May 2, 2024   5:17:34 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัปดาห์นี้หุ้นเชิดหน้าไปต่อ ฟิทช์ไม่ลดเครดิตประเทศ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 24/10/2006 @ 10:59:02
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หุ้นไทยแรงจนฉุดไม่อยู่สัปดาห์นี้ดีดขึ้นต่อ เหตุปัจจัยบวกท่วมท้น ล่าสุดฟิทช์เรทติ้งปลดไทยและธนาคารพาณิชย์ 7 แห่งออกจากการพิจารณาเครดิตเชิงลบ หลังสามารถฟื้นเสถียรภาพการเมืองได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเฟดส่อคงดอกเบี้นเป็นครั้งที่สามติด หนุนเม็ดเงินไหลเข้าตลาด ขณะที่นักลงทุนยังแห่ซื้อเก็งกำไรงบไตรมาส 3

ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะมีปัจจัยบวกหลายประการเป็นตัวหนุน โดยล่าสุดบริษัทฟิทช์ เรทติ้ง บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศได้ประกาศคงอันดับเครดิตของประเทศและของธนาคารพาณิชน์จำนวน 7 แห่งไว้ที่ระดับเดิม หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีปรับลดอันดับเครดิตลงอันเนื่องจามากการก่อรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ฟิทช์ยังได้ปลดประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์ทั้ง 7 แห่ง ออกจากการประกาศเครดิตพินิจเชิงลบด้วย เนื่องจากเห็นว่าไทยสามารถฟื้นเสถียรภาพทางการเมืองได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ก็คาดการณ์ว่าบริษัทสแตนดาร์ด แอนด์พัวร์ หรือ S&Pก็จะปลดไทยจากการประกาศเครดิตพินิจเชิงลบเช่นเดียวกัน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวน่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติและสถาบันมากขึ้น

ขณะเดียวกันคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25% ในการประชุมวันที่ 24-25 ต.ค.นี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงชะลอตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเซียมากขึ้น ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย

ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ก็มีแผนเชิญกองทุนต่างชาตินับ 100 กองทุนเข้ามารับฟังข้อมูลทางด้านเศราฐกิจของประเทศระหว่างวันที่ 9-10 พ.ย.นี้ ซึ่งน่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้ต่อเนื่องและทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้นสัปดาห์นี้นักลงทุนจะยังเข้ามาซื้อเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) โดยเฉพาะผลประกอบการในกลุ่มปูน ซึ่งจะประกาศออกมาสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามนักลงทุนต้องระวังการขายทำกำไรออกมาด้วย หลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ก่อน

บริษัทฟิทช์ เรทติ้ง สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ระบุว่า บริษัทได้ปลดประเทศไทยออกจากการประกาศเครดิตพินิจเชิงลบด้านอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศและบาท จากการที่ไทยสามารถฟื้นเสถียรภาพทางการเมืองได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่ฟิทช์ได้ประกาศจับตาอันดับเครดิตของประเทศไทยนับตั้งแต่มีการก่อรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ฟิทช์ได้ประกาศคงอันดับเครดิตประเทศไทยไว้ที่ BBB+ สำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ และ A สำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาท โดยแนวโน้มมีเสถียรภาพ

นอกจากนี้ฟิทช์ เรทติ้ง ยังประกาศคงอันดับเครดิตธนาคารไทย 7 แห่ง โดยให้แนวโน้มมีเสถียรภาพ พร้อมปลดพ้นเครดิตพินิจเชิงลบหลังจากมีการประกาศจับตาอันดับเครดิตในวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมาหลังการก่อรัฐประหารในประเทศ

สำหรับธนาคารทั้ง 7 แห่งที่ได้รับการประกาศคงอันดับเครดิตได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ(BBL), ธนาคารกรุงไทย (KTB), ธนาคารกสิกรไทย (KBANK), ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB), ธนาคารยูโอบี (ประเทศไทย) (UOBT), ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ประเทศไทย) (SCBT) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(EXIMBANK)

โดยฟิทช์ระบุว่าธนาคารขนาดใหญ่ของไทยสามารถฟันฝ่าผลกระทบระยะสั้นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองได้ และหากรัฐบาลเฉพาะกาลสามารถฟื้นความเชื่อมั่นอย่างรวดเร็ว ก็จะช่วยให้มีการใช้จ่ายด้านการลงทุนและบริโภคมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารขนาดใหญ่ของไทยมีการเติบโตเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งขึ้นในปีหน้า

นอกจากนี้ ฟิทช์ยังระบุว่า หากมีการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายใหม่ต่อสถาบันการเงินและธนาคารแห่งประเทศไทย ก็จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งต่อกรอบการดำเนินงานและกฎระเบียบสำหรับระบบการเงินของไทย

