May 3, 2024   9:07:43 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เคาะซื้อ
 

???
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
วันที่: 20/10/2006 @ 12:14:22
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ที่มา : ไก่ทอง

หัวคอลัมน์ : ความหนาว?.ที่สัมผัสได้ ?
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังคงเป็นไปอย่าง กลัว ๆ กล้า ๆ เพราะความรู้สึกของนักลงทุนระหว่างหุ้นแพงขึ้นมากแล้ว กับยังมีโอกาสกำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าซื้อหุ้นไทยราวกับว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่กองทุนนั้นกลับเดินเกมขาย ราวกับว่าประเทศไทยน่าหวาดกลัวแต่ดัชนียังคงเคลื่อนไหวในแนวโน้มขึ้นโดยมีกรอบระหว่าง 708 -735 จุดเป็นแนวอ้างอิงสำหรับการปรับพอร์ตการลงทุนระยะสั้น

จากข้อมูลสถิติในรอบประมาณ 1 ปีที่ผ่านมาพบว่าปริมาณการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ

เทียบกับนักลงทุนในประเทศและนักลงทุนสถาบันปรากฏว่า แรงซื้อหรือขายสุทธิจากนักลงทุนต่างประเทศนั้นค่อนข้างมีผลต่อแนวโน้มของดัชนียังมีนัยสำคัญ กล่าวคือ หากนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิมักจะแปรผลเป็นการเพิ่มขึ้นของดัชนี ในทางกลับกันหากนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาต่อเนื่องจะมีผลในเชิงการปรับตัวลดลงของดัชนี

สำหรับการเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างประเทศในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาปรากฏว่านักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อสุทธิเป็นมูลค่า 9,617 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,842 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 6,775 ล้านบาท ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์เทียบกับเดือนกันยายนปรากฏว่าเพิ่มขึ้นประมาณ 36 จุด โดยเดือนกันยายนดัชนีปิดที่ระดับ 686 จุดและปัจจุบันดัชนีราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 723 จุด(19/10/2006 เวลา 12.30
น. ถามว่าทำไมมุมมองของนักลงทุนต่างชาติจึงมองหุ้นไทยในเชิงบวกและนักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนรายย่อยยังมองตลาดหุ้นไทยในเชิงลบและขายสุทธิออกมา ตลาดหุ้นไทยแย่มากในสายตากองทุน และนักลงทุนรายย่อย และดีมากในสายตานักลงทุนต่างชาติ ยังไม่สามารถหาคำตอบที่ โดนใจได้ แต่พฤติกรรมที่พอจะสังเกตได้คือ นักลงทุนทั้งสองกลุ่มมักจะมีมุมมองที่ สวนทางกัน ค่อนข้างจะบ่อยแล้วถามว่า ใครคือผู้ชนะ?

ในเกมการเงินที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย ระหว่างนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนต่างประเทศ และนักลงทุนรายย่อย ยังเป็นคำตอบที่ซับซ้อนพอสมควร
แต่อย่างไรก็ตามพฤติกรรมการลงทุนนั้นค่อนข้างจะแตกต่างกันมากระหว่างรายย่อยกับ นักลงทุนต่างประเทศ และนักลงทุนสถาบัน เพราะรายย่อยนั้น ส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในหุ้นประเภท Small Cap และมีการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นที่หวือหวาประเภทที่เรียกว่า High Risk High Return ส่วนนักลงทุนต่างประเทศและสถาบันนั้นมักจะเกาะติดกับหุ้นในกลุ่ม Big Cap ซึ่งฐานะการเงินดี สภาพคล่องในการลงทุนสูง ผลการดำเนินงานของบริษัทค่อนข้างโปร่งใส และเป็นบริษัทชั้นแนวหน้าสำหรับประเทศไทย เรียกง่าย ๆ ว่าเน้นภาพพจน์

ชื่อเสียง คุณภาพเป็นเกณฑ์ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากข้อจำกัดในการลงทุนที่เข้มงวด และสามารถหาคำอธิบายได้หากว่าราคาหุ้นไม่เป็นไปตามคาดหมาย หรือการวิเคราะห์ไว้ ก็สามารถชี้แจงให้กับผู้ลงทุนเจ้าของเงินได้อย่างไม่ตะขิดตะขวง

ส่วนรายย่อยนั้นมักจะเน้นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเร็ว การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นหวือหวา เรียกว่าวัดผลกันได้ทันตาเห็นยิ่งดี ดังนั้นในภาพการต่อสู้ของเม็ดเงินแล้วมักจะเป็นต่างประเทศต่อสู้กับนักลงทุนสถาบันในประเทศ

