May 4, 2024   11:50:05 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ?ต้องสู้?
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 06/10/2006 @ 16:30:46
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

?ต้องสู้?

--------------------------------------------------------------------------------

ตลาดหุ้นดาวโจนส์พุ่งขึ้นทำลายสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี เมื่อนักลงทุนในสหรัฐผ่อนคลายความกังวลในเรื่องราคาน้ำมันดิบ ซึ่งลดลงหลุด 60 เหรียญต่อบาร์เรลไปเรียบร้อยแล้วในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา แต่ความกังวลยังคงมีในเรื่องอัตราเงินเฟ้ออยู่บ้างเหมือนกัน
ส่วนในตลาดหุ้นไทยในระยะ 2 ? 3 วันนี้ นักลงทุนคงจับจ้องติดตามดูหน้าตา ครม. ชุดใหม่กันทั้งนั้น โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่จะมาดูแลทางด้านเศรษฐกิจ แม้จะมีการคาดการล่วงหน้ากันไว้แล้วว่า บุคคลที่จะมาคุมเศรษฐกิจคงจะเป็น หม่อมอุ๋ย ผู้ว่า ธปท. แน่นอน และยังมีจอมยุทธฝีมือดีด้านเศรษฐกิจอย่าง ป๋าโฆษิต บิ๊กบอสของธนาคารกรุงเทพเข้าร่วมทีมเศรษฐกิจด้วย ทันทีที่ทีมงานด้านเศรษฐกิจลงตัวจะมีการโรดโชว์ในต่างประเทศเพื่อชี้แจงกับนักลงทุนต่างประเทศต่อไป และข่าวที่มีออกมาจากผู้นำทีมเศรษฐกิจบอกอย่างชัดเจนก็คือจะไม่มีการเลือกปฏิบัติในการทำงานในด้านเศรษฐกิจเป็นอันขาด และเชื่อว่าคงใช้ระยะเวลาไม่เกินสัปดาห์นี้ ที่รูปร่างของทีมเศรษฐกิจจะเรียบร้อย
ในวงการค้าหุ้นเริ่มมีเสียงบ่นพึมพำกันออกมาบ้างแล้ว สาเหตุก็มาจากความซบเซาที่เกิดขึ้น ทำเอาผู้บริหารของโบรกเกอร์หลายแห่งเริ่มมีความคิดที่จะลดค่าใช้จ่ายกันอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปิดสาขาที่ไม่สามารถทำกำไร หรือไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ยังดีอยู่อย่างที่ยังไม่มีข่าวลดเงินเดือนน้องๆ มนุษย์ทองคำ เนื่องจากผู้บริหารโบรกเกอร์หลายแห่งคงมองเห็นตรงกันว่า ความซบเซาที่เกิดขึ้นคงจะไม่ยืดเยื้อ และมีแนวโน้มจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังการจัดตั้ง ครม. เสร็จเป็นที่เรียบร้อย แต่เพื่อเป็นการกันเหนียวกันไว้ก่อนก็เลยต้องหาทางลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงบ้าง
ส่วนน้องๆ มนุษย์ทองคำที่อาจได้รับผลกระทบต่อการปิดสาขา โดยเฉพาะในต่างจังหวัด คงต้องยอมรับ ต้องทำใจ หากไม่ย้ายเข้าส่วนกลางก็คงต้องหานายจ้างกันใหม่ ชีวิตการเป็นเจ้าหน้าที่การตลาด หรือมนุษย์ทองคำ ไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบหรอก ต้องต่อสู้กันทุกวินาทีทีเดียว มีทางเดียวหากจะยึดอาชีพนี้คือ ต้องสู้ เท่านั้นครับ จึงจะพอมีความหวังอย่าท้อแท้ทีเดียว
น้องๆ มนุษย์ทองคำรุ่นใหม่ไฟแรง เดี๋ยวนี้ก็เก่ง และความรู้ดีกันทุกคน หากจำเป็นต้องหานายจ้างใหม่ก็ต้องเลือกดูให้ดีว่า โบรกเกอร์ไหนจริงใจกับเรา จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนในการหางานใหม่กันอีก เชื่อเถอะครับการย้ายงานบ่อยๆ หรือหางานใหม่ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะครับ

 กลับขึ้นบน
arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
#1 วันที่: 06/10/2006 @ 16:31:29 : re: ?ต้องสู้?
เตรียมแหกด่าน 705 ?

