[u:e1e4fdbce9">[b:e1e4fdbce9">ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: กระแสควบรวมกิจการ ดันฟุตซี่ปิดบวก 41.8 จุด [/b:e1e4fdbce9">[/u:e1e4fdbce9">

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวานนี้ (10 ต.ค.) โดยดัชนีเคลื่อนตัวเข้าใกล้ระดับสูงสุดของวัน เพราะได้รับปัจจัยบวกจากข่าวการควบรวมกิจการและเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มบริษัทเอกชน โดยเฉพาะในบริษัทแมน กรุ๊ป

สำนักข่าวซินหัว ไฟแนนซ์รายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ดีดตัวขึ้น 41.8 จุด หรือ 0.69% ปิดที่ 6,072.7 จุด มีปริมาณหุ้นหมุนเวียน 3.37 พันล้านหุ้น

นักวิเคราะห์กล่าวว่า กระแสข่าวการควบรวมกิจการและเข้าซื้อหุ้นได้ช่วยพยุงตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวขึ้นทั่วทั้งกระดาน โดยหุ้นแมน กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทกองทุนเฮดจ์ฟันด์ พุ่งขึ้น 36-1/4 เพนซ์ ปิดที่ 478 เพนซ์ หลังจากหนังสือพิมพ์ดิ อินดิเพนเดนท์รายงานว่า วาณิชธนกิจโกลด์แมน แซคส์ของสหรัฐฯให้ความสนใจเข้าซื้อหุ้นในบริษัทแมน กรุ๊ป

ข่าวการควบรวมกิจการและเข้าซื้อหุ้นยังช่วยหนุนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน โดยหุ้นแอมเวสแคปดีดขึ้น 32 เพนซ์ 629 เพนซ์ หุ้นไอซีเอพีทะยานขึ้น 14-1/2 เพนซ์ ปิดที่ 531-1/4 เพนซ์ และหุ้นชโรเดอร์สดีดตัวขึ้น 40-1/2 เพนซ์ ปิดที่ 1,004-1/2 เพนซ์

ส่วนหุ้นโวดาโฟนพุ่งขึ้น 3-1/4 เพนซ์ ปิดที่ 129-1/4 เพนซ์ จากข่าวที่ว่าบริษัทสวิสคอมกำลังจะบรรลุข้อตกลงซื้อหุ้น 25% ในกิจการโทรศัพท์มือถือของโวดาโฟน และหุ้น 3i ทะยานขึ้น 20-1/2 เพนซ์ ปิดที่ 965-1/2 เพนซ์ หลังจากนักวิเคราะห์ของเลห์แมน บราเธอร์ศ เพิ่มอันดับความน่าลงทุนของหุ้น 3i เป็น overweight จากเดิม neutral

อย่างไรก็ตาม หุ้นคอรัสดิ่งลง 15 เพนซ์ ปิดที่ 479 เพนซ์ ท่ามกลางข่าวที่ว่าบริษัททาทา สตีลซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กของอินเดียได้แสดงความต้องการที่จะเข้าซื้อหุ้นในบริษัทคอรัสของอังกฤษ


^_^

[u:bc432742ee">[b:bc432742ee">การใช้จ่ายดำดิ่งถึงจุดต่ำสุด[/b:bc432742ee">[/u:bc432742ee">

นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ฝ่ายเสถียรภาพการเงิน กล่าวในงานสัมมนาที่จัดขึ้นโดยสมาคมปริญญาโทสำหรับผู้บริหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หัวข้อเรื่อง ?เศรษฐกิจไทยฟื้น หรือ ฟุบ? ว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงสุดท้ายของการปรับตัวรับมือกับราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ก่อนจะกลับมาขยายตัวดีขึ้นได้ใหม่ในช่วงต้นปี 2550


ทั้งนี้ เห็นว่าปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจปีนี้ยังคงเข้มแข็ง และขยายตัวได้ในอัตราที่สูง 5.5% ในครึ่งแรกของปีมาจากการส่งออกที่เข้มแข็งทำให้กลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ขณะที่ทุนสำรองทางการอยู่ในระดับสูง การใช้จ่ายภาคเอกชนขยายตัวดี ขณะที่รายได้ภาคเกษตร และท่องเที่ยวเติบโตดี การจ้างงานยังคงดีต่อเนื่อง และมีความยืดหยุ่นที่จะโตต่อไปภายใต้ปัจจัยลบที่มากระทบเมื่อเศรษฐกิจปรับตัวอย่างสมบูรณ์ โดยช่วงนี้น่าจะถึงจุดต่ำสุดของการใช้จ่ายภายในประเทศแล้ว และการใช้จ่ายจะเริ่มเร่งตัวใหม่ในต้นปีหน้าตามแบบจำลองที่ ธปท.ทำไว้ ซึ่งคาดว่าจะเห็นจุดเปลี่ยนแปลงจากการใช้จ่ายภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นใน 3-6 เดือนต่อจากนี้


