่อง โดยเฉพาะเมื่อมีการหักบัญชีเร็วขึ้นจะทำให้จำนวนเงินหมุนเวียนเร็วขึ้น และยังเป็นการลดต้นทุนของลูกค้า


ข่าวที่น่าสนใจ

 SCC จะลงนามสัญญาร่วมทุนตั้งโรงงานโอเลฟินส์แห่งที่ 2 กับ DOW
SCC จะลงนามในสัญญาร่วมทุนตั้งโรงงานโอเลฟินส์แห่งที่ 2 กับ The Dow Chemical Company (DOW) กำลังการผลิต 1.7 ล้านตันต่อปี หลังคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติแล้ววานนี้ (25 ต.ค.49) โดยได้ปรับมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.2 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 4.56 หมื่นล้านบาท จากช่วงที่ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงกับ DOW ที่ระบุว่าจะใช้เงินลงทุนราว 1.1 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ SCC จะถือหุ้นในโครงการ 67% ในขณะที่ DOW จะถือหุ้น 33% ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในครึ่งปีแรกของปี 53
นอกจากนี้ ที่ประชุมของบริษัทมีมติอนุมัติโครงการตั้งโรงงานผลิตกระดาษอุตสาหกรรมของธุรกิจกระดาษที่ประเทศเวียดนามในบริเวณใกล้เคียงนครโฮจิมินท์ มีมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 5,200 ล้านบาท มีกำลังการผลิต 220,000 ตันต่อปี และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในกลางปี 52

 SCC มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3/49 ลดลง 10% จากงวดปีก่อน มาที่ระดับ 7.6 พันล้านบาท
SCC เผยกำไรสุทธิในไตรมาส 3/49 ลดลง 10% จากงวดปีก่อน มาที่ระดับ 7.6 พันล้านบาท ลดลงจากงวดปีก่อนที่มี 8.42 พันล้านบาท หลังรับรู้ผลขาดทุนสุทธิภาษีจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ในธุรกิจซีอาร์ที จำนวน 798 ล้านบาท ทั้งนี้ SCC คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 4/49 จะสูงกว่างวดปีก่อนที่มีประมาณ 5 พันล้านบาท หลังจากที่มีการเดินเครื่องผลิตเต็มที่ทั้งในโรงงานปิโตรเคมีและกระดาษ ขณะที่ ยืนยันไม่ได้สนใจที่จะร่วมลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม

 D1 จะร่วมทุนกับบริษัทไชโยโปรดักชันส์ ผู้ถือลิขสิทธิ์อุลตร้าแมน
D1 จะร่วมทุนกับบริษัทไชโยโปรดักชันส์ ผู้ถือลิขสิทธิ์อุลตร้าแมน คาดว่าจะสรุปการร่วมทุนดังกล่าวได้ภายใน ธ.ค.49 สำหรับการลงทุนดังกล่าว สอดคล้องกับแนวคิดในการเป็นโฮลดิ้งของ D1 ที่มุ่งดำเนินธุรกิจที่มีผลประกอบการดี และมีโอกาสเติบโตสูง โดยการเลือกลงทุนในธุรกิจของดราก้อนวัน มี 4 ประเด็น คือ มุ่งธุรกิจเทคโนโลยี เป็นบริษัทที่มีผู้บริหารมีความสามารถ และเป็นธุรกิจที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันของธุรกิจในกลุ่ม รวมทั้ง มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี นอกจากนี้ D1 มีแผนเข้าซื้อหุ้นอีก 3 บริษัท ในช่วงที่เหลือของปี49 หลังจะเข้าซื้อหุ้นบริษัท ไชโยฯ สัดส่วน 30% โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนใน 4 บริษัทเป็นหลักพันล้านบาท

 TPI คาดกำไรสุทธิครึ่งหลังปี 49 จะต่ำกว่าครึ่งปีแรก ที่มี 6.47 พันล้านบาท
TPI คาดว่ากำไรสุทธิครึ่งหลังปี 49 จะต่ำกว่าครึ่งปีแรก ที่มี 6.47 พันล้านบาท หลังจะหยุดโรงงานเพื่อซ่อมบำรุงในช่วงเดือน พ.ย.49 และค่าการกลั่นมีแนวโน้มอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าทั้งปี 49 จะทำกำไรจากการดำเนินงานสูงกว่าปี 48 ที่มีกำไรจากการดำเนินงานกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ และกำไรจากการขายเงินลงทุนระยะยาว ทั้งนี้ ทาง TPI มีแผนกู้เงินระยะสั้น 800 ล้านดอลลาร์ในปี 50 เพื่อใช้รีไฟแนนซ์หนี้ หากไม่สามารถออกหุ้นกู้ต่างประเทศได้

 ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์
เช้านี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 37.03-37.05 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทวานนี้ปรับตัวแข็งค่าสูงสุดในรอบ 6 ปีกว่า โดยขึ้นทดสอบที่ระดับ 37.10 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากแรงขายดอลลาร์ค่อนข้างหนาแน่นในตลาดต่างประเทศ ประกอบกับมีแรงซื้อเงินบาทเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 37.08-37.19 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนมาปิดตลาดที่ระดับ 37.09 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ


 ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX และ IPE
ราคาน้ำมันดิบตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 49 ปรับขึ้น 2.05 ดอลลาร์ หรือ +3.45% ปิดตลาดที่ระดับ 61.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ตลาด IPE ส่งมอบเดือน ธ.ค.49 ปรับขึ้น 2.19 ดอลลาร์ หรือ +3.65% ปิดตลาดที่ระดับ 62.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐปรับลงเกินคาด ทำให้นักลงทุนกังวลว่าอุปทานน้ำมันอาจไม่พอรองรับความต้องการในฤดูหนาว

 ตลาดหุ้นต่างประเทศอื่นๆ
ตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนี Dow Jones บวก 6.8 จุด หรือ +0.06% ปิดตลาดที่ระดับ 12,134.68 จุด ดัชนี S&P 500 บวก 4.84 จุด หรือ +0.35% ปิดตลาดที่ระดับ 1,382.22 จุด ดัชนี Nasdaq บวก 11.75 จุด หรือ +0.50% ปิดตลาดที่ระดับ 2,356.59 จุด หลัง FED คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25% ตามคาด นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันกว่า 2 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดหุ้นลอนดอน ดัชนี FTSE 100 บวก 32.1 จุด หรือ +0.52% ปิดตลาดที่ระดับ 6,214.6 จุด จากแรงหนุนคาดการณ์ผลประกอบการเชิงบวกของภาคเอกชน

 ตลาดหุ้นภูมิภาค
ตารางดัชนีหุ้นต่างประเทศที่เปิดเช้านี้

ตลาดหุ้น ดัชนีปิดวานนี้ (25/10/06) ดัชนีเปิดเช้านี้ (26/10/06) +/- (จุด)
ญี่ปุ่น 16,699.30 16,794.41 +95.11
เกาหลีใต้ 1,371.43 1,373.99 +2.56




 วิเคราะห์หุ้นรายตัววันนี้

หุ้น คำแนะนำเชิงพื้นฐาน ราคาที่เหมาะสม (บาท) ราคาปิด (บาท) วานนี้ (25/10/06)
SCC ซื้อ 287.00 246.00
TPIPL ถือ 11.60 10.50
หมายเหตุ : (ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์หุ้นรายตัว หัวข้อ Daily Stock)

 ทิศทางการลงทุน
เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม 5.25% ตามคาดการณ์ (ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์ หัวข้อ ทิศทางการลงทุน)[/color:ffe03a43f7">

KK

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com