May 2, 2024   3:48:54 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > วงการฟันธงหนุน SET INDEX วิ่งฉิว
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 26/10/2006 @ 10:57:54
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ผ่างบ Q3/49 หุ้นดาวเด่นในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก วงการมอง BEC-MCOT กำไรพุ่ง เหตุธุรกิจบันเทิงสดใส-รายได้ค่าโฆษณาขยายตัว ส่วนกลุ่มพลังงาน PTT-PTTEP กำไรวูบแน่ หลังราคาน้ำมันลดลงมาก เซียนหุ้นมองหากกำไรบจ.ดัน SET INDEX ขยับ เหตุสะท้อนการบริหารต้นทุนที่ดี แถมได้อานิสงส์เงินทุนต่างชาติไหลเข้าช่วยหนุน แนะซื้อสะสมหุ้นพลังงาน-อสังหาฯ-แบงก์ รับเศรษฐกิจฟื้นตัว

ในช่วงนี้นักลงทุนยังรอคอยการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/49 ของบรรดาบริษัทในกลุ่มเรียล เซ็คเตอร์ ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้เริ่มทยอยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/49 ครบทุกแห่งแล้ว ส่วนใหญ่กำไรลดลง เนื่องจากต้นทุนดอกเบี้ยพุ่ง-ตั้งสำรองหนี้ที่โอนให้ TAMC ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่รอลุ้นผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มหลักอาทิเช่น หุ้นพลังงาน, อสังหาริมทรัพย์, วัสดุก่อสร้าง และหลักทรัพย์ว่าจะมีทิศทางเป็นเช่นไร

ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังเป็นผู้เข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่มีแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯเริ่มปรับตัวลดลง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มเข้าสู่ภาวะฟองสบู่จึงส่งผลให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออกมาหาแหล่งที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ดังนั้น หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแห่งใดออกมาดีอย่างโดดเด่นจึงมีความเป็นไปได้ว่าเม็ดเงินของต่างชาติน่าจะไหลเข้าไปลงทุนในหุ้นตัวนั้นอย่างไม่รีรอแน่นอน และอาจส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นได้รับอานิสงส์ตามด้วย

นักวิเคราะห์รายหนึ่งเปิดเผยว่า หากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/49 ของหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน วัสดุก่อสร้าง รวมทั้งกลุ่มอื่นๆที่โดดเด่นออกมาดีตามที่คาดการณ์น่าจะส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้น และน่าจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปับตัวดีขึ้นตามด้วย ทั้งนี้ การที่ผลประกอบของบริษัทจดทะเบียนออกมาดี เป็นการสะท้อนถึงการบริหารต้นทุนของบริษัท รวมทั้งภาพรวมของเศรษฐกิจด้วย และน่าจะช่วยดึงเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติให้ไหลเข้ามาซื้อหุ้นเหล่านั้นด้วย

สำหรับคำแนะนำในช่วงนี้ ควรทยอยซื้อสะสมในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และพลังงาน เนื่องจากมองว่ากลุ่มอสังหาฯ จะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับประโยชน์จากโครงการรถไฟฟ้า 3 สายอีกด้วย

ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารก็จะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับลดลงเช่นกันทำให้ต้นทุนทางการเงินทรงตัวและอาจปรับลดลงช่วยให้สินเชื่อขยายตัว และผลักดันให้กลุ่มธนาคารมีรายได้เติบโตขึ้น ในขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานยังได้รับความสนใจจากการที่ราคาน้ำมันยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูง และในช่วงฤดูหนาวราคาน้ำมันอาจดีดตัวสูงขึ้นทำให้ผลประกอบการของกลุ่มนี้ยังคงขยายตัว


****เซียนหุ้นมอง PPT-PTTEP กำไรQ3/49 หด หลังราคาน้ำมันรูด

บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า คาดว่า บมจ. ปตท. (PTT) จะประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/49 ออกมามีกำไรสุทธิ 23,201 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 8.29 บาท ลดลง 3% yoy เทียบกับผลกำไรสุทธิ 24,022 ล้านบาท หรือ 8.59 บาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนแบ่งผลกำไรจาก PTTEP และธุรกิจโรงกลั่นที่ลดลง โดย PTTEP คาดว่ามีกำไรลดลงจากการตัดจ่ายหลุมสำรวจ M9 ในประเทศพม่าประมาณ 22 ล้านเหรียญ (825 ล้านบาท) และในส่วนของธุรกิจโรงกลั่นก็จะมีส่วนแบ่งผลกำไรลดลงตามค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลงจาก 10.2 เหรียญ/บาร์เรล ในไตรมาส 3/48 เหลือเพียงประมาณ 4.1 เหรียญ/บาร์เรลในไตรมาสนี้ จากการที่ราคาน้ำมันมีทิศทางลดลงในไตรมาสที่ผ่านมา