ส่วนปัจจัยที่จะหนุนนำให้เศรษฐกิจไทยปี 2550 ขยายตัวได้มากกว่าปีนี้ก็คือ การส่งออกที่แม้ว่าจะชะลอตัวจากปีนี้ แต่ยังขยายตัวในอัตราที่สูง และมีแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายที่กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วยจากในปีนี้ที่มีแรงส่งเพียงการส่งออกในด้านเดียว แต่การใช้จ่ายชะลอตัวลง เนื่องเพราะราคาน้ำมันลดลงติดต่อกันหลายเดือนจากที่เคยสูงสุด 72.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 56 เหรียญ ขณะที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงเหลือ 2.7% ในเดือน ก.ย. จากที่เคยเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 6.2% รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยที่ไม่ปรับตัวขึ้นอีก และงบประมาณรายจ่ายปี 2550 ซึ่งรัฐบาลใหม่ได้เร่งรัดใช้จ่ายออกมา.


ไทยรัฐ

^_^

สตง. มันจะจองล้างจองผลาญอะไรกันนักกันหนา จะล้มหวยบนดินเพื่อให้หวยใต้ดินมันโผล่ขึ้นมาใหม่รึไง แล้ว loxley เขาทำตู้หวยออนไลน์ไว้เรียบร้อยแล้วถ้ายกเลิกเขาฟ้องรัฐไม่ได้เหรอ แบบนี้บริษัทเขาก็เสียหายแย่สิ แล้วบอกว่าหวยบนดินผิดกม.การพนัน แล้วสลากกินแบ่งที่มีรางวัลพิเศษ รางวัลสองตัว สามตัว ไม่ผิดกม. หรอกเหรอ งง

[u:e251051776">[b:e251051776">AEONTSปั๊มกำไร-สินเชื่อทะลุเป้า [/b:e251051776">[/u:e251051776">

ที่มา : ทันหุ้น
AEONTS มั่นใจครึ่งปีหลังกำไรโตใกล้เคียงครึ่งปีแรก หลังครึ่งปีแรกยอดสินเชื่อทะลุ 2.6 หมื่นล้านบาท คาดทั้งปีฉลุยตามเป้ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ระบุลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ18% แย้มหากทางการไฟเขียวขยับเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตอีก 2% เชื่อผลตอบแทนปรับตัวดีขึ้น โบรกมองราคาหุ้นเทคนิคมีแนวต้าน 45.00 บาท แนวต้านถัดไป 46.50 บาท ส่วนแนวรับ 43.00 บาท

นายอภิชาต นันทเทิม กรรมการบริหาร บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) AEONTS เปิดเผยถึง อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอรัฐมนตรีอนุมัติให้ปรับดอกเบี้ยเป็น 20% จาก 18% ว่า หากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นอีก 2% จะส่งผลให้บริษัทมีผลตอบแทนดีขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตสินเชื่อบัตรเครดิตอยู่ 40% อีกทั้งหากมีการประกาศใช้อัตราดอกเบี้ยที่ 20% อิออนอาจจะไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นถึง 2% แต่จะต้องดูทิศทางอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากนี้อิออนอยู่ระหว่างศึกษาแผนการระดมทุน ซึ่งอาจจะระดมทุนโดยการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ เนื่องจากเป็นรูปแบบระดมทุนที่เคยใช้มาตลอด 3 ปี แต่อยู่ระหว่างศึกษาว่าจะใช้สินทรัพย์ประเภทใด แม้ปัจจุบันไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนระดมทุนเพราะปัจจุบันมีเงินทุนที่เพียงพอต่อการขยายสินเชื่อ เนื่องจากลูกหนี้ที่ปล่อยกู้ไปเฉลี่ย 12 เดือนจะได้รับเงินคืนมาประมาณ 60% ซึ่งภายใน 18 เดือนลูกค้าสามารถชำระค่างวดได้ครบหมด

สำหรับสินเชื่อใหม่ปีนี้คาดว่าจะปล่อยได้กว่า 50,000 ล้านบาท หรือเติบโตมากกว่า 10% เพราะในครึ่งปีแรก(สิ้นเดือน ส.ค.)บริษัทปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ประมาณ 26,000 ล้านบาท หรือ เติบโตมากกว่า 10% ดังนั้นมั่นใจว่าครึ่งปีหลัง(ก.ย.2549-ก.พ.2550)จะปล่อยสินเชื่อได้ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก และรักษาระดับกำไรสุทธิที่ 15%ได้เหมือนเดิม เนื่องจากต้นทุนการเงินเริ่มนิ่งแล้ว โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเริ่มทรงตัว และมีแนวโน้มจะปรับลดลง

ทั้งนี้สินเชื่อยังขยายตัวต่อเนื่องตามความต้องการของผู้บริโภค ประกอบกับบริษัทได้ขยายสาขาไปยังภูมิภาคเพิ่มขึ้นเพื่อให้บริการได้ครอบคลุมทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาอิออนมียอดลูกค้าใหม่ใช้บริการผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18%ต่อเดือน

ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับไม่เกิน 2.50-3.00% โดย ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าอยู่ประมาณ 2.6 ล้านบัญชี คิดเป็น 1.82 ล้านราย ในจำนวนนี้เป็นลูกค้าบัตรเครดิต 40% ลูกค้าเช่าซื้อ 30% และลูกค้าเงินกู้ 30%

สำหรับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐบาลชุดปัจจุบันเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท เนื่องจากปัจจุบันอิออนปล่อยสินเชื่อให้กับผู้บริโภคในสิ่งที่จำเป็น อีกทั้งมองว่าประชาชนยังมีความต้องการสินเชื่ออยู่ตลอด

นักวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ไซรัส จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์ลงทุนทางเทคนิค AEONTS จะมีแนวต้าน 45.00 บาท แนวต้านถัดไป 46.50 บาท ส่วนแนวรับ 43.00 บาท แต่เป็นหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่อง จึงต้องใช้ความระมัดระวังลงทุน
AEONTS(10 ต.ค.)ปิดที่ 44.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.57% มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 3.54 ล้านบาท






^_^

[u:9b20485372">[b:9b20485372">บิ๊กล็อตเช้านี้ ADVANC-Fมูลค่าสูงสุด 43.25 ลบ.ราคาเฉลี่ย 86.50 บ./หุ้น [/b:9b20485372">[/u:9b20485372">

ปิดตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้ พบมีการซื้อขายบิ๊กล็อต 5 หลักทรัพย์ 8 รายการ
พบ ADVANC-F มีมูลค่าสูงสุด 43.25 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 86.50 บาท
รายงานหลังปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้
พบว่ามีการทำรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่ (BIG LOT) จำนวน 5 หลักทรัพย์ 8 รายการ ดังนี้

หลักทรัพย์ รายการ จำนวนหุ้น มูลค่า (บาท) ราคาเฉลี่ย (บาท)
ADVANC-F 4 500,000 43,250,000.00 86.50
PTT-F 1 30,000 6,420,000.00 214.00
KTB-F 1 500,000 5,850,000.00 11.70
BBL 1 50,000 5,500,000.00 110.00
FORTH 1 500,000 3,225,000.00 6.45


*ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


^_^

[u:3ad414e7c1">[b:3ad414e7c1">CPF เผยบ.ย่อยขายหุ้นTrillionออกหมดเหตุไม่เกี่ยวกับธุรกิจหลัก [/b:3ad414e7c1">[/u:3ad414e7c1">

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เปิดเผย
ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ BKP Holdings Limited (BKPH)และ CPF Investment Limited(CPFI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ
CPF มีมติอนุมัติ
การเข้าทำสัญญาเพื่อจำหน่ายเงินลงทุนในหุ้นสามัญของ Trillion Brewery Company Limited (Trillion) ซึ่งเป็นบริษัทจัด
ตั้งในประเทศเคย์แมน ไอส์แลนด์ เพื่อลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเบียร์ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

วัตถุประสงค์ของการลงทุนในครั้งนี้ เพื่อลดสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย
การลงทุนของ CPF ที่เน้นการลงทุนเฉพาะในธุรกิจหลักหรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของ CPF

ซึ่งการเข้าทำรายการในครั้งนี้ จะไม่มีผลทำให้ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการจำหน่ายเงินลงทุนเนื่องจากทั้ง BKPH และ
CPFI ได้ตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนใน Trillion ไว้เต็มจำนวนแล้วซึ่งเท่ากับ 237 ล้านบาท มาตั้งแต่ปี 2542 แล้ว

โดย BKPH และ CPFI ตกลงที่จะขายเงินลงทุนในหุ้นสามัญของ Trillion ทั้งหมดที่ถืออยู่ จำนวนรวม 9.36 ล้าน
หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 40.40 ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้ว ให้กับนายสมภพ เพทายบันลือ

จากก่อนหน้า BKPH ถือหุ้นใน Trillion สัดส่วน ร้อยละ 20.20 และ CPFI ถือสัดส่วนร้อยละ 20.20

ทั้งนี้มูลค่ารวมของรายการตามสัญญาทั้ง 2 ฉบับเท่ากับ 2 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 75 บาท

BKPH เป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของ CPF จากการที่มีบมจ. กรุงเทพโปรดิ๊วส (BKP) ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 100
และ BKP เป็นบริษัทที่ CPF ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 99.44 ขณะที่ CPFI เป็นบริษัทย่อยทางตรงของ CPF โดย CPF ถือหุ้นอยู่ใน
สัดส่วนร้อยละ 100

ส่วนนายสมภพ เพทายบันลือ ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับผู้ขายในลักษณะที่เข้าข่ายเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันตามประกาศคณะ
กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


^_^