May 4, 2024   1:05:37 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ข่าวสดดดด...วันนี้...
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 06/10/2006 @ 10:00:23
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

[u:30d14d1c25">[b:30d14d1c25">ค่า FT งวดนี้ลดลง 7.02 สต./หน่วย[/b:30d14d1c25">[/u:30d14d1c25">

เรกกูเลเตอร์ ประกาศค่า FT งวดตุลาคม 2549 - มกราคม 2550 ลดลง 7.02 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนลดลงจาก 3.10 บาทต่อหน่วย เหลือ 3.04 บาทต่อหน่วย เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า (เรกกูเลเตอร์) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้มีการพิจารณาค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (FT) ประจำเดือนตุลาคม 2549 - มกราคม 2550 และมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการ ที่ให้เรียกเก็บค่า FT งวดนี้ลดลง 7.02 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้การเรียกเก็บรอบที่ผ่านมาคือ มิถุนายน-กันยายน 2549 อยู่ที่ 85.44 สตางค์ต่อหน่วย ลดลงเหลือเพียง 78.42 สตางค์ต่อหน่วย โดยเมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานเฉลี่ยประมาณ 2.26 บาทต่อหน่วยแล้ว ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนจะอยู่ที่หน่วยละ 3.04 บาท หรือลดลงจากเดิมที่ 3.10 บาทต่อหน่วยในงวดก่อนหน้า คิดเป็น 2.06%


สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลดค่า FT ลงได้ คือ การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ที่ช่วยลดค่า FT ลงได้ 16.79 สตางค์ต่อหน่วย โดยเฉพาะการผลิตจากโรงไฟฟ้าถ่านหินของบริษัทบีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด ที่ลดการใช้เชื้อเพลิงราคาแพงในการผลิตกระแสไฟฟ้าลงได้ โดยช่วยการใช้น้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 2,616 ล้านหน่วย คิดเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท หรือลดค่า FT ได้ 13 สตางค์ต่อหน่วย และยังมีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำเข้ามาช่วยอีกด้วย

นายยงยุทธ กล่าวว่า หลังจากค่า FT ที่ลดลงในงวดนี้ เรกกูเลเตอร์ ได้พิจารณาเห็นชอบให้ยกเลิกมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านพักอาศัยที่ใช้ไฟไม่เกินเดือนละ 150 หน่วย และผู้ใช้ไฟฟ้าสูบน้ำเพื่อการเกษตรที่ได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้า 10 สตางค์ต่อหน่วย การประชุมครั้งนี้คณะกรรมการฯ ยังพิจารณาค่า FT งวดหน้าคือ กุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2550 ซึ่งคาดว่า จากการคำนวณค่า FT ในเบื้องต้นจะปรับขึ้นประมาณ 8 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและแนวโน้มราคาเชื้อเพลิงยังคงสูงต่อเนื่อง

โดย กระแสหุ้น

^-^[/color:30d14d1c25">

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 06/10/2006 @ 10:04:15 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:e5396bea50">[b:e5396bea50">PTT ลดน้ำมันทุกชนิดอีก 40 สต. ปตท.สผ.เดินหน้าผลิตก๊าซเพิ่ม[/b:e5396bea50">[/u:e5396bea50">

ปตท. นำลดราคาน้ำมันทุกชนิด 40 สตางค์ต่อลิตร วันนี้ (6 ต.ค.) โดยรวมเบนซินลดลง 4.60 บาท และดีเซลลดลงไปแล้ว 3.40 บาทต่อลิตร เพื่อสะท้อนตามต้นทุนตลาดโลกที่อ่อนตัวลง ด้าน ปตท.สผ. เร่งรัดการผลิตก๊าซธรรมชาติจากโครงการอาทิตย์เพิ่มเติมอีกโดยเฉลี่ยประมาณ 120 - 150 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปีรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันมีความผันผวนสูงมาก ล่าสุดได้อ่อนตัวลงมาบ้าง โดยในวานนี้ (5 ต.ค.) ราคาน้ำมันดิบดูไบอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 55.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันสำเร็จรูป เบนซินสิงคโปร์ 95 อยู่ที่ระดับ 60.37 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 69.28 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ ปตท.สามารถพิจารณาปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดทั้งกลุ่มเบนซินและกลุ่มน้ำมันดีเซล ลดลงให้ผู้บริโภคได้อีกครั้งลิตรละ 40 สตางค์ มีผลตั้งแต่วันนี้ (6 ต.ค.) เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกเบนซิน 95 ลิตรละ 25.59 บาท เบนซิน 91 ลิตรละ 24.79 บาท แก๊สโซฮอล์ ลิตรละ 24.09 บาท และดีเซล ลิตรละ 24.14 บาท

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ผลจากการที่ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง เนื่องจากรายงานการพยากรณ์ Hurricane ของมหาวิทยาลัย Colorado ของประเทศสหรัฐคาดว่าฤดูมรสุมปีนี้จะมีพายุโซนร้อนอีกเพียง 2 ลูก และจะไม่เกิดพายุ Hurricane ขนาดใหญ่จนสิ้นสุดฤดู ประกอบกับมีรายงานว่าปริมาณสำรองน้ำมันทั้งน้ำมันดิบและสำเร็จรูปของสหรัฐฯอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูปนั้นนับว่าอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี และ Reuter Poll ได้คาดการณ์ปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปที่จะประกาศสัปดาห์นี้จะปรับเพิ่มขึ้นอีก ตลาดจึงคลายความกังวลเรื่องปริมาณน้ำมันไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในช่วงฤดูหนาว นอกจากนี้ รายงานตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงไตรมาส 2 ปี 2549 ลดลงกว่าไตรมาสแรก จึงเป็นปัจจัยให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง

สำหรับการลดราคาน้ำมันครั้งนี้ นับเป็นการลดราคาน้ำมันเบนซินครั้งที่ 11 รวมลดลงไปทั้งสิ้น 4.60 บาทต่อลิตร แล้ว ส่วนน้ำมันดีเซลนั้นเป็นการปรับลดราคาครั้งที่ 8 รวมลดลง 3.40 บาทต่อลิตร (ในรอบเกือบ 2 เดือน) อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง เลือกใช้พลังงานทดแทนเพื่อช่วยประหยัดพลังงาน เช่น น้ำมันแก๊สโซฮอล์ และก๊าซ NGV โดยสถานีบริการน้ำมันของ ปตท. ทุกแห่ง พร้อมให้บริการน้ำมัน พีทีที แก๊สโซฮอล์ 95 พลัส ครบทั่วทั้งประเทศแล้วกว่า 1,200 แห่งมากที่สุดในประเทศ สำหรับก๊าซเอ็นจีวี ซึ่งขณะนี้มีสถานีบริการฯ 70 แห่ง และภายในต้นปี 2550 จะมีครบ 200 แห่ง ในส่วนของการให้บริการน้ำมันไบโอดีเซล ปัจจุบันมีจำนวนสถานีบริการฯ 26 แห่ง และจะขยายให้ครบ 100 แห่ง ในสิ้นปีนี้

ด้าน นายมารุต มฤคทัต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่าตามที่บริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (Gas Sales Agreement) ของโครงการอาทิตย์โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตที่อัตรา 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในไตรมาสที่ 1 ปี 2551แต่เนื่องจากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติได้เพิ่มสูงขึ้น ปตท.สผ. จึงมีข้อตกลงในหลักการกับ ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. ที่จะเพิ่มอัตราการผลิตจากโครงการอาทิตย์

ทั้งนี้ ปตท.สผ. ขอแจ้งให้ทราบว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการเช่าเรือผลิตและกักเก็บ (Floating Production Storage and Off-Loading หรือ FPSO) เพื่อเร่งรัดการผลิตก๊าซธรรมชาติจากโครงการอาทิตย์เพิ่มเติมอีกโดยเฉลี่ยประมาณ 120 - 150ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปี โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 เป็นต้นไป

