May 6, 2024   3:49:09 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นดาวรุ่ง-หุ้นโคม่า
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 10/10/2006 @ 23:03:32
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

3 โบรกฯดังเปิดโผหุ้นดาวรุ่ง-หุ้นโคม่าในเดือนตุลาคม หลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้วเสร็จ SCBSให้หุ้นธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์,พลังงานทดแทนได้รับประโยชน์ อาทิ KSL-LANNA ส่วนหุ้นดาวร่วงที่คือหุ้นที่ถูกสอบและเกี่ยวข้องกับกับทักษิณ SHIN, ADVANC, SATTEL, ITV, CSL ด้าน CNS แนะหุ้นกลุ่มการเงิน บ้าน ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โรงแรม ไฟฟ้า ได้แก่ ATC BANPU BAY BIGC BGH CCET DELTA HANA ERAWAN KSL PRIN TISCO TUF UMS ขณะที่ ฟินันซ่าเลือกหุ้นที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 หรือผลิตสินค้าจำเป็นหรือเป็นผู้นำ-ผูกขาดในธุรกิจนั้นๆ และมีปันผลตอบแทนให้อุ่นใจ นำโดย EGCOMP, THAI, SCC, DELTA และ ROJANA

ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ได้คาดการณ์สถานการณ์ตลาดหุ้นในเดือนตุลาคม หลังการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ภายใต้การนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เสร็จสิ้นลงว่า ในกรณีพื้นฐาน มองว่าตลาดมีความเสี่ยง Downside จำกัด และมีแนวรับที่แข็งแกร่งอยู่ที่ระดับ 676 จุด และเนื่องจากเหตุการณ์ทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอีกครั้ง ดังนั้น SET น่าจะสามารถปรับตัวขึ้นทดสอบระดับ 700-720 จุดได้ หมายเหตุไว้ว่า ถ้าเราใช้สมมติฐานว่ากลุ่มพลังงานที่มีน้ำหนัก 30% ในตลาดปรับตัวช้ากว่าตลาดโดยรวม นั่นหมายถึงหุ้นอื่นๆ นอกกลุ่มพลังงานน่าจะ Outperform ตลาดได้ค่อนข้างเด่นชัด

ปัจจัยที่จะช่วยกระตุ้นตลาดเดือนตุลาคม
1) ผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล/ธปท. เราเชื่อว่าความกังวลของนักลงทุนในตลาดที่สุดแล้วจะกลับกลายเป็นความตื่นตัวมากขึ้นต่อนโยบายการเงินและการคลังของรัฐบาลชุดใหม่ ณ จุดนี้ได้คาดการณ์ล่วงหน้าไปถึงกรอบนโยบายกว้างๆโดยพิจารณาจากความเป็นไปได้ของผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญใน ครม.(ปัจจุบันวันที่ 3 ต.ค. ยังไม่มีการประกาศรายชื่อ ครม.อย่างเป็นทางการ) ในบรรดารายชื่อทั้งหมด เราให้ความสำคัญกับว่าที่รัฐมนตรีซึ่งมีลักษณะค่อนไปทาง activist มากกว่า caretaker โดยเฉพาะเจาะจงที่ ม.ร.ว.ปริดิยาธร และ ดร.ปิยสวัสดิ์
โดยบางนโยบายจะเป็นการสานต่อจาก ธปท. นโยบายที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นอยู่ในตารางด้านล่าง ย้ำว่านโยบายส่วนใหญ่จะออกไปทางบวก ยกเว้นสิ่งที่เกี่ยวกับการลดการขยายตัวของการค้าส่ง และการเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็ก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นไปอย่างระมัดระวัง ปัจจุบันตลาดมองโลกในแง่ดีเกินไป โครงการทั้งหมดมีสัดส่วนเพียงแค่ 8% ของแผนรายจ่ายเงินงบประมาณของ รัฐบาลชุดก่อน โดยโครงการนอกจากนี้ไม่ใช่โครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วนมากนัก

แนวนโยบายของรัฐบาลใหม่
นโยบาย/แผน ผลกระทบต่อตลาด/กลุ่ม/หุ้น นัยสำคัญ
คงอัตราดอกเบี้ยไว้/ ตลาด ธนาคาร อสังหาฯ บวกมาก

