May 3, 2024   5:32:30 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 19/10/2006 @ 12:06:51
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ที่มา : K.KRAZIP

SET Index วันพุธที่ 18 ต.ค. ปิดที่ 718.74 จุด +8.00 จุด มูลค่าการซื้อขาย 11,196ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิที่ 899.67 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิที่ 427.42 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิที่ 472.35 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ดัชนี 718.74 จุด +8.00 จุด และ Low ที่ดัชนี 709.72 จุด -1.02 จุด ตลาดหุ้นประเทศไทยบวกขึ้นไปได้หลังลงเรือคนละลำกับตลาดหุ้นต่างประเทศ บวกขึ้นนำไปก่อนสวนกระแสตลาดหุ้นทั่วโลกที่ต่างปรับลดลงกันถ้วนหน้า โดยได้แรงซื้อ Reboundจากหุ้นแบงค์และรับเหมาก่อสร้าง ที่ถูกขายออกมาจากเมื่อวันอังคาร วานนี้จึงมีแรงซื้อกลับกระจายเข้ามาจากหุ้นเกือบทุกสาย ดันดัชนีให้ดีดตัวขึ้นแดนบวกได้ K.KRAZIP นึกว่าเปิดมาจะเป็นโจ๊กซะแล้ว ก็ข้างบ้านลบระนาว แถมน้ำมันยังลงอีก แต่ก็ต้องยอมรับว่าสภาพตลาดหลังเปิดทำการในช่วงเช้า Sentiment ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่อาจเพราะปัจจัยรอบบ้านที่กดดันอยู่ แต่ก็ดูดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเปิดตลาดบ่าย SET สามารถไต่ระดับทำดัชนี High โดยหลุดกรอบจากช่วงเช้าขึ้นไปได้ทำให้ Index แตะที่แนวต้านระดับ 715 จุด แต่มูลค่าการซื้อขายมีไม่มากนัก จึงทำให้ SET Index ไม่สามารถฝ่าแนวต้านนี้ไปได้ แต่ถ้าให้ดูกันดีดีในช่วงบ่ายนี้หุ้นเล็กดูเหมือนจะคึกคักกว่าช่วงเช้า ทั้งเพื่อนบ้านก็เริ่มบวกกันขึ้น นักเก็งกำไรบ้านเราจึงเริ่มกลับเข้ามาเลือกหยิบเลือกจับหุ้นเล็ก ๆ กัน ถึงแม้ว่าจะดูคึกคักแต่มูลค่าตลาดรวมจึงมีไม่มากแต่Indexก็สามารถยืนปิดที่ระดับดัชนีสูงสุดของวัน

VNG ราคาเปิด-ปิดที่ 4.82 บาท มูลค่าการซื้อขาย 16.875 ล้านบาท จากผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังที่ยังมีแนวโน้มที่ไม่ดีนัก จากการที่อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวรวมถึงต้นทุนการจัดการวัตถุดิบ (เศษไม้) ที่อาจปรับเพิ่มขึ้นจากปัญหาน้ำท่วม ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรช่วงครึ่งปีหลังของบริษัททรงตัวต่อเนื่อง และคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการ FY06E ที่ 0.22 บาท/หุ้น แต่หลังจากที่บริษัทได้ขยายกำลังการผลิตแผ่นเอ็มดีเอฟแล้วเสร็จ และเริ่มทำการผลิตจริงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 49 คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทในFY07E ให้เติบโตขึ้นอย่างมาก เนื่องจากความต้องการใช้แผ่นเอ็มดีเอฟในภูมิภาคยังคงมีอยู่สูงกว่ากำลังการผลิตที่มี ทั้งนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มในช่วงนี้ ทำให้ราคาขายเฉลี่ยไม่ค่อยมีความผันผวนมากนัก และคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจะเติบโตสูงขึ้น 43.2% YoY มาอยู่ที่ระดับ 1,032 ลบ. และจ่ายเงินปันผลได้ที่ 0.32 บาท/หุ้น K.KRAZIP แนะนำ ซื้อเก็งกำไร แนวรับ 4.76 บาท แนวต้าน 5 บาท