--------------------------------------------------------------------------------

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะสั้นยังคงแกว่งตัวในกรอบ 673 -705 โดยทิศทางระยะสั้นเป็นการฟื้นตัวของดัชนีเพื่อทดสอบแนวต้านสำคัญบริเวณ 705 จุดซึ่งการยืนเหนือ 700 จุดคาดว่าจะเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับตลาดระยะสั้นแต่ทั้งนี้มูลค่าการซื้อขายโดยรวมน่าจะอยู่เหนือระดับ 20,000 ล้านบาทจึงจะเป็นการยืนยันทิศทางเชิงบวกที่น่าจับตาสำหรับภาวะตลาดรอบรอผลประกอบการไตรมาส 3 ที่คาดว่าจะเริ่มกลางเดือนตุลาคมนี้

ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดที่ระดับ 695.72 เพิ่มขึ้น 7.76 จุดโดยมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 15,952 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่ราคาปิดเพิ่มขึ้นมี 246 หลักทรัพย์ ลดลงมี 79 หลักทรัพย์ และอีก 113 หลักทรัพย์ ดัชนีสูงสุดระหว่างการซื้อขาย 696.28 เพิ่มขึ้น 8.32 จุดและต่ำสุดที่ระดับ 690.44 เพิ่มขึ้น 2.48 จุดภาพที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าทิศทางระยะสั้นดัชนียังคงขึ้นเหนือเพื่อทดสอบแนวต้านบริเวณ 705 จุด ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับแนวโน้มตลาดระยะสั้นที่นักลงทุนยังคงระมัดระวังการลงทุน

ข้อสังเกตทางเทคนิคภาพตลาดระยะสั้นมีสัญญาณเชิงบวกเมื่อดัชนียืนเหนือระดับ 685 จุดและเป็นสัญญาณการฟื้นตัวเพื่อทดสอบแนวต้านบริเวณดัชนี 700 จุดซึ่งเป็นแนวต้านทางด้านจิตวิทยาแต่จากการที่ตลาดได้มีการฟื้นตัวอย่างมั่นคงต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 2 วันทำการทำให้โครงสร้างทางเทคนิคระยะสั้นเริ่มส่งสัญญาณ
กลับหลังหันระยะเริ่มต้น ทำให้มุมมองของนักลงทุนที่เคยมองว่าตลาดอาจจะอ่อนตัวไปทดสอบแนวรับบริเวณ 673
จุดนั้นเป็นอัน ยกเลิกไปก่อน แต่กลับมองเป้าหมายการลงทุนทางเทคนิคระยะสั้นใหม่คือ การฟื้นตัวของดัชนีเพื่อทดสอบแนวต้านบริเวณ 700 -705 จุด และการยืนเหนือ 700 จุดใหม่นั้นน่าจะเป็นภาวะการฟื้นตัวที่เสถียรขึ้นของตลาดหุ้นไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี

เป็นที่น่าสังเกตุว่าการฟื้นตัวที่เกิดขึ้นนำโดยหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน พลังงาน รับเหมาก่อสร้าง
และกลุ่มสื่อสารซึ่งส่วนใหญ่ราคาหุ้นได้ผ่านการปรับฐานราคามาระดับที่น่าจูงใจสำหรับนักเก็งกำไรและนักลงทุน
ที่สามารถมองวิกฤติทางการเมืองและการทหารในช่วงที่ผ่านมาเป็นโอกาส และแปรความหมายของการอ่อนตัวของหุ้นที่เกิดขึ้นเป็นจังหวะในการตัดสินใจลงทุน โดยทำให้ เม็ดเงินในมือเพิ่มมูลค่ามากขึ้น เพราะราคาหุ้นส่วนหนึ่งลดลง ส่วนนักลงทุนที่ต้องรอให้สถานการณ์ทุกอย่างชัดเจนก่อนการตัดสินใจก็จะต้องเสียค่า
ฟรีเมี่ยม ความชัดเจนขึ้นอีกระดับหนึ่งเป็นธรรมดา เพราะตลาดหุ้นนั้นเน้น จังหวะ โอกาส ฝีมือ ในการขับเคี่ยวกันเพื่อหยิบสด เงินรางวัล หากมองทิศทางได้ถูกต้อง และพร้อมที่จะต้องเสียค่าประสบการณ์หากมองตลาดไม่ถูกต้อง

สำหรับตัวแปรที่นักลงทุนควรติดตามและแปลความหมายเทียบกับตลาดหุ้นทุก ๆ วันที่ตลาดเปิดทำการซื้อขายคือ
ภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นจะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยด้วยไม่มากก็น้อย
โดยเฉพาะตลาดหุ้นอเมริกา ญี่ปุ่น และฮ่องกง ส่วนการเมืองภายในประเทศคาดว่าจะมีการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของไทยในประมาณวันอังคารหน้า
แต่ในแง่ข้อมูลข่าวสารนักลงทุนอาจจะพอสามารถประเมินตัวบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการผ่านสื่อสารมวลชนต่างๆ ดังนั้น ภาพต่อไปคือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลาดหุ้นจะตอบสนองอย่างไร
ขึ้น หรือลง เพราะเหตุใด

ดังนั้นหากนักลงทุนคาดการณ์สถานการณ์ได้ถูกต้องก็สามารถประเมินทิศทางตลาดในระยะสั้นได้ แต่หากมองในแง่เทคนิคก็ต้องยอมรับว่าตลาดเริ่มมีมุมมองในทางบวกต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นแล้ว
แม้ว่าระยะเริ่มต้นดูเหมือนว่าตลาดหุ้นและนักลงทุนส่วนหนึ่งจะ เมาหมัดบ้าง แต่เป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราว เพราะอย่างไรเสียตลาดหุ้นยังคงเป็นตลาดที่นักลงทุนสามารถเดินบนถนนนักลงทุนต่อไปได้ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะชื่ออะไร รัฐมนตรีจะชื่ออะไรพรรคการเมืองไหนจะเข้ามาเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่ง และความคิดของแต่ละบุคคล
แต่ในแง่ความเป็นจริงแล้วต้องหยิบคำพูดฝรั่งที่เรียกว่า Business as usual
มาเป็นคำตอบ เพราะจริง ๆ แล้วความมั่นใจส่วนหนึ่งในการลงทุนมาจากตัวแปรเรื่องผลประกอบการของบริษัท
ภาวะเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันมีน้ำหนักมากกว่าตัวแปรอื่น ๆหากบริษัทไม่ดี ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะชื่ออะไรก็ทำให้หุ้นขึ้นไม่ได้เช่นกัน
 กลับขึ้นบน
arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
#2 วันที่: 06/10/2006 @ 16:34:32 : re: ?ต้องสู้?
AKRเจาะตลาดโซลาร์เซลล์