โดย กระแสหุ้น

^-^[/color:e5396bea50">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 06/10/2006 @ 10:07:23 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:cb78f2f60e">[b:cb78f2f60e">AKR รายได้ทะลุเป้า 10% ปี50 เติบโตก้าวกระโดด [/b:cb78f2f60e">[/u:cb78f2f60e">

เอกรัฐวิศวกรรม ดันเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นอีก 10% ทะลุ 1.8 พันล้าน ดันส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ไปจำหน่ายต่างประเทศ หนุนรายได้ปีหน้าเติบโตอย่างก้าวกระโดด ธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้ายังครองส่วนแบ่งตลาดที่ระดับ 25-30% ผู้บริหาร เกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ลั่นราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่าไอพีโอ และยังต่ำกว่าพื้นฐานเป็นจริง นักวิเคราะห์ประเมินหุ้น AKR มีแรงซื้อเก็งกำไร ประเมินแนวต้านสำคัญ 2.70-2.90 บาท

นายเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) AKR เปิดเผยว่า การที่ระดับราคาหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวขึ้นในช่วงนี้ สาเหตุหลักๆน่าจะมาจากราคาหุ้นของบริษัทในช่วงที่ผ่านมานั้น ปรับตัวลงมาเยอะและต่ำกว่าความเป็นจริง และจริงๆแล้วราคาหุ้นของบริษัทไม่น่าจะต่ำกว่าราคาจอง IPO ประกอบกับบริษัทได้มีการประชาสัมพันธ์ บรรยายการดำเนินธุรกิจให้นักลงทุนได้รู้จักบริษัทมากขึ้น รวมทั้งที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำรายได้ได้ตามที่ได้ประมาณการไว้ ดังนั้นนักลงทุนจึงได้ให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทมากขึ้น นอกจากนี้มองว่าราคาหุ้นของเรา ณ เวลานี้มันยังไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของเราเท่าที่ควร

ปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มอีก10%
นายเกียรติพงศ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะทำการปรับเป้ารายได้เพิ่มขึ้น10% จากเดิมที่คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 1,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 1,800 ล้านบาท สาเหตุที่ทำให้บริษัทต้องปรับเป้ารายได้เพิ่มขึ้นก็เพราะว่ามีรายได้จากธุรกิจหม้อแปลงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจโซลาร์เซลล์นั้น ทางบริษัทคาดว่าปีนี้จะมีรายได้เข้ามาไม่มาก คาดว่าจะมีรายได้กว่า 100 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปี 2550 บริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นเป็น 600 ล้านบาท เนื่องจากประมาณกลางปีหน้าบริษัทสามารถที่จะผลิตแผงโซลาร์ได้อย่างเต็มอัตรากำลังการผลิต ส่งผลให้รายได้ในปีหน้าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่วนรายได้จากธุรกิจหม้อแปลงนั้น ทางบริษัทคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2549 ประมาณ 15%

ดันแผนส่งออกแผงโซลาร์เพิ่มขึ้น
ส่วนแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 3/2549 คาดว่ารายได้น่าจะเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้ ส่วนในไตรมาส 4 นั้น บริษัทคาดว่ารายได้น่าจะออกมาดีกว่าไตรมาส 3 อย่างแน่นอน ส่วนในแง่ของกำไรนั้นทางบริษัทคาดว่ากำไรทั้งปีน่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2548 สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปีหน้านั้น ก็มีแผนที่จะส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ จะเป็นตลาดยุโรปและเยอรมันเป็นหลัก ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 80% และที่เหลืออีก 20% นั้นเป็นการจำหน่ายภายในประเทศ

นอกจากนี้ บริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ในปีนี้ให้อยู่ระดับประมาณ 27-30% ทั้งนี้เป็นผลมาจากบริษัทเป็นผู้นำในการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า ทำให้สามารถปรับราคาสินค้าตามต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นได้

พอใจส่วนแบ่งตลาดที่ระดับ30%
นายเกียรติพงศ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับหนึ่ง (Market Share) ในธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าที่ระดับ 25-30% ขณะเดียวกันทางบริษัทไม่มีความจำเป็นที่ต้องเพิ่ม Market Share เพราะถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม อีกทั้งจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคา ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท

สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมในปี 2550 มองว่า ธุรกิจยังคงมีโอกาสที่จะเติบโตมากกว่าปีนี้ เพราะว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมเริ่มที่จะชะลอตัวลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับนโยบายของภาครัฐก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่พอมาถึงวันนี้ทุกอย่างเริ่มที่จะลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาวะราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มทรงตัว รวมไปถึงสถานการณ์ทางเมืองที่เริ่มชัดเจน แม้ว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการแต่งตั้งจะมีระยะเวลาในการบริหารงานเพียงแค่ปีเดียวก็ตาม แต่เชื่อว่าบุคคลที่ได้แต่งตั้งให้มากดำรงตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีนั้นเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถและมีศักพภาพ และคิดว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้ามานั้น จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งผู้ประกอบการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและเอกชน ดังนั้นเชื่อว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมในปีหน้าน่าจะดีกว่าปีนี้แน่นอน


ราคาหุ้นต่ำเกินจริง-แห่เข้าลงทุน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ เปิดเผยว่า การที่ระดับราคาหุ้นของ AKR ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น สาเหตุน่าจะมาจากก่อนหน้านี้ระดับราคาหุ้นได้ปรับลดลงมามากพอสมควร ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาส่งผลทำให้มีแรงดันให้ราคาหุ้นขยับเพิ่ม ทั้งนี้ได้ประเมินกรอบราคาทางเทคนิคของ AKR ยังไปได้ต่อโดยให้แนวรับไว้ที่ 2.40 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 2.64 บาท แนะนำเก็งกำไรได้ในกรอบนี้

ประเมินแนวต้าน2.70-2.90 บาท
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS เปิดเผยว่า การที่ระดับราคาหุ้นของ AKR ปรับตัวขึ้นนั้น สาเหตุก็มาจากระดับราคาหุ้นของ AKR ยังปรับตัวต่ำกว่าราคาจอง ส่งผลทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนและเก็งกำไร ส่วนปัจจัยข่าวอื่นๆที่จะส่งผลต่อระดับราคาหุ้นของ AKR อย่างมีนัยสำคัญในช่วงนี้นั้น ขณะเดียวกันมองว่าหุ้นของ AKR นั้นเหมาะที่จะลงทุนระยะยาวมากกว่าที่จะลงทุนในระยะสั้น ดังนั้นจึงได้ประเมินกรอบราคาเทคนิคโดยให้แนวรับอยู่ที่ 2.40-2.44 บาท ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 2.70-2.90 บาท

โดย กระแสหุ้น

^-^
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 06/10/2006 @ 10:13:27 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[b:a433d66a7e">[u:a433d66a7e">METRO-NCH[/u:a433d66a7e">[/b:a433d66a7e"> [u:a433d66a7e">[b:a433d66a7e">มี Backlog หนุน มองปี 50 แนวโน้มอสังหาฯดีขึ้น [/b:a433d66a7e">[/u:a433d66a7e">

NCH และ METRO มองแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีหน้าดีขึ้น NCH รับปีนี้ลดเป้ารายได้เหลือ1.7 -1.8 พันล. ไตรมาสเล็งเปิดโครงการใหม่ 300-400 ล. ปีนี้รับรู้รายได้จาก backlog 300 กว่าล. ขณะที่ METRO คงเป้ารายได้ 1.5 พันล. ฟุ้งมี Backlog8 พันล.ให้รอรับรู้ถึงอีก 3 ปี