ส่วนรายย่อยนั้นแทบเรียกได้ว่า แยกวงเล่น และสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ทุกสภาพการณ์

เนื่องจากการตัดสินใจเป็นไปได้อย่างรวดเร็วฉับไวกว่า เพราะเป็นเจ้าของทุนเอง ได้เสียเอง โดยไม่ต้องพึ่งมืออาชีพอย่าง กองทุน ซึ่งในข้อเท็จจริงนั้นมืออาชีพจริงหรือเปล่า หรือจริงแต่ภาพพจน์ แต่ใส้ในอีกเรื่องหนึ่งก็ยังไม่มีตัววัดที่ชัดเจนเพราะบ่อยครั้งที่มอง NAV ของกองทุนที่ลงทุนในหลักทรัพย์แล้วบ่อยครั้งที่เกิดอาการที่เรียกว่า ใจแป้ว เพราะต่ำกว่าตอนตั้งกองทุนใหม่ ๆ เยอะ เว้นแต่กองทุนประเภทตราสารหนี้ที่มักจะให้ผลตอบแทนเชิงบวกชัดเจน เพราะความผันผวนน้อยกว่าตราสารทุน ขณะที่การได้มาซึ่งข้อมูลของสถาบันนั้นเป็นการได้ข้อมูลอย่างเป็นระบบระเบียบมากกว่ารายย่อยที่ส่วนมากได้ข้อมูลในลักษณะไม่เป็นระบบระเบียบมากนัก
และส่วนหนึ่งใช้จิตวิทยามากกว่าข้อเท็จจริง

ที่กล่าวถึงนั้น อยากให้นักลงทุนตั้งข้อสังเกตถึงภาพตลาดและมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ภายใต้บรรยากาศแบบไทย ๆ ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ขณะที่บรรยากาศการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่กระทบต่อตลาดหุ้นไทยนั้นเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน มุมมองของนักลงทุนกลุ่มไหนเป็นอย่างไรสามารถสะท้อนออกมาในรูปแบบของ กิจกรรมการลงทุนในตลาดหุ้น นั่นคือ การซื้อ และการขายหุ้น ที่เกิดขึ้นทุกวันซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละกลุ่ม แต่ละบุคคล ว่าจะสามารถนำเอาประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงให้เป็น มูลค่าเพิ่ม
ได้หรือไม่ เพราะอะไรมากกว่า

หันมาดูทิศทางตลาดหุ้นไทยกันบ้างดีกว่า ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ตำแหน่งปัจจุบันหากใช้เครื่องมือทางเทคนิคเป็นตัววัดภาวะตลาดว่าเป็นกระทิงหรือหมี โดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ต้องยอมรับว่าการยืนเหนือ 718

จุดของดัชนีเป็นภาวะเริ่มต้นของภาวะตลาดกระทิงในรายสัปดาห์ แต่กระทิงจะโดน เชือด หรือไม่ต้องติดตามกันตอนต่อไป เพราะตอนจบของกระทิงเมื่อโตเต็มวัยคือ ถูกเชือด หรือพูดง่าย ๆ ว่าหุ้นขึ้น เพื่อลง
และลงเพื่อขึ้นอะไรทำนองนั้น แต่ปัญหาอยู่ที่ เราจะทำอย่างไรเพื่อ เอาประโยชน์จากการขึ้นลงของหุ้นมาใส่กระเป๋าได้ เพราะนี่คือ คำตอบสุดท้ายของคนเล่นหุ้น เพราะในตลาดบ่อยครั้งที่เห็นนักลงทุนซื้อหุ้นแล้วได้กำไร แต่ไม่สามารถหยิบฉวยกำไรเข้ากระเป๋าได้ แต่ต้องกลับมาขาย ขาดทุนอะไรทำนองนั้น

หันมาดูหลักทรัพย์ที่น่าติดตามในเชิงแนวโน้ม ทั้งในกลุ่มหุ้นลงทุนและกลุ่ม จับเสือ(มือเปล่า) กันบ้าง กลุ่มแรกที่น่าติดตามได้แก่ RRC TISCO VNG VNT TPC PTT PTTEP เป็นต้น ส่วนกลุ่ม Money Game ยังคงเป็นหน้าเดิม ๆ แต่สลับหน้าไปมาเช่น MME EWC MLINK SSI ASP ACL TPIPL TPI TRUE ITV ZMICO เป็นต้น






[/color:32d8e16877">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com