ลดอัตราดอกเบี้ยลงเร็วขึ้น ผู้ประกอบการกลุ่มอุปโภคบริโภค

ค่าเงินบาทแข็ง ตลาด บวกเล็กน้อย

ส่งเสริมให้ใช้ KSL, LANNA บวกเล็กน้อย
พลังงานทดแทนต่อไป

อาจจะยกเลิกธนาคาร พาณิชย์ สินเชื่อเช่าซื้อ บวก
ชุมชนหรืออัดฉีดเงินให้ สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค
หน่วยงานท้องถิ่นอีกครั้ง

นโยบายของกระทรวง BIGC, MAKRO ลบ
พาณิชย์ในรัฐบาลชุดใหม่

กระจายรายได้ พาณิชย์ สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค บวก
สินเชื่อเช่าซื้อ

โครงการรถไฟฟ้า รับเหมาก่อสร้าง กลาง
ที่มา: SCBS

2) กลุ่มที่มีแนวโน้มจะมีปัญหา เรายังคงให้ระวังหุ้นในกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี และเราแนะนำนักลงทุนให้ระวังหุ้นที่อาจจะถูกตรวจสอบ หุ้นที่อยู่ในตารางด้านล่างอาจจะอ่อนไหวต่อกระแสข่าวในด้านลบ แม้ว่าในหลายๆกรณีด้วยกันเราไม่เชื่อว่าจะมีผลกระทบ
อย่างทันทีทันใด

กลุ่มที่มีแนวโน้มจะมีปัญหา
การตรวจสอบ/คดี หุ้นที่เกี่ยวข้อง
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับทักษิณ SHIN, ADVANC, SATTEL, ITV, CSLการตรวจสอบ PTT (อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย) PTT ,CTX ITD, AOT
หุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงในตลาดหลักทรัพย์ IEC, BNT, EVER, MME, D1, ASL, APURE, EWC Airport link STEC
นโยบายของกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลชุดใหม่ BIGC, MAKRO
การปล่อยกู้ของธนาคารรัฐ KTB, NPARK
ความล่าช้า/การเปลี่ยนแปลงแผนของ กทช. กสช. ผู้ประกอบการโทรทัศน์และสื่อสาร
ที่มา: SCBS

การปฏิวัติและ ครม.ชุดใหม่
ฝ่ายวิจัยระบุว่าเคยกล่าวไว้ในรายงานเดือนก.ย.ว่า ?จะ Update เรื่องการเมืองและการอนุมัติงบประมาณปี 2550 เมื่อเราทราบข้อมูลเพิ่มเติม? ทั้งนี้เราพบว่ามีแนวโน้มที่จะมีพัฒนาการหลายอย่างเกิดขึ้นในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ขอความร่วมมือจากบุคคลจากหลายๆฝ่ายเพื่อจัดตั้งสมัชชาแห่งชาติและ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งพลเอกสุรยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของประเทศไทย
ซึ่งเป็นการแต่งตั้งเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมีผลบังคับใช้ และคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยก็แปรสภาพมาเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติรัฐบาลของนายกฯคนใหม่จะมุ่งเน้นหลัก ?เศรษฐกิจพอเพียง? ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและจะไม่มุ่งเน้นที่ตัวเลขของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) แต่จะมุ่งเน้นที่ดัชนีความสุขของประชาชน (GNH) แทน
นอกเหนือ จากแถลงการณ์เกี่ยวกับหน้าที่หลักในลดการแบ่งแยกทางการเมืองในประเทศไทย และการแก้ปัญหาวิกฤตภาคใต้แล้ว เราเชื่อว่าเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลระหว่างกาลชุดใหม่คือ: จัดให้มีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางธุรกิจ/ผู้บริโภค