นายสมเชาว์ ตัณฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทคงจะทำการปรับเป้ารายได้ลงเหลือ 1,700-1,800 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัว ภาวะอัตราดอกเบี้ยและน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมไปถึงสถานการณ์ทางการเมืองเข้ามากระทบ ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านลง ส่วนแนวโน้มผลรายได้ในไตรมาส 3/2549 คาดว่ารายได้น่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาส 2 ที่มีรายได้อยู่ที่ 641.30 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 4/2549 ทางบริษัทได้วางแผนที่จะเปิดตัวโครงการทาวน์เฮ้าส์และบ้านแฝด ย่านลำลูกกา มูลค่าโครงการประมาณ 300-400 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ทางบริษัทก็คงจะต้องขอรอดูสถานการณ์ต่างๆ ก่อนว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าโครงการที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 400-500 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ได้ในปีนี้ประมาณ 300 กว่าล้านบาท ส่วนที่เหลือก็จะไปรับรู้ได้ในปี 2550

นายสมเชาว์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2550 นั้น ขณะนี้ทางบริษัทก็กำลังอยู่ระหว่างการวางแผนงานและกลยุทธ์ต่างๆ อยู่ อย่างไรก็ตาม บริษัทคงจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับแนวโน้มภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ปีหน้า มองว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมน่าจะดีกว่าปีนี้ เพราะถ้าหากการเมืองนิ่ง อัตราดอกเบี้ยและน้ำมันไม่ปรับขึ้น เชื่อว่าผู้บริโภคก็จะตัดสินใจซื้อบ้านเร็วขึ้น เพราะว่าดีมานด์ความต้องการในตลาดก็ยังคงมีอยู่ แต่ที่ผ่านมามันมีปัจจัยลบเข้ามาทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านลง แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปีหน้าภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าน่าจะมีอัตรการเติบโตประมาณ 5-10%

นายรัตนชัย ผาตินาวิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทเมโทรสตาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ METRO เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทยังคงเป้ารายได้รวมปีนี้ที่ 1,500 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าอย่างแน่นอน เพราะว่าในไตรมาส 4 นี้จะมีการโอนและรับรู้รายได้จากโครงการที่ได้เปิดไปในไตรมาส 3 และที่จะเปิดในไตรมาส 4 นี้ ซึ่งก็จะส่งผลให้รายได้เข้ามามากในไตรมาส 4/2549 ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าโครงการที่รอรับรู้รายได้ประมาณ 8,000 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า ส่วนเรื่องของการซื้อทีดินเพิ่มนั้น ทางบริษัทได้ตั้งงบซื้อที่ดินไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งที่ดินดังกล่าวนั้นอยู่ย่านรัชดาภิเษก ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับทางเจ้าของที่ดิน ทั้งนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปของการเจรจาภายในสิ้นปีนี้

สำหรับภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า มองว่าภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าจะดีกว่าปีนี้ เพราะภาพทุกอย่างมันเริ่มชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาวะราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มนิ่ง รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี ดังนั้นตนประเมินว่าภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20%

โดย กระแสหุ้น

^-^[/color:a433d66a7e">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#4 วันที่: 06/10/2006 @ 10:16:37 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:c5eee5fc5f">[b:c5eee5fc5f">BEXรับ7ตั๋วเงินคลังเข้าซื้อ-ขาย[/b:c5eee5fc5f">[/u:c5eee5fc5f">

BEX รับตั๋วเงินคลังจำนวน 7 รุ่น มูลค่า 33,000 ล้านบาท เข้าซื้อขายในเดือนตุลาคมนี้ หนุนมูลค่าคงค้างรวมของตราสารหนี้จดทะเบียนใน BEX เพิ่มขึ้นเป็น 3.240 ล้านล้านบาท

ดร. สันติ กีระนันทน์ ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ (Bond Electronic Exchange หรือ BEX) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับตั๋วเงินคลัง ซึ่งออกโดยกระทรวงการคลังสำหรับงวดปีงบประมาณพ.ศ. 2550 โดยไม่ระบุอัตราดอกเบี้ย จำนวน 7 รุ่น รวมมูลค่า 33,000 ล้านบาท เข้าจดทะเบียนซื้อขายใน BEX ในวันที่ 9, 16 และ 20 ตุลาคม 2549 ได้แก่ ตั๋วเงินคลังเริ่มซื้อขายวันที่ 9 ตุลาคม 2549 รวมมูลค่า 13,000 ล้านบาท 1. ตั๋วเงินคลังงวดที่ 02/28/50 อายุ 28 วัน หมดอายุวันที่ 8 พ.ย. 2549 มูลค่า 4,000 ล้านบาท ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า TB06N08C 2. ตั๋วเงินคลังงวดที่ L2/91/50 อายุ 91 วัน หมดอายุวันที่ 10 ม.ค. 2550 มูลค่า 4,000 ล้านบาท ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า TB07110B และ 3. ตั๋วเงินคลังงวดที่ L2/182/50 อายุ 182 วัน หมดอายุวันที่ 11 เม.ย. 2550 มูลค่า 5,000 ล้านบาท ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า TB07411A

ลำดับต่อมา ตั๋วเงินคลังเริ่มซื้อขายวันที่ 16 ตุลาคม 2549 รวมมูลค่า 13,000 ล้านบาท 1. ตั๋วเงินคลังงวดที่ 03/28/50 อายุ 28 วัน หมดอายุวันที่ 15 พ.ย. 2549 มูลค่า 6,000 ล้านบาท ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า TB06N15C 2. ตั๋วเงินคลังงวดที่ L3/91/50 อายุ 91 วัน หมดอายุวันที่ 17 ม.ค. 2550 มูลค่า 7,000 ล้านบาท ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า TB07117B และ ตั๋วเงินคลังเริ่มซื้อขายวันที่ 20 ตุลาคม 2549 รวมมูลค่า 7,000 ล้านบาท 1. ตั๋วเงินคลังงวดที่ 04/28/50 อายุ 28 วัน หมดอายุวันที่ 22 พ.ย. 2549 มูลค่า 3,000 ล้านบาท ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า TB06N22C และ2. ตั๋วเงินคลังงวดที่ L4/91/50 อายุ 91 วัน หมดอายุวันที่ 24 ม.ค. 2550 มูลค่า 4,000 ล้านบาท ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า TB07124B

ทั้งนี้ การเข้าจดทะเบียนของตั๋วเงินคลังชุดนี้ จะส่งผลให้มูลค่าตราสารหนี้ที่ออกโดยภาครัฐคิดเป็น 2.989 ล้านล้านบาท และมูลค่าคงค้างรวมของตราสารหนี้จดทะเบียนใน BEX เพิ่มขึ้นเป็น 3.240 ล้านล้านบาท

โดย กระแสหุ้น

^-^[/color:c5eee5fc5f">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#5 วันที่: 06/10/2006 @ 10:21:45 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:95629c8f96">[b:95629c8f96">ต่างชาติเริ่มกลับมาช้อน ปัจจัยหนุน-ลุ้นทะลุ 700 ยันไม่มีตั้งกองทุนทุบหุ้น [/b:95629c8f96">[/u:95629c8f96">

ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อรอบใหม่ หนุนดัชนีพุ่งฉิว หุ้นตัวใหญ่คึกคัก หลังรับปัจจัยบวก ทั้งโครงการเมกะโปรเจกต์และเก็งกำไรผลงานแบงก์ ประเมินแนวโน้มแกว่งตัวขึ้นต่อ ลุ้นทะลุ 700 จุด ด้าน ธปท.-ตลท. ออกมายืนยันข่าวลือตั้งกองทุนเทขายหุ้นเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลไม่เป็นจริง พร้อมย้ำตลาดปกติ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บรรยากาศการลงทุน วานนี้ (5 ต.ค.) ว่า มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคาร และเป็นแรงซื้อของต่างชาติที่กลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง หลังจากที่ขายต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยการประกาศผลประกอบการธนาคารไตรมาส 3 และรับข่าวการสานต่อโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลใหม่ ผลักดันให้ดัชนีฯปรับขึ้นไปปิดตลาดที่ระดับ 695.72 จุด เพิ่มขึ้น 7.76 จุด มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 15,954.59 ล้านบาท ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 796.15 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 691.28 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,487.43 ล้านบาท

