May 2, 2024   6:28:25 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นเก็งกำไรผงาดยกแผง หลังคปค.ยึดอำนาจ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 23/10/2006 @ 00:15:10
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย 1 เดือนหลัง คปค.ยึดอำนาจ ดัชนีไต่ขึ้นแบบพอเพียง 22 จุด ขณะที่ต่างชาติเดินหน้าซื้อหุ้นกว่า 1.84 หมื่นล้านบาทในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา วงการชี้เป็นไปตามเทรนด์ตลาดหุ้นทั่วโลก หลังราคาน้ำมันลดดันกำไรบจ.พุ่ง แถมได้อานิสงส์คปค.ยึดอำนาจการปกครองส่งผลให้การเมืองคลี่คลาย พบหุ้นเก็งกำไร PAE-EVER-TWZ-FORTH พุ่งแรงสุดช่วงปฎิวัติ เซียนหุ้นแนะเก็บหุ้นใหญ่-พื้นฐานแกร่งปลอดภัยสุด

เป็นที่น่าประหลาดใจว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)ดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหากเทียบกับระดับปิดตลาดในวันที่ 19 ก.ย. 2549 ซึ่งเป็นคืนวันปฏิรูปการปกครอง ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 702.56 จุด มา ณ วันนี้ (20 ต.ค.) ผ่านมา 1 เดือนพอดี ดัชนีปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 724.98 จุด เพิ่มขึ้น 22.42 จุด หรือ 3.19% แม้ว่าจะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างหวือหวา แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นไปตามนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐบาล

หากพิจารณาแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติหลังจาก คปค.ปฏิรูปการปกครองฯ แม้ว่าบางวันจะมีการขายสุทธิออกมาบ้าง แต่ในภาพรวมแล้วนักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากนับจากวันที่ 19 ก.ย. จนถึงปัจจุบันคือ 20 ต.ค. ต่างชาติมียอดซื้อสุทธิหุ้นไทยอยู่ที่ 18,455.19 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปเป็นกลุ่มที่ขายสุทธิออกมามากที่สุด 12,361 ล้านบาท ส่วนสถาบันมียอดขายสุทธิจำนวนมากเช่นเดียวกัน 6,094.80 ล้านบาท และหากเก็บข้อมูลตั้งแต่ต้นปีต่างชาติซื้อสุทธิแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตามมีข้อมูลสถิติที่น่าสนใจ ซึ่งรวบรวมโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) นั่นคือ หุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด หรือราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วง 1 เดือนนับตั้งแต่เกิดการปฏิรูปการปกครอง กลับพบว่ามีเพียงหุ้นเก็งกำไรเท่านั้นที่ราคาพุ่งแรง และถือว่าให้ผลตอบแทนมากที่สุด โดยใน 20 อันดับแรกไม่มีวี่แววของหุ้นบิ๊กแคปแม้แต่ตัวเดียว

โดยหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.-20 ต.ค. คือ บริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (PAE) ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 68.03% รองลงมาคือ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) (EVER) ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 60.58% ส่วน บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TWZ) เป็นอันดับ 5 ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 47.12% ตามด้วย บริษัทไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(DISTAR) ที่ราคาพุ่งขึ้น 39.51% เป็นอันดับที่ 6 บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (FORTH) มาเป็นอันดับที่ 8 ราคาพุ่งขึ้น 34.55%



***โบรกฯชี้ 750 จุด อันตราย


นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ชวยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ดัชนีฯได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องหลังจากเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น เป็นผลมาจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ แต่ก็ถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก จากการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง ส่งผลบวกต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจตรงที่ยังถือว่าอยู่ในระดับถูก หากดูจากค่า P/E ที่อยู่ที่ประมาณ 8 เท่า จึงส่งผลให้เม็ดเงินยังคงไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่เกิดปฎิรูปการปกครองฯตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับเพิ่มขึ้นน้อย ในขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้นมาก แต่พอเรื่องการเมืองชัดเจนขึ้น จึงทำให้ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ทั้งนี้ หุ้นที่เป็นตัวช่วยดันดัชนีฯยังคงเป็นหุ้นในกลุ่มแบงก์ กลุ่มสื่อสาร และ SCC ซึ่งไม่ได้เกิดจากหุ้นเก็งกำไร เพราะหุ้นเก็งกำไรไม่สามารถทำให้ดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้นได้ นายสุกิจ กล่าว