- CNS แนะนำกลุ่มที่จะได้ประโยชน์กับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ด้าน บล.พัฒนสิน หรือ CNS ได้คงมุมมองตลาดหุ้นไทยในเดือนตุลาคม ที่ระดับ Slightly Positive แม้ว่าดัชนีฯในช่วงต้นเดือนถึงกลางเดือนตุลาคม มีแนวโน้มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนกันยายนที่ผ่านมา เป็นผลจาก
1)สภาพคล่องของนักลงทุนต่างชาติที่เคยเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นไทย (Liquidity Driven) ในช่วงที่ผ่านมา คาดว่าจะถูกดูดซับออกไป เพื่อนำไปจองซื้อหุ้น IPO ของธนาคารจีน ICBC ที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงและตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ วันที่ 16-19 ตุลาคม มูลค่า 1.9 หมื่นล้านดอลล์สหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นมูลค่า IPO ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเอเชีย
2)แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส3/49 ซึ่งกลุ่มสถาบันการเงินจะเป็นกลุ่มแรกที่ทยอยประกาศงบการเงินออกมา และอาจจะไม่สูงมากดังที่คาดการณ์ เนื่องจาก สงครามดอกเบี้ยและนโยบายการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับผลเสียหายจากการขายสินทรัพย์ให้ TAMC ในอดีตและสิ่งที่ไม่คาดคิดในอนาคต
3) ผลการตรวจสอบการคอร์รับชั่นของการประมูลโครงการของรัฐในอดีต กรณีนอมินีกุหลาบแก้ว และกรณี PTT ถูกฟ้องร้องให้ถอดถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างไรก็ดี CNS คาดว่า ผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าวข้างต้นจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยเพียงระยะสั้นเท่านั้น และคาดว่าการปรับลดลงของดัชนีฯจะมีจำกัด (ไม่ต่ำกว่าระดับ 673 จุด ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญในปีนี้)
ส่วนภาพระยะยาว 12 เดือนข้างหน้า CNS ประเมินว่า ดัชนีตลาดฯมีโอกาสปรับขึ้นไปได้ถึงระดับ 800 จุดในปี 2550 เนื่องจากตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบันเป็นตลาดที่ถูกที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค (ไม่รวมญี่ปุ่น) และวัฎจักรขาลงของเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะสิ้นสุดตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป ภายใต้สมมุติฐานที่ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและทิศทางดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาคาดว่าจะสิ้นสุดวัฎจักรขาขึ้นไปแล้ว และความเสี่ยงทางการเมืองที่เคยเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี 49 เป็นต้นมา สิ้นสุดลงหลังการทำรัฐประหารครั้งนี้
ดังนั้น CNS ยังคงแนะนำ Selective Buy on Weaknessสำหรับนักลงทุนระยะยาวประเภท 12 เดือนขึ้นไป โดยมีเป้าหมาย SET Index ปี 2550 ที่ 800 จุด กลุ่มอุตสาหกรรมที่ CNS แนะนำ คือกลุ่มที่จะได้ประโยชน์กับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ได้แก่ กลุ่มการเงิน บ้าน ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ โรงแรม ไฟฟ้า ฯลฯ ส่วนหลักทรัพย์ที่แนะนำ ซื้อ สำหรับการลงทุนประจำเดือนตุลาคม ได้แก่ ATC BANPU BAY BIGC BGH CCET DELTA HANA ERAWAN KSL PRIN TISCO TUF UMS
ในขณะที่นักวิเคราะห์จาก บล.พัฒนสินกล่าวว่า หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ มองว่าเป็นหุ้นในกลุ่มที่มีปัญหาการตรวจสอบทุจริต(บริษัทในกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่นฯได้แก่ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC,บมจ.ไอทีวี หรือ ITV ,บมจ.ชินแซทเทลไลท์ หรือ SATTEL ,บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ SHIN เป็นต้น)ไม่ว่าผลออกมาจะผิดจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ในระยะสั้นราคาหุ้นย่อมได้รับผลกระทบแน่นอน หรือแม้แต่บริษัทอื่นๆเช่น บริษัทคู่แข่งที่ประกอบกิจการสื่อสาร ก็อาจได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ในท้ายที่สุดแล้วเชื่อว่า บริษัทต่างๆเหล่านี้จะมีทางออกทางธุรกิจ และในระยะยาวบริษัทเหล่านี้จะเดินหน้าต่อไปได้และสะท้อนผลดีออกมากับราคาหุ้นในที่สุด
ในระยะยาวการเคลื่อนไหวของหุ้นเหล่านี้จะเป็นไปตามพื้นฐานของกิจการ และผลดีผลเสียจากนโยบายต่างๆของรัฐบาล ส่วนในระยะสั้นราคาหุ้นย่อมได้รับแรงกดดันทางจิตวิทยาแน่นอนนักวิเคราะห์รายเดิมกล่าว