--------------------------------------------------------------------------------
บริษัทเอกรัฐวิศวกรรม จำกัด(มหาชน) หรือ AKR ไฟแรงจัด เตรียมแผนงานส่งท้ายปีก่อนก้าวเข้าสู่ปี 2550 อย่างแข็งแกร่ง ด้าน?เกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ? ประธานกรรมการบริหาร เผยสัปดาห์หน้าเตรียมประชุมแผนการตลาด รวมหัวคิดรูปแบบสินค้าที่ใช้ส่วนประกอบจากแผงผลิตโซลาร์เซลล์ คาดเริ่มทดลองทำตลาดได้ปลายปีนี้ ตั้งเป้าทำรายได้เพิ่มอีก 50-100 ล้านบาทต่อปี ส่วนโรงงานผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ที่มีกำลังผลิตรวมสูงถึง 25 ล้านเมกะวัตต์ต่อปี จะเริ่มผลิตในเดือนมิถุนายน 2550 มองแนวโน้มความต้องการใช้ในอนาคตปี 2552 ใช้กำลังผลิตเต็มสตีมแน่ และจะทำรายได้ให้สูงถึง 3,000 ล้านบาทต่อปี ด้านธุรกิจหลักหม้อแปลงไฟฟ้ายังชารต์รายได้แรงสูง จนต้องขยับเป้ารายได้ส่วนนี้ขึ้นเป็น 1,600 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิม 1,400 ล้านบาท มองราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นขยับเข้าใกล้ราคาเสนอขายที่ 2.70 บาท เป็นเพราะนักลงทุนเข้าใจพื้นฐานของบริษัทมากขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นยังอยู่ต่ำกว่าราคาจอง
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น AKR วานนี้(5ต.ค.) ปิดตลาดในราคาสูงสุดที่ 2.62 บาท เพิ่มขึ้น 0.28 บาท หรือ 11.97% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 91 ล้านบาท
นายเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอกรัฐวิศวกรรม จำกัด(มหาชน) หรือ AKR เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์หน้าบริษัทเตรียมจะประชุมแผนการตลาดเกี่ยวกับการเพิ่มสินค้าที่สามารถนำแผงเซลล์พลังแสงอาทิตย์เข้ามาเป็นส่วนประกอบเพื่อเป็นการขยายตลาดให้เพิ่มขึ้น โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มผลิตและจำหน่ายได้ประมาณปลายปีนี้ และจะรับรู้รายได้อย่างชัดเจนในปี 2550 โดยคาดว่าสินค้าใหม่จะสามารถทำรายได้ในปีหน้าประมาณ 50-100 ล้านบาท
ส่วนเครื่องจักรในการผลิตแผงเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ จะนำเข้ามาได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 และคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงเดือนมิถุนายน 2550 โดยในช่วงแรกบริษัทจะผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ในสัดส่วน 25-30 % จากกำลังผลิตเต็ม100% จึงคาดว่าในปีหน้ารายได้จากธุรกิจเซลล์แสงอาทิตย์จะทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 600 ล้านบาทต่อปี จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีประมาณ 100 ล้านบาท
ปีหน้าลุยโซลาร์เซลล์เต็มที่