DELTA ราคาเปิด 19.70 บาท ราคาปิด 20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 18.509 ล้านบาท คาดการณ์ว่าในQ 3/49 จะทมีกำไรที่ 733 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% QoQ แต่ลดลง 11% YoY เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอีกทั้งต้นทุนวัตถุดิบที่ราคาสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้วประมาณการกำไรสุทธิ 695 ล้านบาท นอกจากแนวโน้มกำไรที่เติบโตในปีนี้ ได้ประมาณการเงินปันผลไว้ที่ 1.4 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 7.1% นอกจากนี้ฐานะการเงินของ DELTA ยังแข็งแกร่งมาก ปลอดหนี้ระยะยาวและมีเงินสดในมือ 4.26 พันล้านบาทหรือ 3.4 บาท/หุ้น ณ กลางปี49 K.KRAZIP คาดว่าจะยังมีการเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งแนวโน้มการดำเนินงานในอนาคตที่จะเพิ่มยอดขายในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงเพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าและตลาดให้เพิ่มขึ้น ซึ่งมองเป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการในอนาคต ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ ซื้อ แนวรับ 19.50 บาท แนวต้าน 20.50 บาท

SCB ราคาเปิด 63 บาท ราคาปิด 65 บาท มูลค่าการซื้อขาย 315.03 ล้านบาท SCB ประกาศกำไรสุทธิ Q3/49 ที่ 3,688 ล้านบาท ลดลง 12% QoQ และ 30% YoY สาเหตุหลักมาจากอัตราภาษีจ่ายที่สูงขึ้นจาก 19% ในQ 2/49 เป็น 28% SCB เร่งระดมเงินฝากในQ3/49 โดยเปิดโครงการเงินฝากครบรอบ 100 ปี ระยะเวลาฝาก 9 เดือน ดอกเบี้ย 5% ในเดือน ก.ค. 49 ระดมเงินฝากได้ประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท และได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 3 เดือน และ 6 เดือน เพิ่มเฉลี่ย 0.50% ในเดือน ส.ค. แม้นำไปปล่อยสินเชื่อในQ 3/49 ได้เพียง 1 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่ม 1.6% แต่สามารถนำเงินส่วนเกินไปปล่อยในตลาดเงิน ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิยังคงเพิ่มจาก 3.37% ในQ 2/49 เป็น 3.46% โดยมีรายได้เงินปันผลจากวายุภักษ์ 374 ล้านบาท ยอดสินเชื่อและเงินฝากของ SCB ยังเติบโตอย่างโดดเด่นสูงที่สุดในกลุ่ม โดยในรอบ 8 เดือนแรกของปี 49 เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 8.3% YTD เมื่อเทียบกับยอดสินเชื่อปลายปี 48 และยอดเงินฝากในช่วงเวลาเดียวกันเพิ่มขึ้น 29.3% เทียบกับยอดปลายปี 48 ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่เน้นการเติบโตสูงในด้านการสร้างฐานลูกค้า K.KRAZIPแนะนำซื้อลงทุน แนวรับ 64 บาท แนวต้าน 68 บาท

SCC ราคาเปิดที่ 244 บาท ราคาปิดที่ 246 บาท มูลค่าการซื้อขาย 562.48 ล้านบาท SCC ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทสยามยูไนเต็ลสลีต (1995) จำกัด (SUS) ลงจาก 19.5% เป็น 5.0% โดยขายหุ้น 14.5% ให้กับผู้ร่วมทุนปัจจุบัน ซึ่งการขายครั้งนี้จะมีรายรับ 2 พันล้านบาท และมีกำไรหลังหักภาษี 1.6 พันล้านบาท บันทึกใน 4Q49 และได้หยุดการผลิตในบริษัทไทยซีอาร์ที จำกัด และบริษัทย่อยตั้งแต่ พ.ย.49 เป็นต้นไป ทั้งนี้ SCC ถือหุ้นใน TCRT 100% โดยบริษัทประกอบธุรกิจหลอดภาพโทรทัศน์สี ซึ่งมีผลดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง เพราะว่าความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากโทรทัศน์สีที่ใช้หลอดภาพ CRT ไปเป็นโทรทัศน์สีแบบ LCD ซึ่งการหยุดผลิตทำให้ SCC จะต้องรับรู้การด้อยค่าของสินทรัพย์และเงินลงทุนคงเหลือหลังภาษีประมาณ 2.7 พันล้านบาทใน 4Q49 นับเป็นสิ่งที่ดีลดการลงทุนในส่วนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักและเป็นธุรกิจที่มีผลขาดทุน แต่ผลขาดทุนจาก TCRT น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ K.KRAZIP แนะนำ ซื้อลงทุน จากแนวโน้มผลดำเนินงานใน 3Q49 คาดว่าจะออกมาดี แนวรับ 240 บาท แนวต้าน 254 บาท

K.KRAZIP 19/102549 [/color:6a2af52c21">
.000002

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com