- ฟินันซ่า เลือกหุ้นที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 หรือผลิตสินค้าจำเป็น
ด้าน บล.ฟินันซ่า มองหุ้นไทยจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ต้องใช้เวลากว่าจะไปถึง โดยมองว่าระยะสั้นตลาดจึงปรับตัวลงก่อนนับจากนี้ต่อไปอีก 1 ปี จนกว่าที่ไทยจะมีการเลือกตั้งทั่วไป ระบบเศรษฐกิจไทยจะมี ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะกลายมาเป็นผู้ดูแลเศรษฐกิจด้านมหภาค ขณะที่ คุณโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานบริหารธนาคารกรุงเทพ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดูแลเศรษฐกิจจุลภาคผสานสัมพันธ์ระหว่างนโยบายเศรษฐกิจทั้งสองภาค บนหลักการขับเคลื่อน ?เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว?
ซึ่งในเบื้องต้นแนวทางดังกล่าวได้ถูกบุคคลโดยทั่วไปเข้าใจผิดตีความว่าเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนไปแบบไม่ขยายตัว ซึ่งในความจริงแล้ว คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงหมายถึง?การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบจำกัดความโลภ เน้นการเติบโตแบบที่ตัวเองควรจะเป็น รู้ซึ้งถึงในสิ่งที่ตัวเองถนัด เน้นความมีเสถียรภาพ เติบโตได้เรื่อยๆ? ดังนั้นจึงแตกต่างจากกับนโยบายการมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่แล้ว ผลจากการนำนโยบายดังกล่าวมาใช้จึงน่าจะส่งผลต่อมุมมองของเศรษฐกิจในภาคต่างๆดังต่อไปนี้
การบริโภคเอกชน (Private Consumption) แรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อลดต่ำลงหลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลงต่ำกว่า 65 USD/BBL จึงส่งผลต่อราคาขายปลีกในประเทศให้ปรับตัวลดลง ผลดังกล่าวจึงคลายกดดันต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเราคาดว่า FOMC อาจหยุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ต้น 1Q07 เป็นต้นไป ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของไทยเราคาดว่าจะเริ่มลดลงตั้งแต่ปลาย 2Q07 ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วของราคาน้ำมัน และอัตราเงินเฟ้อจะกระตุ้นให้อัตราดอกเบี้ยปรับลดลงเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์, วัสดุก่อสร้าง, รับเหมา และอสังหาริมทรัพย์
การลงทุนเอกชน (Private Investment) แม้ความมั่นใจการลงทุนจะปรับตัวดีขึ้นหลังแรงกดดันเรื่องความแตกแยกทางการเมืองลดลง แต่ทว่าความวิตกในประเด็นเรื่องความเชื่อมั่นเกี่ยวกับประชาธิปไตย และความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นยังคงอยู่ในความรู้สึกนักลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไทยยังคงประกาศใช้กฏอัยการศึกอยู่นับว่าเป็นภาพที่บดบังการลงทุนจากต่างประเทศที่จะย้ายเข้ามาในไทย ดังนั้นเราจึงคาดว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบจากการชะลอการลงทุนนี้ ขณะที่สินเชื่อในประเทศมีแนวโน้มจะขยายตัวตั้งแต่1Q07 เป็นต้นไป กลุ่มธนาคารจึงได้รับอานิสงส์อ่อนๆ
การลงทุนภาครัฐ (Government Expenditure) เราทราบว่ารัฐบาลใหม่จะยังคงดำเนินนโยบาย Mega Projects โรงไฟฟ้า และการขยายเส้นทางระบบขนส่งมวลชน หรือ MRT เช่นเดียวกับรัฐบาลก่อน แต่ว่าจะเลือกลงทุนในสายที่มีความสำคัญที่สุดไล่มาสายที่สำคัญน้อยลงมา และเน้นความประหยัด ดังนั้นในระยะสั้นเราจึงคาดว่าในกรณีที่เร็วที่สุดการประมูลจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ปลาย 2Q07
ดุลการค้า และบริการ (Trade Balance and Service Balance) เราคาดว่าดุลการค้า และดุลบริการไทยจะปรับตัวดีขึ้น โดยท้ายที่สุดดุลบัญชีเดินสะพัดไทยจะปรับตัวเกินดุลใน 4Q เนื่องจาก 1) การชะลอ Mega Projects ออกไปช่วยลดการนำเข้าสินค้าประเภททุน 2) ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงช่วยประหยัดต้นทุนการนำเข้า 3)เศรษฐกิจคู่ค้าไทยอาทิ จีน อินเดีย และอาเซียนยังคงขยายตัวในระดับที่ดีอยู่ 4) การเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติตั้งแต่ปลายเดือนต.ค.เป็นต้นไป ขณะที่ความมั่นใจในการท่องเที่ยวไทยจะเพิ่มขึ้น
ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว เราจึงคาดว่าไทยจะได้ดุลบริการมาอุดหนุนดุลการค้าที่อาจขาดดุล 5) นโยบายของรัฐบาลใหม่ที่มุ่งเน้นความถนัดอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งได้แก่ภาคบริการการเกษตร และการส่งออก
จึงทำให้เราคาดว่าในช่วงต่อไปกลุ่มท่องเที่ยว และการโรงแรม กลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และการผลิตชิ้นส่วนจะกลายเป็นกลุ่มเด่น โดยหุ้นในกลุ่มนี้ได้แก่ MINT, CENTEL, ERAWAN, CPF,TUF, HANA และ DELTA อย่างไรก็ดีการเปิดเจรจา FTA ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นจะเป็นปัจจัยลบต่อกลุ่มการเกษตร และผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ในระยะกลาง ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะเป็นปัจจัยลบต่อการส่งออก
นอกเหนือจากปัจจัยการเมือง และนโยบายเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปแล้วสำหรับเดือนต.ค.นี้ FSL คาดว่าตลาดจะแก่วงตัวในกรอบ 660-710 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนในช่วงสั้น ก่อนที่จะปรับตัวลงได้แก่การระดมทุนใหม่ของธนาคาร Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) ที่มีการระดมทุนราว 2.1หมื่นล้านเหรียญ หรือ 7.8 แสนล้านบาท คาดวันเปิดจองและกำหนดซื้อขายราวปลาย ต.ค .ถือเป็นการระดมทุนที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก หลังจากที่ NTT DoCoMo ได้ระดมทุน 1.84 หมื่นล้านเหรียญ ไปเมื่อ 1998 เราพบว่า
จากสถิติในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การระดมทุนใน 2 บริษัทใหญ่อย่าง BoC และ CCB มีผลให้ดัชนี MSCI Ex Japanในช่วง 1 เดือนก่อนการระดมทุนปรับตัวลดลงเฉลี่ย 10% ซึ่งเราเชื่อว่าอาจจะได้เห็นพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นอีกในช่วงนี้ก่อนที่ ICBC จะเปิดจอง
การประชุม คณะกรรมการกำกับนโยบายการเงินไทย และสหรัฐในวันที่ 18 และ 24 ต.ค. เราคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.0% และ 5.25% ตามลำดับ ต่อไปอีกหนึ่งเดือน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อ และเพื่อรอดูทิศทางอัตราเงินเฟ้อให้ชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจปรับลดลงในอนาคตเงินทุนที่ไหลเข้ามายังตลาดหุ้นเอเชียประเด็นหนึ่งเป็นผลมาจากท่าทีของ FOMC ที่มีต่ออัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนคลาย และอาจปรับลดลงในต้นปีหน้า ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง
ประการที่สองการย้ายเงินจากตลาดโภคภัณฑ์เข้าสู่ตลาดหุ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปรับตัวลง 10.6% ในเดือนต.ค. และลงมา 18% จากจุดสูงสุดของปี อันมีเหตุมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ และความวุ่นวายในตะวันออกกลางที่บรรเทาความร้อนแรงลง อย่างไรก็ตามแม้ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยจะลดลง แต่ทว่าความเสี่ยงจากความผันผวนจากราคาน้ำมันยังคงมีอยู่ และตลาดไทยจะยังคงได้รับแรงกดดันจากการเมืองที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงติดตามอย่างใกล้ชิด
จะเห็นได้ว่าสถานการณ์การลงทุนในช่วงเดือนต.ค.ยังมีความเสี่ยง/ความผันผวนค่อนข้างสูงทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก ดังนั้นกลยุทธ์ในการเลือก The Stars 5 ตัว ประจำเดือน ต.ค. นี้จะเน้นหลักปลอดภัยไว้ก่อนโดยเลือกหุ้นที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 หรือผลิตสินค้าจำเป็น และ/หรือเป็นผู้นำ/ผูกขาดในธุรกิจนั้นๆ และที่สำคัญต้องมีปันผลตอบแทนให้อุ่นใจ ได้แก่ EGCOMP, THAI, SCC, DELTA และ ROJANA





efinancethai.com[/color:f9e681a24f">

 กลับขึ้นบน
เล็ก
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 7
#1 วันที่: 11/10/2006 @ 00:09:28 : re: หุ้นดาวรุ่ง-หุ้นโคม่า
.000003 หมายถึง SATTEL หรือเปล่าเนี่ย...ย รู้สึกว่าเป็นทั้ง 2 อย่างเลย
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com