นายสุกิจกล่าวว่า ในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงปลายที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้าซื้อ เนื่องจากได้ซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าระดับดัชนีฯที่ 720-750 จุดถือว่าเป็นจุดที่มีความเสี่ยงในระยะสั้น เพราะในขณะนี้ยังคงมีปัจจัยที่รอความชัดเจนอยู่ เช่นเรื่องของสถานการณ์การเมือง ภาวะการลงทุนของผู้ประกอบการ หรือปัญหาจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี ในขณะนี้ยังคงไม่มีสัญญาณการขายของนักลงทุนต่างชาติ แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติมักขายหุ้นออกมาในช่วงเดือนธันวาคม เพราะเป็นช่วงที่จะมีการปิดงบผลประกอบการ การปรับพอร์ตการลงทุน หรือเป็นวันหยุดยาวซึ่งจะเกิด January Effect หรือไม่คงต้องดูว่าในช่วงเดือนธันวาคมจะมีแรงขายออกมาอย่างหนักหรือไม่

ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนที่พอร์ตการลงทุนให้ถือหุ้นเพื่อรอขายทำกำไรตามนักลงทุนต่างชาติ เพราะดัชนีฯที่ระดับ 720-750 จุดถือว่าอยู่ในระดับที่แพงแล้ว หรือนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นอยู่ในพอร์ตก็แนะนำซื้อหุ้นที่ราคายังปรับเพิ่มขึ้นมาไม่มากนัก เช่นกลุ่มพลังงาน, TPI หรือ SCC เป็นต้น

***วิจิตร มองปีหน้าทะลุ 800 จุด


นายวิจิตร สุพินิจ ประธารกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ในปี 2550 จะมีบริษัทเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้ง SET และ mai กว่า 100 บริษัทเนื่องจากสถานะการณ์ทางการเมืองเราถึงภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศดีขึ้น
น่าจะเป็นนำไปได้ที่ปีหน้าจะมีบริษัทใหม่เข้าตลาดถึง 100 บริษัทเพราะมีปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน โดยแม้เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวลงบ้าง โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจแต่การค้าขายของไทยก็พึ่งพิงในแทบเอเชีย ซึ่งปีหน้าเศรษฐกิจไทยน่าจะดีขึ้นกว่าปีนี้ GDP 5% คงเป็นตัวเลขขั้นต่ำ นายวิจิตร กล่าว

ทั้งนี้คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยสิ้นปีน่าจะอยู่ที่ 750 จุดได้ ขณะที่ปีหน้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 800 จุด หลังสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นตัวแปรสำคัญกดดันการลงทุนช่วงที่ผ่านมามีความชัดเจนขึ้นโดยคงต้องจับตาดูนโยบายภาครัฐว่ามีทิศทางเป็นอย่างไร เนื่องจากมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่างไรก็ตามเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศที่เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นเพราะนักลงทุนเข้าใจถึงข้อมูลและเห็นถึงพื้นฐานเศรษฐกิจในประเทศที่ชัดเจนขึ้น

การเมืองที่คลี่คลายเรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกลับมามากขึ้น ซึ่งนักลงทุนระยะยาวก็เข้ามาลงทุนแล้วเพราะมั่นใจในพื้นฐานของตลาดหุ้นบ้านเรา นายวิจิตร กล่าว

นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้จะมีบริษัทเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้ง SET mai ประมาณ 10-15 บริษัท ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าทั้งปีจะมีบริษัทเข้าจดทะเบียน 50 บริษัท