บทวิเคราะห์ของบล.ซีมิโก้ ระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานปกติของ PTTEP ไตรมาส 3/49 จะอยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท ลดลง 10% จากไตรมาส 3/48 เนื่อวจากค่าเสื่อมราคาตัดจ่ายที่สูงขึ้นเป็นหลักจากที่บริษัทฯ ได้สินทรัพย์โครงการ B8/32 &9A เข้ามาและการตัดจำหน่ายส่วนเกินเงินลงทุนจากการซื้อหุ้น Pogo

อย่างไรก็ดี แม้ว่าความผันผวนของราคาน้ำมันจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อราคาหุ้น PTTEP แต่เราประเมินว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงมาในระดับปัจจุบันที่ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น่าจะเป็นราคาฐานจากการที่ OPEC มีความตั้งใจที่จะรักษาราคาน้ำมันในระดับดังกล่าวจากการปรับลดเพดานการผลิตลง ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์จึงเปลี่ยนคำแนะนำการลงทุนจาก?เก็งกำไร? เป็น ?ซื้อ?

****คาด BEC-MCOT กำไรพุ่ง หลังธุรกิจบันเทิงสดใส

ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน เปิดเผยว่าแนวโน้มของผลประกอบการในไตรมาสที่ 3/2549 ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT ยังคงมีโอกาสเติบโตในทิศทางที่ดี เนื่องจากยังคงมีเม็ดเงินโฆษณาไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธุรกิจวิทยุที่มีความโดดเด่นมากที่สุด

MCOT ตอนนี้แนะนำให้ขาย ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 30 บาท เพราะมีความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องคนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนคุณมิ่งขวัญ ที่ลาออกไปก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรและต้องดูนโยบายในการบริหารงานด้วย แต่ถ้าหากคุณมิ่งขวัญ จะกลับมาก็คงจะมีการปรับเปลี่ยนคำแนะนำได้ แหล่งข่าวรายเดิมกล่าว

อย่างไรก็ตามคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 4/2549 คงจะเติบโตในทิศทางที่ดีเช่นกัน เนื่องจากธุรกิจวิทยุกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันการออกมาตราการห้ามโฆษณาเหล้าเบียร์ 24 ชม. ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อ MCOT มากนัก โดยคาดว่าจะมีผลกระทบเพียง 2 %ของรายได้รวม ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ดังนั้นในภาพรวมจึงไม่มีผลกระทบ

ส่วน บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ประมาณการว่าในไตรมาสที่ 3/2549 จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 206 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้ไม่ได้มีปัจจัยลบเข้ากระทบเหมือนกับปีก่อนที่เหตุการ์คลื่นยักษ์สึนามิ ทำให้เกิดความเสียหายและส่งผลกระทบต่อความสามารถในการสร้างรายได้ของบริษัทฯ ดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งแนะนำนักลงทุน ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 21.80 บาท เนื่องจาก BEC ยังคงมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีเหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว

****โบรกฯ ชี้ภาพรวมงบ Q3/49 กลุ่มหลักทรัพย์ กำไรพุ่งกว่า 29.4% เหตุได้ PHATRA ช่วยหนุน

เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสินเปิดเผยว่าในไตรมาสที่ 3/2549 คาดว่าหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 29.4% โดยมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 449.50 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 444 ล้านบาท

ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้กำไรของกลุ่มหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากกำไรสุทธิของหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA ที่ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 37% โดยมีกำไรในไตรมาสที่ 3/2549 สุทธิอยู่ที่ 156 ล้านบาท ส่วนไตรมาสที่ 3/2548 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 97 ล้านบาท ดังนั้นจึงทำให้ช่วยดันภาพรวมของกำไรสุทธิในกลุ่มดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่โบรกเกอร์อื่นคาดว่ากำไรจะปรับลดลง

นักวิเคราะห์กล่าวว่า หุ้นของบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLSและบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRAเป็นตัวที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มเนื่องจากมีมาร์เก็ตแชร์ในอันดับต้นๆรวมทั้งยังมีฐานลูกค้าจากนักลงทุนต่างประเทศค่อนข้างมากจึงไม่ค่อนได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงและมูลค่าการซื้อขายที่ซบเซาอีกด้วย ดังนั้นจึงแนะนำซื้อหุ้นทั้ง 2 ตัว โดย BLS ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 18.38 บาท ส่วนPHATRA ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 46.55 บาท