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด หรือ UOBKH ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้น (6 ต.ค.) ว่า คาดว่าดัชนีน่าจะแกว่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยลบต่างๆเริ่มคลี่คลายในทางที่ดี รวมทั้งมีการเคลื่อนไหวตามทิศทางตลาดภูมิภาคที่ปรับตัวขึ้นด้วย โดยตลาดน่าจะปรับขึ้นได้ หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวลง ส่งผลการบริโภคของประชาชนมากขึ้น เรื่องอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มทรงตัว และมีโอกาสปรับตัวลดลง ขณะที่เรื่องการเมืองในประเทศดีขึ้น โดยต้นสัปดาห์หน้าเราจะได้เห็นคณะรัฐมนตรี ประกอบกับสถานะการณ์ทางภาคใต้ที่น่าจะดีขึ้น จากที่จะมีการเจรจากับกลุ่มก่อการร้าย รวมทั้งสภาวะตลาดในภูมิภาคที่ปรับตัวขึ้น และอีกปัจจัยเรื่องผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่กำลังจะออกมาน่าจะทำให้มีการซื้อขายกันมากขึ้น

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการสายงานการตลาดบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวให้ความเห็นว่า ดัชนีน่าจะเทรดที่แนวต้าน 700 จุด โดยแรงซื้อกลุ่มธนาคารน่าจะชะลอตัวลงบ้าง ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 690 จุด แนะนำนักลงทุนว่า สามารถเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ฯ ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารระยะกลางถ้ามีให้ถือได้แต่ควรหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับการเมือง

ยันไม่มีใครตั้งกองทุนทุบหุ้น
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวที่ระบุว่า มีการจัดตั้งกองทุนโดยมีกลุ่มการเมืองเก่าอยู่เบื้องหลัง เพื่อเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ดิสเครดิตรัฐบาลที่กำลังจัดตั้งขึ้นใหม่ว่า การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นไปอย่างปกติ ราบรื่น ทางธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้เข้าไปทำอะไร นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ เนื่องจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยยังดี มีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตรงเวลา ราคาหุ้นยังต่ำ ดังนั้นหากนักลงทุนในประเทศมีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย นักลงทุนต่างชาติก็จะมีความเชื่อมั่นตามไปด้วย

นอกจากนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ หรือ เอสแอนด์พี ก็ได้เข้าพบ และได้อธิบายให้ฟังถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเอสแอนด์พีก็มีความเข้าใจและพึงพอใจ แต่เนื่องจากต่างชาติยังไม่คุ้นเคยในนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง จึงยังไม่ทราบวิธีการที่จะนำมาปรับใช้

ผู้ว่าการ ธปท.เชื่อว่า เอสแอนด์พี คงจะปลดประเทศไทยออกจากบัญชีประเทศที่จับตามอง ซึ่งคงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่มั่นใจว่า เอสแอนด์พี จะไม่ลดความน่าเชื่อถือของไทย เราได้ฟื้นความเชื่อมั่นตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุการณ์ทางการเมือง การที่ประชาชนออกมาถ่ายรูปกับทหารและรถถัง ก็เป็นภาพที่แสดงความเชื่อมั่นได้ ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว

นายวิจิตร สุพินิจ ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยืนยันว่า ไม่มีการตั้งกองทุนขึ้นเพื่อเทขายหุ้น ตลาดหลักทรัพย์เฝ้าติดตามดูอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา นักลงทุนไทยทั้งรายย่อยและสถาบัน มีการเข้าลงทุนโดยตลอด ส่วนที่ต่างชาติเทขาย เนื่องจากโยกเงินลงทุนไปตลาดหุ้นจีน

ถ้าพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยดี รัฐบาลมีความมั่นคง ก็จะไม่มีใครอยากเทขายหุ้นออกมา เพราะเท่ากับเป็นการทำร้ายตัวเอง เพราะเมื่อมีการเทขายมากๆ ราคาหุ้นก็จะตก จนต่ำกว่าที่ซื้อไว้ ตลาดหลักทรัพย์ดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา ไม่พบว่ามีการตั้งกองทุนเพื่อมาขายหุ้น การซื้อขายเป็นไปตามปกติ ที่ต่างชาติเทขายเพราะได้กำไร และเอาไปซื้อหุ้นไอพีโอในประเทศจีน นายวิจิตรกล่าว

โดย กระแสหุ้น

^-^[/color:95629c8f96">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#6 วันที่: 06/10/2006 @ 10:32:25 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:135d10e522">[b:135d10e522">ทริส ยกเลิกเครดิต KWH และ TCA [/b:135d10e522">[/u:135d10e522">

ทริสเรทติ้งยกเลิกอันดับเครดิต วิค แอนด์ ฮุคลันด์ และ ไทยคอมเมอร์เชียล ออโต้

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยกเลิกอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท วิค แอนด์ ฮุคลันด์ จำกัด (มหาชน) พร้อมทั้งยกเลิกอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของ บริษัท ไทยคอมเมอร์เชียล ออโต้ จำกัด โดยทริสเรทติ้งกล่าวว่าเป็นไปตามความประสงค์ของบริษัทดังกล่าวเนื่องจากบริษัททั้ง 2 แห่งไม่มีแผนจะออกหุ้นกู้ในอนาคตอันใกล้นี้

ดังนั้น การยกเลิกอันดับเครดิตในครั้งนี้จึงมีผลให้การติดตามทบทวนผลการดำเนินงานทั้งของ บริษัท วิค แอนด์ ฮุคลันด์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยคอมเมอร์เชียล ออโต้ จำกัด ยุติลง โดยอันดับเครดิตองค์กรในระดับ BBB/Stable ของ บริษัท วิค แอนด์ ฮุคลันด์ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ในระดับ BBB+/Stable ของ บริษัท ไทยคอมเมอร์เชียล ออโต้ จำกัด ที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้ ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงได้อีกต่อไป

โดย กระแสหุ้น

^-^[/color:135d10e522">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#7 วันที่: 06/10/2006 @ 10:37:27 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:0cb6786be5">[b:0cb6786be5">MFC เปิดขายกองทุนผสม Happy D 5[/b:0cb6786be5">[/u:0cb6786be5">

บลจ.เอ็มเอฟซี ดีเดย์เปิดขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี แฮปปี้ ดี ไฟฟ์ ฟันด์ หรือ Happy D 5 กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น มูลค่า 500 ล้านบาท จับจังหวะการเคลื่อนไหวของหุ้นอย่างต่อเนื่องสร้างผลตอบแทนดี มีสภาพคล่องสูง ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ เปิดขายครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 9-18 ตุลาคมนี้

ดร.พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) (MFC) เปิดเผยว่า บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กำหนดวันเปิดขายกองทุนครั้งแรกของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี แฮปปี้ ดี ไฟฟ์ ฟันด์ (MFC Happy D 5Fund) ในวันที่ 9-18 ตุลาคม 2549 นี้ หลังจากที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และคาดหวังโอกาสในการรับผลตอบแทนสม่ำเสมอ รวมทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากขึ้น

ทั้งนี้ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี แฮปปี้ ดี ไฟฟ์ ฟันด์ (MFC Happy D 5 Fund: Happy D 5) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี และเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนให้กับนักลงทุน ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวลดลง ราคาหุ้นของหลายบริษัทลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง จึงเป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะเข้าลงทุนกองทุนนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงในระดับปานกลางถึงสูง

สำหรับ กองทุนเปิด MFC Happy D 5 เป็นกองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น ประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท โดยจะมีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (specific fund) เน้นลงทุนในตราสารทุนเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังกระจายเงินลงทุนของกองทุนในตราสารหนี้ และหรือเงินฝาก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตลอดจนหลักทรัพย์และทรัพย์สินอื่น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้สามารถลงทุนได้ ส่วน จุดเด่นของกองทุนเปิด MFC Happy D 5 คือ เน้นการบริหารกองทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี และลงทุนในหุ้นที่มีการเจริญเติบโตสูง โดยมีการจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอย่างต่อเนื่อง กองทุนมีสภาพคล่องสูงสามารถซื้อและขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ รวมทั้งมีการจ่ายปันผลอย่างน้อยปีละครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 4 ของเงินลงทุน ทุกๆครั้งที่กองทุนทำกำไร แต่ไม่เกิน 12 ครั้งต่อปี