พ.ย.-ธ.ค.มีบริษัทเตรียมเข้าตลาดฯต่อเนื่องซึ่งจะแบ่งเข้า mai 8 บริษัทที่เหลือจะเข้าใน SET โดยรวมแล้วทั้งปีก็อยู่ที่ 20 กว่าแห่ง นายวิเชฐ กล่าว

***นายกสมาคมบลจ.มั่นใจฝรั่งลงทุนยาว


นายมาริษ ท่าราบ ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เปิดเผยว่า แรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง น่าจะเป็นแรงซื้อระยาวมากกว่าระยะสั้น เนื่องจากราคาหุ้นของไทยยังมีความน่าสนใจ ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวในทางที่ดี สะท้อนให้นักลงทุนต่างประเทศกลับมามั่นใจลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้แม้ที่ผ่านมาจะมีแรงเทขายของนักลงทุนสถาบัน แต่คงไม่สามารถตอบแทน บลจ.ต่างๆได้ แต่ในส่วนของ บลจ.ไอเอ็นจี ก็ไม่ได้มีการเทขายหุ้นออกมาแต่อย่างใด เป็นเพียงการปรับพอร์ตการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากตั้งเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนสูง
อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์สิ้นปี 2549 จะอยู่ในกรอบ 720-740 จุด ภายใต้สมมติฐานปัจจัยลบคลี่คลาย โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมือง และเศรษฐกิจที่ถือเป็นตัวแปรกดดันการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นเก็งกำไรปรับตัวขึ้นแรง มองว่าเป็นไปตามเทรนด์ของตลาดฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่มีกระแสข่าวเข้ามาสนับสนุน อย่างไรก็ตามยังแนะนำเลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดี เช่นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ควรเลือกลงทุนหุ้นที่มีอัตราการเติบโตและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอด้วย

**ฟันธงอังคารนี้หุ้นไปต่อ แนะขึ้นขาย-ลงซื้อ


นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ กล่าวถึงภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยโดยรวมในวันศุกร์ที่ผ่านมา (20 ต.ค. 49) ว่า ดัชนีฯได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากแรงหนุนในหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น จากการที่ราคาน้ำมันดิบไลท์สัญญาส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ซื้อขายที่ตลาดเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น 43 เซนต์ มาอยู่ที่ 58.93 ดอลลาร์/บาร์เรล เป็นผลมาจากตอบรับผลการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือโอเปกที่ตัดสินใจจะลดปริมาณการผลิตน้ำมันวันละ 1.2 ล้านบาร์เรล อีกทั้งการประชุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 ธันวาคมนี้อาจจะมีการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก 5 แสนบาร์เรลต่อวัน

นอกจากนี้ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ ที่ปรับเพิ่มขึ้นจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 12,000 จุดวานนี้ โดยปรับเพิ่มขึ้น 19.05 จุด หรือ 0.16% มาอยู่ที่ 12,011.73 จุด หลังนักลงทุนเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังกลับสู่วงจรขาขึ้นอีกครั้ง

เขากล่าวต่อว่า นักลงทุนได้กลับเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร เพราะมองว่ากำไรต่อหุ้นในปีหน้าจะเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 8% เมื่อเทียบกับปีนี้ที่ติดลบ 10% เพราะเป็นผลมาจากการจ่ายเงินภาษี ในขณะที GDP ของประเทศจีนยังมีการเติบโตถึง 10.4% ถือว่าเป็นระดับที่ขยายตัวในระดับที่ดี ส่งผลให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเซีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย

สำหรับแนวโน้มดัชนีฯในวันอังคารหน้า (24 ต.ค.) คาดว่าดัชนีฯจะสามารปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบบริเวณ 720-730 จุด ซึ่งปัจจัยที่ต้องติดตามคงเป็นเรื่องของดัชนีฯดาวโจนส์ รวมถึงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก

โดยแนะนำนักลงทุนให้เข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นปรับลดลง หรือขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น เพราะราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องอาจจะมีการพักฐานได้