?โรงงานผลิตโซลาร์เซลล์ ก่อสร้างไปแล้วกว่า 60% โดยมีกำลังผลิตเต็มที่ 25 ล้านเมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทจะทยอยเพิ่มกำลังผลิตต่อเนื่อง โดยในปีช่วงปีแรก2550 จะมีกำลังการผลิตเริ่มแรก 6 ล้านเมกะวัตต์ และเพิ่มขึ้นในปี 2551 เป็น12 - 15 ล้านเมกะวัตต์ และปี 2552จะผลิตเต็มกำลังการผลิต ซึ่งเมื่อบริษัทมีกำลังผลิตเต็มจะส่งผลให้รายได้จากธุรกิจดังกล่าวเข้ามาเฉลี่ยปีละ 3,000 ล้านบาทต่อปี ? นายเกียรติพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายเกียรติพงศ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงปลายปี2549 บริษัทเตรียมจะเซ็นสัญญาในการซื้อวัตถุดิบ เพื่อนำมาผลิตแผงเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์จากบริษัทผู้ประกอบการในประเทศเยอรมันนี เป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งบริษัทก็จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีละ1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้แม้ว่าบริษัทจะมีจ่ายใช้จ่ายเพิ่ม แต่บริษัทก็มีศักยภาพในการผลิตสินค้าให้ลูกค้าในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
จากปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าเพียง 3-4 รายเท่านั้นซึ่งเป็นผลมาจากกำลังผลิตที่ไม่สูงมากนัก
ธุรกิจหลักยังไหลลี่น
ส่วนธุรกิจหลักของบริษัทอย่างหม้อแปลงไฟฟ้านั้น นายเกียรติพงศ์ กล่าวว่ายอดขายหม้อแปลงไฟฟ้าในช่วงครึ่งปีหลังที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้บริษัทจะปรับประมาณการสัดส่วนจากธุรกิจรายได้หม้อแปลงไฟฟ้าเป็น 1,600
ล้านบาท จากเดิมที่ประมาณการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1,400 ล้านบาท โดยบริษัทประมาณการณ์รายได้รวมไว้ที่1,800 ล้านบาท และที่เหลือเป็นธุรกิจอื่นๆ
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น(Gross Margin) ในปีนี้บริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ 27-30% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ทรงตัวจากปีก่อน ส่วนอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ปัจจุบันอยู่ที่ 0.5 - 0.6 เท่า และหลังการก่อสร้างโรงงานโซลาร์เซลล์ เสร็จ จะส่งผลให้ D/E เพิ่มมาอยู่ที่ 2 เท่า
หุ้นขยับตามความเชื่อมั่น
สำหรับกรณีที่ราคาหุ้นได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น นายเกียรติพงศ์ กล่าวว่าอาจจะเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มมีความเข้าใจในพื้นฐานของธุรกิจมากขึ้นประกอบกับแผนการลงทุนของบริษัทในอนาคตก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาประกอบกับราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวในขณะนี้ยังคงต่ำกว่าระดับราคาจองที่ 2.70 บาท
ด้านนายกิตตินาถ นิติพน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า
จากกราฟสัญญาณทางด้านเทคนิคในหุ้นAKR ปัจจุบันได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา2.22 บาท ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ดังนั้นจากกราฟทางเทคนิคต่อจากนี้ราคาหุ้นอาจจะไม่ปรับตัวหวือหวามากนัก
อย่างไรก็ตามหากนักลงทุนต้องการจะเข้าไปเก็งกำไรแนะนำให้รอจังหวะที่แนวรับ 2.46 บาท และแนวรับถัดไปที่ 2.42 บาท และให้แนวต้านที่ 2.64 บาท
 กลับขึ้นบน
arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
#3 วันที่: 06/10/2006 @ 16:40:18 : re: ?ต้องสู้?
PTTEP ?ซื้อ?