สำหรับแนวโน้มของหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ในไตรมาสที่เหลือของปีนี้คาดว่าน่าจะมีการฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากที่เหตุการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าไปเล่นเก็งกำไรเป็นรายตัวได้ แต่นักลงทุนควรที่จะระมัดระวังด้วยเนื่องจากหุ้นในกลุ่มดังกล่าวยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นดังนั้นนักลงทุนควรที่จะติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิดด้วยเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง

ประมาณการผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3/2549 ของหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์

ชื่อหุ้น Q3/49(ลบ.) Q3/48(ลบ.) เปลี่ยนแปลง (%) ราคาเป้าหมาย
BLS 36 36 - 18.38
PHATRA 156 97 37 46.55
ZMICO 22 30 -36 3.77 KGI 67 13 80 1.97
ASP 71 103 -45 3.77
KEST 98 164 -67 16.71
รวม 449.50 444 29.4

หมายเหตุ : PHATRA ประกาศผลการดำเนินงาน Q3/49 แล้ว

****โบรกฯมอง UCOM กำไรโตสวนทาง SHIN เหตุบริษัทลูกกำไรพุ่ง

เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่าในไตรมาสที่ 3/2549 ประมาณการว่าบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,621 ล้านบาท ลดลง 15% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,898 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่ทำให้กำไรสุทธิของ ADVANC ลดลง เนื่องจากเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับธุรกิจสื่สารที่เริ่มอิ่มตัวและการแข่งขันรุนแรงขึ้น ในขณะที่บริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ UCOM จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 498 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 338 ล้านบาท

และสาเหตุที่ทำให้ UCOM มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสวนทางกับ ADVANC เพราะมีการรับรู้รายได้จากบริษัทฯ ที่อยู่ในเครือเข้ามาสนับสนุน ดังนั้นจึงทำให้ช่วยดันกำไรสุทธิของ UCOM ไม่ให้ปรับลดลงตามหุ้นกลุ่มสื่อสาร ในขณะที่หุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN คาดว่ากำไรน่าจะลดลง เนื่องจากแนวโน้มของรายได้จากบริษัทฯ ลูกที่ SHIN ถือหุ้นอยู่มีอัตราการเติบโตที่ลดลง หลังจากที่ภาวะการแข่งขันทางด้านราคาเริ่มกลับมารุนแรงอีกครั้งในช่วงปลายไตรมาสที่ 3

ส่วนแนวโน้มของผลประกอบการหุ้นในกลุ่มสื่อสาร ซึ่งประกอบด้วย ADVANC,UCOM และ SHIN ในไตรมาสที่ 4/2549 คาดว่าน่าจะทรงตัว ถึงแม้ว่าการแข่งขันทางด้านโปรโมชั่นลดราคาค่าโทรเริ่มกลับมา แต่การแข่งขันไม่ได้รุนแรงมากนัก

SHIN คาดว่ากำไรในไตรมาสที่ 3/2549 น่าจะลดลงกว่าปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่1,977 ล้านบาท เพราะตัวบริษัทฯ ลูกกำไร ซึ่ง SHIN จะรับรู้รายได้รายได้และกำไรจากบริษัทฯ ลูกเข้ามาไม่ต่ำกว่า 90% แต่ตัวเลขที่ชัดเจนยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะเราเลิกประเมินมานานแล้ว หลังจากที่แนะนำขายมาก้ไม้ได้มีการอัพเดทข้อมูลเลย แหล่งข่าวรายเดิมกล่าว

ในขณะที่กลยุทธ์การลงทุน แนะนำถือหุ้น ADVANCและUCOM โดย ADVANC ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 11.45 บาท และ UCOM ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 52 บาท ด้าน SHIN แนะนำขาย ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 32.50 บาท

***นักวิเคราะห์ มอง อสังหาฯกำไรดี เหตุต้นทุนลด


นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ กล่าวว่า ธุรกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังขยายตัวดีต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีปัจจัยลบอย่างราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยฉุดให้กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง โดยประเมินว่าดาวเด่นในกลุ่มอสังหาฯที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2549 ออกมาดี ประกอบด้วย บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI บริษัท ปริญสิริ จำกัด(มหาชน) หรือ PRIN บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN และ บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP เนื่องจากมียอดขายทยอยรับรู้จำนวนมาก