ด้านนางสาวธริศา ชัยสุนทรโยธิน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.นครหลวงไทย เปิดเผยว่าดัชนีเมื่อวันศุกร์ ที่มีการเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดการซื้อขาย เนื่องจากมีแรงซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ในหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่อย่าง กลุ่มพลังงาน และธนาคาร รวมถึงแรงซื้อจากหุ้น บมจ. อาปิโก ไฮเทค หรือ AH ในการเข้าซื้อหุ้น บมจ.เคพีเอ็น ออโตโมทีฟ (KPN) จึงทำให้มีการซื้อขายหนาแน่นในกลุ่มยานยนต์ เนื่องจากนักลงทุนหวังผลตอบแทนจากธุรกิจดังกล่าว ที่คาดว่าจะมีผลประกอบการที่ดีในอนาคต

ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในสัปดาห์หน้า คาดว่ายังคงเคลื่อนไหวแบบแกว่งตัวในกรอบแคบๆ เพราะยังไม่มีปัจจัยอะไรใหม่เข้ามากระตุ้นตลาด หลังจากที่ผลประกอบการ Q3/49 ของธนาคารประกาศออกมาหมดแล้ว ซึ่งประเด็นที่ยังต้องติดตามคือผลประกอบการ Q3/49 ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอื่นๆ ที่จะทยอยออกมา ซึ่งคาดว่าจะหมดประมาณกลางเดือน พฤศจิกายน

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ ถือ และขายทำกำไร สำหรับหุ้นที่ผลประกอบการ ในไตรมาส3 อยู่ในเกณฑ์ดี โดยแนะนำหุ้นในกลุ่ม ท่องเที่ยว ปิโตรเคมี และอิเล็กคทรอนิกส์ ทั้งนี้ ให้แนวรับไว้ที่ 720 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 725 จุด

ด้านนายวรุตม์ กล่าวว่า ทิศทางตลาดสัปดาห์นี้ มองว่า ดัชนีในตลาดจะเป็นบวก โดยอาจมีแรงขายทำกำไรสลับการซื้อของนักลงทุนบ้างตามความเหมาะสมของราคาหุ้น ขณะที่แนะนำลงทุนในหุ้นธนาคารที่คาดว่าผลประกอบการของปีนี้จะเป็นจุดต่ำสุดโดยปีหน้ามีแนวโน้มจะดีขึ้น ภายหลังเกิดความชัดเจนทางการเมือง

คิดว่าในปีหน้ากลุ่มแบงก์จะผ่านจุดต่ำสุดของผลประกอบการแล้ว เนื่องจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องจะคลี่คลาย ภายหลังปัญหาทางการเมืองลดลง เช่น จะไม่มีการตั้งทุนสำรองสูงเกินความจำเป็น มีการจ่ายอัตราภาษีในระดับที่เหมาะสม สามารถปล่อยสินเชื่อได้ดีขึ้น แล้วก็จะได้อานิสงส์จากการเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็กด้วย

นอกจากนี้แนะนำหุ้นกลุ่มขนส่ง วัสดุก่อสร้าง รวมทั้ง อาหารและเกษตร ภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศเริ่มคลี่คลาย ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานจะขึ้นกับราคาในตลาดโลกซึ่งยังผันผวนอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่อาจมีผลกระทบต่อตลาดในสัปดาห์หน้า จะอยู่ที่ความเคลื่อนไหวประเด็นการทดลองขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ และความคืบหน้าเรื่องอิหร่านกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เรื่องโครงการนิวเคลียร์ ทั้งนี้ประเมินแนวรับที่ 720 จุดและแนวต้านที่ 730 จุด

**เปิดโผหุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุด หลังคปค.ยึดอำนาจ

หุ้น เพิ่มขึ้น
1.PAE 63.08%
2.EVER 60.58%
3.TASCO-W2 54.19%
4.S&P-W1 50.38%
5.TWZ 47.12%
6.DISTAR 39.51%
7.MAJOR-W1 37.32%
8.FORTH 34.55%
9.THANI-W2 30%
10.ESTAR-W2 30%

ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


.000002 [/color:4ebfb4258e">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com