ดร. พิชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) มั่นใจว่าจากความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการจัดการกองทุนมากว่า 30 ปี ประกอบกับมีความเชี่ยวชาญในการลงทุนทั้งในตราสารทุนและตราสารหนี้ และที่สำคัญคือ มีบุคลากรที่มีประสบการณ์ในด้านการจัดการกองทุน พร้อมทีมนักวิเคราะห์มืออาชีพจะทำให้การบริหารจัดการกองทุนเปิด MFC Happy D 5 ประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้

สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี แฮปปี้ ดี ไฟฟ์ ฟันด์ สามารถลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 10,000บาท และสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) โทร.0-2649-2000 หรือที่ www.mfcfund.com และตัวแทนสนับสนุนการขายหน่วยลงทุน

โดย กระแสหุ้น

^-^[/color:0cb6786be5">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#8 วันที่: 06/10/2006 @ 12:34:03 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:c8ee02507c">[b:c8ee02507c">LOXLEY ลบ 3.33% โบรกฯมองหากเลิกหวยบนดินอาจกระทบหวยออนไลน์-เทคนิคไม่ดี[/b:c8ee02507c">[/u:c8ee02507c">

หุ้น LOXLEY ราคาร่วงลง 3.33% มาอยู่ที่ 2.32 บาท ลดลง 0.08 บาท มูลค่าซื้อขาย 17.38 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.28 น. โดยเปิดตลาดที่ 2.34 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 2.36 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 2.28 บาท
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต กล่าวว่า ราคาหุ้น LOXLEY ปรับตัวลงวันนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากที่มีข่าวในเรื่องการจะยกเลิกรางวัลแจ๊กพอตหวยบนดิน ซึ่งหากยกเลิกจริงก็อาจจะส่งผลให้มีปัญหากับการออกหวยออนไลน์ที่ทางบริษัท ล็อกซเล่ย์ จีเท็ค เทคโนโลยี จำกัด(LGT) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มล็อกซเล่ย์(LOXLEY)ทำอยู่ก็ได้
นอกจากนี้ สัญญาณทางเทคนิคหุ้น LOXLEY วันนี้ไม่ดีนัก มีโอกาสที่จะหลุดแนวรับที่ 2.28 บาท และไหลลงไป 2.04 บาท ส่วนแนวต้านจะอยู่ที่ 2.30, 2.36 บาท
เช้านี้ หนังสือพิมพ์ ระบุว่า นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายจรัล ภักดีธนากุล รักษาราช การแทนปลัดกระทรวงยุติธรรม ระบุว่าต้องการให้ยกเลิกรางวัลแจ๊กพอตหวยบนดินว่า ตนได้รับการยืนยันว่ากระแสข่าวที่ออกมานั้น
ทั้งนี้ นายจรัลได้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องที่อาจนำมาพิจารณากันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีนโยบายให้ยกเลิกตามข่าวที่ออกมา อย่างไรก็ตามสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลคงต้องพิจารณาในแง่มุมต่าง ๆ ให้รอบคอบต่อไป[/color:c8ee02507c">

^_^
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#9 วันที่: 06/10/2006 @ 12:35:37 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:79d6bba254">[b:79d6bba254">ASCON บวก-เทรดคึกคัก หลังมีข่าวจะร่วมทุนพันธมิตรต่างชาติประมูลรถไฟฟ้า[/b:79d6bba254">[/u:79d6bba254">

หุ้น ASCON ราคาขยับขึ้นขึ้น 3.48% มาอยู่ที่ 11.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 66.24 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.34 น. โดยเปิดตลาดที่ 11.50 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 12 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 11.50 บาท
เช้านี้ มีข่าวว่า นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา กรรมการผู้จัดการ บมจ. แอสคอน คอนสตรัคชั่น (ASCON)ได้เปิดเผยว่า บริษัทยังคงมีการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างประเทศ ในการที่จะดำเนินงานเมกะโปรเจกต์ รถไฟฟ้า 3 สายอยู่ หลังจากที่นายกรัฐมนตรีออกมาประกาศว่าจะสานต่อในโครงการดังกล่าวตามแผนเดิมที่รัฐบาลชุดก่อนได้ทำไว้
ขณะที่งานในส่วนที่บริษัทจะเข้าทำการร่วมทุนกับภาครัฐบาลจำนวน 1 โครงการนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างสัญญา MOU โดยคาดว่าน่าจะเสร็จสิ้นในเร็ว ๆ นี้ ส่วนอีก 2 โครงการมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาทนั้น ทางบริษัทยังคงต้องรอการเข้าประมูลต่อไป
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 3 ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการประมวลผล แต่บริษัทยังมั่นใจว่าจะส่ามารถเติบโตมากกว่าไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากมีการเซ็นสัญญาในโครงการต่างๆ เพิ่มเติม เช่นเดียวกับไตรมาส 4 ที่คาดว่าน่าจะเติบโตมากขึ้นไปอีก ส่งผลให้ในครึ่งปีหลังบริษัทน่าจะทำรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,200-1,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีโครงการในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท จะต้องมีการรับรู้ให้หมดภายใน 2 ปีต่อจากนี้ โดยจะเป็นการรับรู้ในครึ่งปีหลังประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2550 คาดว่าจะรับรู้รายได้ ได้อีกประมาณ 2,000 ล้านบาท และอีก 1,000 ล้านบาทจะรับรู้ได้ในปี 2551[/color:79d6bba254">

^_^
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#10 วันที่: 06/10/2006 @ 14:28:50 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:00a346f8f2">[b:00a346f8f2">ตลท.เตรียมเพิ่มฟรีโฟลทหุ้นบิ๊กแคป เล็งดึงบริษัทข้ามชาติเข้าจดทะเบียน[/b:00a346f8f2">[/u:00a346f8f2">

ตลท.เตรียมหารือสภาธรุกิจตลาดทุนไทยเพิ่มฟรีโฟลทบริษัทขนาดใหญ่รวมถึงรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปให้อยู่ในระดับ 40% หวังเพิ่มความน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ พร้อมเตรียมศึกษาดึงบริษัทข้ามชาติเข้ามาจดทะเบียนในไทย มั่นใจ แทคจดทะเบียนในแบบดูโอลิสติ่งได้ทันปีนี้ ตั้งเป้าเพิ่มนักลงทุนในตลาดทุนจาก 0.4%เป็น 10% ของประชากรทั้งประเทศ

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภายในเดือนตุลาคมนี้ ตลาดหลักทรัพย์จะนัดหารือร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทยในเรื่องการเพิ่มปริมาณหุ้นหมุนเวียนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์(free float) ของบริษัทขนาดใหญ่ รวมถึงบริษัทที่มีหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้น และบริษัทที่มาจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจากปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ
20% เป็น 40% เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับนักลงทุน

ทั้งนี้ปริมาณหุ้นหมุนเวียนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการตัดสินเข้ามาลงทุนของนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ โดยในเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องมีการหารือเพื่อหาข้อสรุป

เรื่องฟรีโฟลทเป็นเรื่องที่ต่างชาติเค้าสนใจค่อนข้างมาก ซึ่งถ้าเราเพิ่มในบริษัทขนาดใหญ่ได้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นจะมีมากขึ้นแน่นอนนางภัทรียากล่าว

นอกจากนี้ในแผนงาน 3 ปีของตลาดหลักทรัพย์จะเร่งสร้างฐานนักลงทุนในตลาดทุนซึ่งประกอบด้วย ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และตลาดอนุพันธ์ จากปัจจุบันมีนักลงทุนประมาณ 0.4% ของประชากรทั้งประเทศให้เป็นประมาณ 10% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเท่ากับประมาณ 6.5 ล้านคน