โดยในส่วนของ SPALI แม้คาดการณ์ Presales ไตรมาส 3/2549 จะชะลอตัว แต่คาดว่าจะดีขึ้นส่งท้ายปี เนื่องจากมีการทำสัญญาแล้ว 786 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส4/2549 คาดว่า Presale จะกลับมาขยายตัวอีกครั้ง จากการเปิดขาย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,203 ล้านบาท รวมกับเป็น High Season ของธุรกิจอสังหาฯ

อย่างไรก็ดี แนะนำซื้อ SPALI ราคาเหมาะสม 4.18 บาท ส่วน AP แนะนำซื้อราคาเหมาะสม 4.80 บาท LPN แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 4.58 บาท

งบอสังหาฯส่วนใหญ่ดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะได้รับผลกระทบราคาน้ำมัน ดอกเบี้ยพีค แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มียอดขายเยอะก็จะได้เปรียบ แต่แม้จะมีผลประกอบการดี แต่ก็ไม่น่าดันให้ดัชนีฯเพิ่มขึ้น เพราะว่ามีมาร์เก็ตแคปน้อย นักวิเคราะห์ กล่าว

****SCC-SCCC กำไรหด เหตุยอดขายลด


บทวิเคราะห์บล.ซีมิโก้ เปิดเผยว่า ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรไตรมาส 3/49 ลด 9% จากช่วงเดียวกันปีก่อนและ 8% จากไตรมาสที่แล้ว จากปริมาณขายในประเทศที่ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนตามตลาดโดยรวม ในขณะที่ปริมาณและราคาส่งออกทรงตัวจากไตรมาสที่แล้ว จึงคาดว่าจะมียอดขายลด 12% จากไตรมาสก่อน และอัตรากำไรที่ทรงตัวจากไตรมาสก่อน จึงคาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานสุทธิ 950 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/49 ลด 13% จากไตรมาสก่อน แม้เราจะคาดหมายว่าตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศจะฟื้นตัวขึ้นจากความต้องการเพื่อซ่อมแซมช่วงปลายไตรมาส แต่บริษัทมีค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดจากการย้ายสำนักงานที่คาดว่าจะบันทึกเข้ามาในไตรมาส 4/49 ประมาณ 120- 150 ล้านบาท ทำให้กำไรลด 13% จากไตรมาส 3 เป็น 825 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็น?เต็มมูลค่า? ราคาหุ้นปัจจุบันของ SCCC มี discount เพียง 4% จากมูลค่าพื้นฐานปี 50 ที่เราประเมินไว้ที่ 261 บาท (DCF, WACC 11%) และมี PER ปี 50-51 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 14-15 เท่า และความน่าสนใจของอัตราเงินปันผลตอบแทนลดลงเหลือเพียง 5.5-5.8% จึงปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็นเต็มมูลค่า

ขณะที่บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC และบริษัทย่อย เปิดเผยผลการดำเนินงานสำหรับงวดไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2549 ปรากฎว่ามีกำไรสุทธิ 7,598.25 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 6.33 บาท ลดลงจากไตรมาส 3/48 ที่มีกำไรสุทธิ 8,415.52 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 7.01 บาท

ส่วนงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 24,776.30 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 20.65 บาทส่วนงวดเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 27,133.71 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 22.61 บาท

****ธปท. ยอมรับ ค่าบาทที่แข็งขึ้นเช้านี้ เพราะมีเงินไหลเข้าจำนวนมาก-รวมทั้งตลาดหุ้น

นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะรักษาการผู้ว่าการธปท. เปิดเผยว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในเช้าวันนี้ เนื่องจากมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาในไทย โดยส่วนหนึ่งไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

ค่าเงินแข็งเร็วไปนิด เพราะมีเงินไหลเข้ามาเยอะส่วนหนึ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น นางธาริษา กล่าว

อย่างไรก็ตาม ธปท.ไม่ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า ในช่วงเช้าวันนี้ได้เข้าไปดูแลค่าเงินบาทหรือไม่ โดยนางธาริษา กล่าวเพียงสั้นๆว่า ไม่ขอตอบ ส่วนสาเหตุที่มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในไทยจะเกี่ยวข้องกับประเด็นที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยใช่หรือไม่ นางธาริษาตอบว่า น่าจะมาจากหลายปัจจัย

วันนี้ค่าเงินบาทขึ้นไปแตะระดับแข็งค่าที่ 37.06 บาทต่อดอลลาร์ แข็ง ค่าสุดในรอบเกือบ 7 ปีนับตั้งแต่เดือน ม.ค.43

efinancethai

.000002 [/color:1aa8068cb0">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com