ด้านนายลอยด์ อ่อง นักวิเคราะห์อาวุโสด้านอันดับความน่าเชื่อถือของบีเอ็นพี พาริบาส์ คาดการณ์ว่า บริษัทสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ จะประกาศปลดประเทศไทยออกจากการประกาศเครดิตพินิจเชิงลบด้านอันดับความน่าเชื่อถือตามฟิทช์ เรทติ้ง โดยคาดว่า S&P จะมีการดำเนินการในไม่ช้า เนื่อจากมองว่าสภาพแวดล้อมโดยรวมของประเทศบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่มีเสถียรภาพ

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า เฟดคงจะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ย Fed Fundsไว้เช่นเดิมที่ 5.25% เป็นครั้งที่สามติดต่อกันในการประชุมวันที่ 24-25 ต.ค.นี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมยังคงให้ภาพการชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป(soft landing)นอกจากนี้หากราคาน้ำมันตลาดโลกไม่กลับมาปรับสูงขึ้นมากอีกในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป อันเป็นผลจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 2 ปีของเฟด

นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างการกำหนดวันที่จะจัดงานเสนอข้อมูลให้นักลงทุนต่างชาติ(โรดโชว์) โดยคาดว่า จะเป็นวันที่ 9 หรือ 10 พ.ย.นี้ โดยตลาดได้เชิญนักลงทุนต่างชาติ ผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ จากทั้งเอเชียและยุโรป ประมาณ 100คน มารับฟังการให้ข้อมูลจากรัฐบาล คล้ายกับงานไทยแลนด์โฟกัส แต่จะไม่มีการพบระหว่างนักลงทุนต่างชาติกับบริษัทจดทะเบียน (บจ.)

นายวิเชฐ กล่าวว่า เป้าหมายการจัดงานเพื่อให้นักลงทุนต่างชาติได้รับฟังข้อมูลจากรัฐบาล ว่าในระยะ 1 ปีที่รัฐบาลเข้ามาบริหารงาน จะดำเนินการอย่างไรบ้าง โดยจะฟังข้อมูลจากรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจทั้งหมด เนื่องจากการทำสำรวจความเห็นนักลงทุนต่างชาติพบว่า นักลงทุนให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจมากที่สุด โดยจะยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยไม่สะดุด นอกจากนี้ยังมีการอธิบายถึงเศรษฐกิจพอเพียงให้ต่างชาติเข้าใจถึงแก่นแท้ด้วย

ด้านนายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น หลังมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี เนื่องจากมีความเข้าใจพื้นฐานเศรษฐกิจของไทย และเชื่อว่ากองทุนภายในประเทศก็จะเข้ามาลงทุนเช่นกัน ทั้งนี้ต้องยอมรับว่ารัฐบาลนี้มีส่วนทำให้ตลาดหุ้นดีขึ้น เพราะเกิดความชัดเจนในการสานต่อนโยบายเดิม และเชื่อว่าตลาดหุ้นปีนี้ปลายปีดัชนีจะอยู่ที่ประมาณ 750 จุด และ 800 จุด ในปีหน้า

ด้านนายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซีย พลัส จำกัด(มหาชน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะแกว่งขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ โดยมองว่านักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งดูได้จากมูลค่าการซื้อขายที่อยู่ในระดับมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับขึ้น จะช่วยหนุนราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน

ขณะเดียวกันคาดว่าสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติน่าจะเข้าซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องและจะผลักดันให้ตลาดปรับขึ้นต่อ ส่วนการประชุมของเฟดกลางสัปดาห์นี้ คาดว่าจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐ และต่อตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้รวมถึงหุ้นไทยด้วย

นางสาวอรุณรัตน์ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทีเอสอีซี จำกัด กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีทิศทางขาขึ้น โดยมีแนวต้านสูงสุดอยู่ที่ 740 จุด โดยสัปดาห์นี้มีปัจจัยที่ต้องจับตาดูคือ การประชุมของเฟด ซึ่งก็คาดกันว่าจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อตลาด ขณะที่ปัจจัยในประเทศจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อพิจารณาเรื่องนโยบายต่อจากการประชุมครั้งก่อน ซึ่งน่าจะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น

อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยปรับขึ้นมาพอสมควรแล้วในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นหากสัปดาห์นี้ปรับขึ้นต่อเนื่อง นักลงทุนก็ต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรที่อาจจะมีขึ้นได้

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) กล่าวว่า สัปดาห์นี้หุ้นไทยจะแกว่งตัวในกรอบจำกัด โดยมีแนวรับที่ 715 และ710 ส่วนแนวต้านที่ 735 และ 740 โดยสัปดาห์นี้นักลงทุนจะเล่นเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 3 ของบจ. โดยเฉพาะในกลุ่มบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้

สำหรับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีโอกาสแกว่งขึ้น และก็คงหนุนราคาหุ้นน้ำมันรวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจของไทยในก.ย.ที่ตัวเลขดุลการค้าเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ซึ่งจะหนุนให้เงินบาทแข็งค่า และจะทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง






[/color:d25991a2ca">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com