นางภัทรียา กล่าวอีกว่า สำหรับการดึงบริษัทข้ามชาติเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง ประกอบด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในเรื่องการควบคุมเงินไหลเข้าไหลอกเพราะยังไม่มีกฎเกณฑ์ในเรื่องดังกล่าวที่ชัดเจนกับการดึงบริษัทเข้ามาจดทะเบียน

ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะต้องหารือในเรื่องกฎเกณฑ์ระเบียบข้อบังคับเพื่อให้เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ก็ต้องดูในเรื่องกฎเกณฑ์การเข้ามาจดทะเบียน

เราไม่ได้กังวลในเรื่องการเข้าจดทะเบียนของบริษัทต่างชาติ หรือมาร์เกตแคปของบริษัทนั้นๆจะมาทำให้บริษัทในประเทศได้รับความสนใจน้อยลง เพราะหากเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นความสนใจของตลาดหุ้นเราก็จะเพิ่มขึ้นนางภัทรียากล่าว

ทั้งนี้ในช่วงแรกตลาดหลักทรัพย์จะให้ความสนใจในบริษัทประเทศในภูมิภาคก่อน เช่น ประเทศเวียดนาม โดยที่ผ่านมาได้มีการหารือกั
บริษัท อตมะ เวียดนาม เพื่อให้เข้าจดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งคงต้องรอดูความชัดเจนก่อนว่ากฎเกณฑ์และระเบียบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสรุปได้เมื่อใด แต่เชื่อว่าใน 3 ปีน่าจะเห็นความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวหรืออาจะมีบริษัทข้ามชาติบางรายเข้ามาจดทะเบียนในประเทศไทยได้

ในส่วนของการจดทะเบียนลักษณะ 2 ประเทศ หรือ ดูโอลิสติ่งคาดว่าภายในปีนี้ บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่นหรือแทค ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ส่วนกรณีบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเบียร์ช้าง ยังไม่สามารถเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ เนื่องจากปัจจุบันยังติดเงื่อนไขในการพิจารณาของสำนักงานก.ล.ต.ในเรื่องคุณสมบัติ โดยจะต้องรอให้มีการพิจารณาเรื่องการออกพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของกระทรวงสาธารณสุข

โดย ผู้จัดการออนไลน์

^-^
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#11 วันที่: 06/10/2006 @ 14:33:26 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:49d3798803">[b:49d3798803">ลือเป็นจริงผู้ถือหุ้นใหญ่RKทิ้ง กลุ่มรุ่งธนเกียรติขาย19.65%[/b:49d3798803">[/u:49d3798803">

ตระกูลรุ่งธนเกียรติยอมรับสภาพขายหุ้นอาร์เค มีเดีย โฮลดิ้งให้สุนทร มีสุวรรณจำนวน 25.60 ล้านหุ้นหรือ 19.65% ในราคาหุ้นละ 1.20 บาท ทำให้ในกลุ่มยังถือหุ้น 14.39% ซึ่งเป็นไปตามข่าวลือที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โบรกเกอร์แนะให้ผู้บริหารอย่าลดสัดส่วนการถือหุ้นมากเกินไป เหตุขณะนี้มีกลุ่มทุนทั้งในประเทศ-ต่างประเทศพร้อมที่จะเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อเข้ามาเป็นเจ้าของแทน

ข่าวลือการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท อาร์เค มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน)หรือ RK ขายหุ้นเป็นจริง ซึ่งเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2549หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน ได้เสนอข่าวว่าได้มีกระแสข่าวลือว่ากลุ่มนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาซื้อหุ้นบริษัทอาร์เค มีเดีย โฮลดิ้งจากกลุ่มตระกูลรุ่งธนเกียรติ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยได้มีการเจรจากันแล้ว และกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ได้เข้าไปตรวจสอบมูลค่าสินทรัพย์หรือดิวดีลิเจ้นท์ ซึ่งมีกระแสข่าวว่ากลุ่มตระกูลรุ่งธนเกียรติต้องการเสนอขายหุ้นในราคาหุ้นละ 1.30 บาท

อย่างไรก็ตามจากการสอบถามไปยังนายเกรียงศักดิ์ รุ่งธนเกียรติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทอาร์เค มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน)ในครั้งนี้ได้ตอบปฏิเสธกับกระแสข่าวดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้มีการตกลงกับนักลงทุนรายใดที่จะเข้ามาติดต่อเพื่อร่วมดำเนินธุรกิจกับบริษัท แต่บริษัทมีความสนใจที่จะหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทำธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดวานนี้(5 ต.ค.)นายไพศาล ศรีจรัสจรรยา ประธานกรรมการ บริษัท อาร์เค มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่าตามที่บริษัทได้รับแจ้งจากนายเกรียงศักดิ์ รุ่งธนเกียรติ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ของบริษัทฯ ว่าได้ทำการขายหุ้นสามัญของบริษัทจำนวน 25.60 ล้านหุ้นหรือ 19.65% ของหุ้นสามัญที่ออกและเสนอขายแล้วทั้งหมด โดยเสนอขายให้กับนายสุนทร มีสุวรรณ ในราคาหุ้นละ 1.20 บาทเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2549

ทั้งนี้นายสุนทร ถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถที่จะเข้ามาช่วยเสริมการดำเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคต และภายหลังการขายหุ้นดังกล่าว จะทำให้กลุ่มรุ่งธนเกียรติ ยังคงถือหุ้นจำนวน 18.74 ล้านหุ้นหรือ 14.39%

ภายหลังการขายหุ้นดังกล่าว จะทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้น 10 อันดับแรกประกอบด้วยนายสุนทร มีสุวรรณ ถือหุ้น 25.60 ล้านหุ้นคิดเป็น 19.65% รองลงมาได้แก่นายกิตติศักดิ์ รุ่งธนเกียรติ ถือหุ้น 11.90 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.14%,นายใหม่ พิทักษ์ ถือหุ้น 6.08 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.67%,นายธเนศ อภิวาณิชย์ ถือหุ้น 5.92 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.55%,นางอลิสา ศศิพงศ์ปรีชา ถือหุ้น 5.92 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.55%

นายสรายุทธ สินศักดิ์จรุงเดช ถือหุ้น 5.74 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.41%,นางสิริกาญจน์ อุ้ยธนสิริ ถือหุ้น 5.65 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.34%,นายชยางค์ ไชยศรีหา ถือหุ้น 5.46 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.19%,นางสาวศรุตยา ธุรภาคพิบูล ถือหุ้น 3.01 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.31%และนายอารี อนุตริยะ ถือหุ้น 2.55 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.96%

นายเกรียงศักดิ์ รุ่งธนเกียรติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์ เค มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขายหุ้นออกมาในครั้งนี้เป็นไปตามแผนงานของบริษัทที่ต้องการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทำธุรกิจ โดยขณะนี้ยังไม่ได้มีการหารือกับผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ถึงการเข้ามาร่วมทำธุรกิจว่าจะเป็นไปลักษณะใด

ทั้งนี้ คาดว่าภายใน 1-2 เดือนนี้จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนกับผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ในเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น รวมถึงการส่งตัวแทนเข้ามาเป็นกรรมการบริษัท และการบริหารงานในเรื่องต่างๆ

ในส่วนของราคาหุ้นที่ขายให้นายสุนทร มีสุวรรณ ที่ 1.20 บาทต่อหุ้นแม้ว่าจะต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายในตลาดค่อนข้างมาก นายเกรียงศักดิ์กล่าวว่า แม้ว่าราคาที่ขายจะต่ำกว่าราคาในกระดานแต่ก็ถือว่าเป็นราคาที่ส่วนตัวพอใจเนื่องจากต้องการหาพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมทำธุรกิจและเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในอนาคตมากกว่า