--------------------------------------------------------------------------------
วานนี้ตลาดพุ่งขึ้นต่อหลังจากเกิดสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ โดดเด่นในกลุ่มวัสดุก่อสร้างและกลุ่มธนาคาร ปริมาณการซื้อขายเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยลบมีเรื่องศาลปกครองสูงสุดรับคำร้องกรณีการยกเลิกสัมปทานในเครือ SHIN SET วันนี้คงได้ขึ้นมา test แถวๆ 700 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านที่นักลงทุนดูจะให้ความสำคัญกันมาก ตลาดปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเร็ว ทางเราคาดว่าขึ้นมารอบแรกยังไม่น่าจะผ่านได้ ดังนั้นสำหรับการ Trading ระยะสั้นแนะนำ ขาย ไปก่อน บริเวณแนวต้าน 700 แนวรับ 689
PATKL บริษัทมีงานมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาทเพื่อรอรับรู้ในครึ่งหลังของปีนี้และปีหน้า ทำให้รายได้และกำไรของบริษัทปีนี้และปีถัดไปสามารถประเมินได้ค่อนข้างแน่นอน และมีความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจและการเมืองน้อย บริษัทเป็นผู้นำในด้านการก่อสร้างโรงงานผลิตเอธานอลในประเทศไทย ปัจจุบันบริษัทมีงานก่อสร้างโรงงานเอธานอลเอกชน 2 แห่ง มูลค่ารวมกันทั้งสิ้นประมาณ 3,600 ล้านบาท บริษัทคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการก่อสร้างได้ในไตรมาสสี่ปีนี้บางส่วน และรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีหน้า จากรายงานของกรมพลังงาน ประเทศไทยจะมีโรงงานผลิตเอธานอลเพิ่มขึ้นเป็น 1.26 ล้านลิตรต่อปีภายในปี 2550 ดังนั้น เราเชื่อว่าปริมาณงานในมือของบริษัทยังมีโอกาสขยายตัวอีกมากในอนาคต โดยทั้งจากงานสร้างโรงงานเอธานอลในประเทศไทย และประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทได้เปิดโรงงานใหม่เฟสแรกที่จังหวัดเพชรบุรีในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และโรงงานเฟสสองจะเปิดในเดือนตุลาคมปีนี้ โดยโรงงานใหม่ทั้งสองเฟสได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นภาษีนับจากปี 2549-2556 ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปีนี้และปีหน้าอย่างต่อเนื่อง เราแนะนำ ซื้อ เนื่องจากคาดว่าบริษัทจะมีการขยายตัวของกำไรสุทธิในปีนี้ 120% และปีหน้าที่ระดับ 16% ปัจจุบันราคาหุ้นของบริษัทที่ระดับ 3.46 บาท ถือว่าถูกอย่างมากเมื่อเทียบกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 0.63 บาท หรือคิดเป็นอัตรากําไรต่อหุ้นเพียง 5.4 เท่า ด้วยศักยภาพของบริษัทที่จะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากภาคการผลิตอาหาร และการลงทุนในโครงการผลิตเอธานอล เราประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสมคือ 5.80 บาทเทียบเท่ากับ PER ของตลาดที่ระดับ 9.20 เท่า
PTTEP ในตลาดน้ำมันมีข่าวว่าสมาชิกกลุ่ม OPEC หลายประเทศนั้นเห็นด้วยกับการที่กลุ่ม OPEC จะลดกำลังการผลิตลงราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 4% เพื่อพยุงราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมากว่า 22% ในช่วง 8 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งข่าวนี้ก็จะส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกนั้นฟื้นตัวได้ หุ้นในกลุ่มน้ำมันอย่าง PTTEP ที่นิ่งอยู่ในกรอบแคบๆ มานานนั้นก็มีสิทธิจะ break ออกไปได้ตาม momentum ของราคาน้ำมัน โดยเราให้เป้าหมายในระยะสั้นของ PTTEP ที่บริเวณ 115-117 บาท แนะนำ ?ซื้อ? สำหรับ PTTEP
 กลับขึ้นบน
เล็ก
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 7
#4 วันที่: 07/10/2006 @ 11:46:48 : re: ?ต้องสู้?
.0002 ใครอยากสู้ ก็ซื้อ SATTEL สิ ซื้อ 2 หน เจ็งเรียบร้อยทั้ง 2 หนเลย เข็ดแล้ว หุ้นไม่มีอนาคต เอาเวลาไปเลี้ยงลูกดีกว่า....นะ...นะ
 กลับขึ้นบน
innocent
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 729
#5 วันที่: 07/10/2006 @ 22:11:13 : Re: re: ?ต้องสู้?
[quote:689d13f789=เล็ก">.0002 ใครอยากสู้ ก็ซื้อ SATTEL สิ ซื้อ 2 หน เจ็งเรียบร้อยทั้ง 2 หนเลย เข็ดแล้ว หุ้นไม่มีอนาคต เอาเวลาไปเลี้ยงลูกดีกว่า....นะ...นะ[/quote:689d13f789">

.0002 .0002 [b:689d13f789">แง ๆๆๆๆ ซื้อหนเดียว เจ๊งไม่เปนท่า หาเรื่องแท้ [/color:689d13f789">[/b:689d13f789">ๆ ... .000003 .000003 .000003
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com