ใน1-2 เดือนนี้น่าจะสรุปได้ชัดเจนว่าพันธมิตรที่เข้ามาร่วมกับบริษัทในครั้งนี้จะถือหุ้นในสัดส่วนเท่าใด และจะมีการส่งคนเข้ามาร่วมบริหารเท่าไหร่ และที่สำคัญแนวทางในการดำเนินธุรกิจจะเป็นอย่างไรนายเกรียงศักดิ์กล่าว

นายไพศาล ศรีจรัสจรรยา ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทอาร์เค มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า ไม่ทราบถึงสาเหตุของการขายหุ้นดังกล่าว โดยน่าจะเป็นการตกลงกันระหว่างผู้ถือหุ้นเดิมและผู้ถือหุ้นใหม่ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้รู้จักเป็นส่วนตัวกับผู้ถือหุ้นใหม่ว่าเป็นใคร ซึ่งจากการที่นายสุนทรเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คาดว่าคงจะส่งตัวแทนเข้ามาร่วมบริหารงานด้วย

เชื่อว่าผู้ถือหุ้นเดิมจะตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพราะทราบมาว่าที่ผ่านมผู้ถือหุ้นใหญ่มีการเจรจากับพันธมิตรรายหลายรายเพื่อเป็นการ
ช่วยขยายฐานธุรกิจ หลังภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และการแข่งขันของวิทยุชุมชนรุนแรงนายไพศาลกล่าว

สำหรับราคาที่ตกลงซื้อขายหุ้นละ 1.20 บาทนั้น ถือว่าต่ำกว่าราคาหุ้นในกระดาน คาดว่าราคาขายดังกล่าวอาจจะเป็นราคาเฉลี่ยย้อนหลัง
ไป 1- 3 เดือน ซึ่งราคาดังกล่าวก็น่าจะเป็นราคาที่ทั้งสองฝ่ายมีความพอใจ

แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์เปิดเผยว่า สาเหตุมีการตกลงซื้อขายในราคาหุ้นละ 1.20 บาทนั้น เชื่อว่าเป็นระดับราคาหลังจากที่นายสุนทรได้เข้าไปตรวจสอบมูลค่าสินทรัพย์เรียบร้อยแล้ว จึงได้ต่อรองราคาลงมาจากระดับราคาที่ผู้ถือหุ้นกลุ่มรุ่งธนเกียรติต้องการขายในราคาหุ้นละ 1.30 บาท

ทั้งนี้จากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอาร์เค มีเดีย โฮลดิ้ง และก่อนหน้านี้คือบริษัททราฟฟิกคอร์นเนอร์โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)หรือ TRAF และบล.แอ๊ดคินซัน จำกัด(มหาชน)หรือ ASL นั้น เป็นสิ่งที่เตือนให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนอย่าลดสัดส่วนการถือหุ้นมากจนเกินไป เพราะขณะนี้มีกลุ่มทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมที่จะเข้ามาซื้อหุ้น ซึ่งถ้ากลุ่มทุนดังกล่าวสามารถซื้อหุ้นในระดับ 25-30% ก็ถือว่ามีอำนาจที่จะสามารถเรียกให้มีการเปิดประชุมผู้ถือหุ้นได้ และอาจจะทำให้กลุ่มทุนดังกล่าวสามารถเข้ามาเป็นเจ้าของกิจการแทนได้

สำหรับราคาหุ้นบริษัทอาร์เค มีเดีย โฮลดิ้งวานนี้(5 ต.ค.)ราคาปิด 1.54 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาทหรือ 2.67% มูลค่าการซื้อขาย 10.39 ล้านบาท

โดย ผู้จัดการออนไลน์

^-^[/color:49d3798803">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#12 วันที่: 06/10/2006 @ 16:03:33 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:7b4c619105">[b:7b4c619105">ฝรั่งเก็บหุ้นแบงก์-อสังหาฯดันหุ้นพุ่ง [/b:7b4c619105">[/u:7b4c619105">

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้(5 ต.ค.)ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มแบงก์และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์โดยดัชนีปิดที่ 695.72 จุด เพิ่มขึ้น 7.76 จุด หรือ 1.13% โดยจุดสูงสุดอยู่ที่ 696.28 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 690.44 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,954.59 ล้านบาท

การซื้อขายนักลงทุนรายกลุ่มปรากฏว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 792.44 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทิ 691.15 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,483.59 ล้านบาท
สำหรับ 5 อันดับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด
1.PTT ปิดที่ 212 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1,240.23 ล้านบาท
2.BBL ปิดที่ 112 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท มูลค่าการซื้อขาย 708.29 ล้านบาท
3.SCC ปิดที่ 244 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท มูลค่าการซื้อขาย 589.47 ล้านบาท
4.MCOT ปิดที่ 31.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 535.28 ล้านบาท
5.PTTEP ปิดที่ 105 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 473.57 ล้านบาท

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการสายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาวะตลาดในวันนี้ว่าดัชนี ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ภายหลังจากมีการคาดการณ์ว่าภาวะดอกเบี้ยภายในประเทศมีแนวโน้มที่จะหยุดขึ้นแล้ว ในขณะที่สินเชื่อเริ่มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากที่การขยายตัวของเศรษฐกิจถึงแม้จะทรงตัวแต่เมื่อดูจากภาพรวมแล้วไม่ถึงกับแย่ลง ?แนวโน้มดอกเบี้ยน่าจะอยู่ในช่วงขาลง เพราะว่าเวลาที่ดอกเบี้ยขึ้นการที่จะมีคนเข้ามากู้เงินก็น้อยลง ทำให้เขาไม่มีการขยายธุรกิจ ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจขยายตัวได้ช้า แต่ถ้าเวลาที่ดอกเบี้ยลดลงจะทำให้

นอกจากนี้ยังมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ภายหลังจากที่นายเบนเบอร์ นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ส่งสัญญาณที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้า 3 สายที่ทางภาครัฐได้สานต่อนโยบายจากรัฐบาลชุดก่อน ส่งผลให้ประชาชนมีความต้องการที่จะซื้อที่ดินเพิ่มมากขึ้น สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้คาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อแต่อาจจะมีแรงขายทำกำไรออกมา ซึ่งยังคงต้องติดตามค่าเงินบาทขณะนี้ค่อนข้างจะอ่อนตัวลง โดยค่าเงินบาทอยู่ที่ 37.60 บาท ส่วนตัวมองว่าค่าเงินบาทอาจจะอ่อนตัวถึง 37.80 บาท ซึ่งจะส่งสัญญาณไม่ดีทางด้านเทคนิค และการสนับสนุนโครงการรถไฟฟ้าจากทางภาครัฐฯโดยประเมินแนวรับที่ 688 จุด และแนวต้านที่ 700 จุด

โดย ผู้จัดการออนไลน์

^-^[/color:7b4c619105">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#13 วันที่: 06/10/2006 @ 16:07:50 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:3b799e42bf">[b:3b799e42bf">หุ้นกลุ่มชินฯ ดิ่ง หลังศาลปกครองรับฟ้องยึดสัมปทาน[/b:3b799e42bf">[/u:3b799e42bf">

หุ้นกลุ่มชินฯ ดิ่งช่วงเช้าปิดลดลงทุกตัวในกลุ่ม หลังวานนี้ศาลปกครองสูงสุดรับฟ้องยกเลิกสัมปทาน โดยหุ้นไอทีวีหนัก ปิดเหลือแค่ 2.80 บาท ด้านโบรกฯ มองปัจจัยการเมืองกดดันระยะสั้นต่อราคาหุ้นกลุ่มชินฯ

วันนี้ (6 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) ได้มีการปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากเมื่อวานนี้ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรับฟ้องกรณีข้อกล่าวหาหน่วยงานของรัฐ ละเลยหน้าที่ไม่ดำเนินการยกเลิกสัญญาสัมปทานบริษัทเครือชินฯ หลังขายหุ้นให้นักลงทุนต่างชาติ ขณะที่โบรกเกอร์มองระยะสั้นปัจจัยทางการเมืองจะกดดันต่อราคาหุ้นกลุ่มชินฯ

โดยหุ้นกลุ่มชินฯ ปรับร่วงลงทุกบริษัทในเช้าวันนี้ โดยหุ้น SHIN ลดลงร้อยละ 1.71 มาที่ 28.75 บาท, หุ้นแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ลดลงร้อยละ 2.86 มาที่ 85.00 บาท ส่วนหุ้นชินแซทเทลไลท์ ลดร้อยละ 2.78 มาที่ 7.00 บาท และหุ้นไอทีวี ลดร้อยละ 1.41 มาที่ 2.80 บาท

โดย ผู้จัดการออนไลน์

^-^
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#14 วันที่: 06/10/2006 @ 18:09:21 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[b:10bc79ae68">[u:10bc79ae68">KTB ไฮบริดบอนด์บูมต่างชาติรุม เหตุต้นทุนต่ำลง-ความเชื่อมั่นฟื้น [/u:10bc79ae68">[/b:10bc79ae68">

ต่างชาติแห่จองซื้อ ไฮบริดบอนด์ ธนาคารกรุงไทยเกินกว่าจำนวนที่เสนอขายกว่าเท่าตัว ต้องตัดสินใจเพิ่มจำนวนขาย เป็น 220 ล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับความต้องการ ในอัตราดอกเบี้ย 7.378 %ต่อปี ต่ำกว่าราคาที่เคยเสนอ

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB เปิดเผยถึงการจำหน่ายตราสารหนี้กึ่งทุนหรือไฮบริดบอนด์ ซึ่งธนาคารเปิดให้นักลงทุนต่างประเทศเสนอราคาซื้อผ่านสาขาสิงคโปร์ วานนี้ (5 ตุลาคม 2549) ว่า ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากนักลงทุน โดยมียอดจองซื้อเกินกว่าจำนวนที่ธนาคารต้องการเท่าตัว ทำให้ธนาคารตัดสินใจขยายจำนวนจาก 200 ล้านดอลลาร์ เป็น 220 ล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 7.378% ต่อปี ต่ำกว่าราคาเมื่อทำ Road Show ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถือเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์อย่างมากกับธนาคาร ทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยของธนาคารต่ำลง

?ยอดจองซื้อที่เกินกว่าจำนวนที่ธนาคารเสนอขาย สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศที่มีต่อประเทศไทยและธนาคารกรุงไทย โดยนักลงทุนรายใหญ่ทุกรายที่เคยเสนอซื้อไฮบริดบอนด์เมื่อคราวที่แล้ว ได้เสนอซื้อในคราวนี้ด้วย และบางรายได้เสนอซื้อในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์โดยรวมของประเทศไทยมีเสถียรภาพและมีทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ?

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ได้เปิดเผยถึงเหตุผลที่ธนาคารจำหน่ายไฮบริดบอนด์ในครั้งนี้ว่า เป็นเพราะธนาคารมั่นใจอย่างมากว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้กลับคืนมาแล้ว และมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ การที่ธนาคารกรุงไทยประสบความสำเร็จในการออกไฮบริดบอนด์ จะทำให้สถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่แห่งอื่นๆ เกิดความมั่นใจในการทำธุรกรรมต่างๆ

ไฮบริดบอนด์ที่ธนาคารเสนอขาย เป็นตราสารหนี้ที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาในการชำระคืน แต่ธนาคารสามารถไถ่ถอนหลังจากปีที่ 10 นับจากวันออกตราสาร จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง โดยจะทำให้เงินกองทุนขั้นที่ 1 ของธนาคารเพิ่มจาก 9.55% เป็น 10.51% และธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อเพิ่มได้อีกเกือบ 1 แสนล้านบาท

โดย กระแสหุ้น

^-^[/color:10bc79ae68">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#15 วันที่: 06/10/2006 @ 18:12:53 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:62c44528b5">[b:62c44528b5">SOLAR ขยายตลาดสู่ ตปท. ปีนี้รายได้ตามเป้า1,300 ล. [/b:62c44528b5">[/u:62c44528b5">

SOLAR เตรียมขยายธุรกิจสู่ประเทศเพื่อนบ้าน พม่า - ลาว - กัมพูชา มั่นใจกระแสตอบรับเพียบ ลั่นทั้งปีรายได้โตตามเป้า 1.3 พันล้านบาทแน่ ส่วนปีหน้าโตเพิ่มอีก10%

นางสาววันดี กุญชรยาคง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) (SOLAR) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาแบบเชื่อมต่อระบบจำหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา พม่า เป็นต้น เนื่องจากประเทศดังกล่าวยังคงมีความต้องการใช้พลังงานดังกล่าวอยู่ อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นคาดว่าคงจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเป็นอย่างดี

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากโครงการโซลาร์โฮมเฟส 1 งวดสุดท้ายจำนวน 200-300 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4/2549 ทั้งนี้ใน 6 เดือนแรกบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายในการเข้าสู่ตลาดที่อยู่อาศัยด้วยการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาแบบเชื่อมต่อระบบจำหน่าย ประมาณ 200-300 ระบบ คิดเป็นจำนวนเงินมูลค่า 150-200 ล้านบาท และคาดว่าในปีถัดๆ ไปตลอดจะขยายตัวเพิ่มขึ้นปีละ 30-40%

ส่วนในปี 2549 มั่นใจว่ารายได้คงจะเป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ 1,300 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกสามารถทำรายได้ไปแล้วกว่า 1,151 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ลงทุนในโรงงานผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกซิลิคอนแบบต้นน้ำ ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 1,200 ล้านบาท มีกำลังการผลิตปีละ 7 ล้านแผ่น หรือคิดเป็นกำลังไฟฟ้า 25 เมกะวัตต์ต่อปี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 2/2550 ขณะที่ในปี 2550 รายได้คงจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท

นางสาววันดี กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวเกี่ยวกับพันธมิตรรายใหม่ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นของ SOLAR และทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ในราคา 8 บาท ทั้งนี้ขอยืนยันว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยในช่วงที่ผ่านมายังไม่มีพันธมิตรรายใหม่เข้ามาเจรจาเพื่อขอซื้อหุ้นกับบริษัทฯเลย

โดย กระแสหุ้น

^-^[/color:62c44528b5">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#16 วันที่: 06/10/2006 @ 19:10:38 : re: ข่าวสดดดด...วันนี้...
[u:e2ddcd10ef">[b:e2ddcd10ef">สรุปปริมาณการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ต่างชาติซื้อสุทธิ 913.21 ลบ.[/b:e2ddcd10ef">[/u:e2ddcd10ef">

เว็บไซต์บล.เคจีไอ รายงานสรุปการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยแบ่ง
ตามประเภทนักลงทุน ประจำวันที่ 6 ตุลาคม 2549 ดังนี้

กลุ่ม ปริมาณซื้อ (ลบ.) % ปริมาณขาย (ลบ.) % สุทธิ(ลบ.)

All Market

สถาบัน 1,543.46 13.54% 1,838.19 16.12% -294.73
นักลงทุนต่างประเทศ 3,929.23 34.47% 3,016.02 26.46% 913.21
นักลงทุนทั่วไป 5,927.06 51.99% 6,545.53 57.42% -618.48

SET Market

สถาบัน 1,543.46 13.69% 1,838.19 16.31% -294.73
นักลงทุนต่างประเทศ 3,927.13 34.84% 3,011.61 26.72% 915.52
นักลงทุนทั่วไป 5,800.62 51.46% 6,421.41 56.97% -620.79

MAI Market

สถาบัน 0.00 0.00% 0.00 0.00% 0.00
นักลงทุนต่างประเทศ 2.10 1.63% 4.41 3.43% -2.31
นักลงทุนทั่วไป 126.43 98.37% 124.12 96.57% 2.31

ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 694.60 ลบ 1.12 จุด (-0.16%) โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 11,271
ล้านบาท

ที่มา IQ Biz

^_^[/color:e2ddcd10ef">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com