May 4, 2024   11:29:13 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ............ข่าวสดวันนี้................
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 05/10/2006 @ 10:04:15
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ฟฟฟฟ2


[u:df3b4a82a4">[b:df3b4a82a4">TKT คุมต้นทุนได้ผล ดันกำไรขั้นต้นที่ 20%[/b:df3b4a82a4">[/u:df3b4a82a4">

ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม เร่งปั๊มรายได้ คุมเข้มต้นทุนเต็มที่ หวังดันอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 20% ผู้บริหาร จุมพล เตชะไกรศรี เผยเจรจาลูกค้าใหม่เพิ่ม คาดไตรมาส4 ได้ข้อสรุป 2 ราย พร้อมเตรียมเสนอแผนรุกปี 50 ให้บอร์ดอนุมัติแล้ว นักวิเคราะห์ประเมินราคาหุ้น TKT ปรับขึ้นตามภาวะตลาดหนุน แนวต้านสำคัญ 1.54 บาท

นายจุมพล เตชะไกรศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TKT เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทมีออเดอร์และลูกค้ารายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ยังคงเป็นลูกค้าญี่ปุ่น ดังนั้นสิ่งที่บริษัทจะต้องเร่งดำเนินการและให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ ในเรื่องการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าใหม่เป็นสำคัญ ขณะเดียวกันบริษัทจะเน้นการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ปีนี้ให้อยู่ที่ระดับ 20% จากปัจจุบันบริษัทมี Gross Margin อยู่ที่ประมาณ 18%


Q4ได้ข้อสรุปลูกค้าใหม่ 2 ราย
ส่วนความคืบหน้าเรื่องเกี่ยวกับการเจรจากับลูกค้า 2 ราย ในธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นลูกค้ารายใหม่ ส่วนลูกค้า 3-4 ราย ในธุรกิจยานยนต์นั้น ขณะนี้การเจรจามีความคืบหน้าไปมากแล้ว อย่างไรก็ดี คาดว่าภายในไตรมาส 4 นี้จะสรุปได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้หากการเจรจาประสบความสำเร็จจะช่วยทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน


เร่งเสนอแผนปี50 ให้บอร์ดอนุมัติ
นายจุมพล กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2550 นั้น บริษัทได้จัดเตรียมเอาไว้แล้ว แต่คงจะต้องนำเรื่องของ Business Plan เข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯก่อน เพื่อพิจารณาอนุมัติ ทั้งนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในเดือนพฤศจิกายนนี้


คุมค่าใช้จ่ายได้ผลดันรายได้ Q4 พุ่ง
สำหรับแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 3/2549 คาดว่ารายได้คงจะอยู่ในระดับที่ทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาส 2 ส่วนในไตรมาส 4 นั้นทางบริษัทก็หวังว่ารายได้น่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากบริษัทได้มีการบริหารจัดการควบคุมในเรื่องของต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คาดว่าจะเห็นผลที่ชัดเจนตั้งไตรมาส 4 นี้เป็นต้นไป


ส่วนเป้ารายได้รวมทั้งปีของปีนี้อาจจะปรับลดลงประมาณ 5-10% หรือมีรายได้ประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งลดลงจาก 2548 ที่มีรายได้อยู่ที่ 940 ล้านบาท


รอนโยบายอุตฯยานยนต์รัฐบาลใหม่
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมในปีหน้านั้น ทางบริษัทมองว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมในอีก 2-3 ปีข้างหน้านั้น ผู้ประกอบการคงจะต้องทำงานกันเหนื่อยกว่าปกติ เพราะว่าสถานการณ์ต่างๆได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ก็คงจะต้องติดตามว่านโยบายของรัฐบาลชุดใหม่จะออกมาเป็นอย่างไร และยังคงให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจยานยนต์ต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดเก่าหรือไม่ ซึ่งถ้าหากรัฐบาลชุดใหม่ยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจยานยนต์ ทางบริษัทก็เชื่อว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมก็น่าที่จะมีอัตราการเติบโตที่เติบโตอย่างต่อเนื่องได้


ราคาหุ้นแนวต้านสำคัญ1.54บาท
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKS เปิดเผยว่า การที่ระดับราคาหุ้นของ TKT ปรับขึ้น สาเหตุก็มาจากการปรับตัวขึ้นตามภาวะตลาดโดยรวม ประกอบกับหุ้นกลุ่มยานยนต์ได้มีการปรับตัวขึ้น ส่งผลให้หุ้น TKT ปรับตัวขึ้นตาม แต่ก็คงจะเป็นการแกว่งตัวบวกในกรอบสั้นๆ และคงเป็นเพียงการเก็งกำไรสั้นๆเท่านั้น


ส่วนระดับราคาหุ้นของ TKT คงจะไม่ขยับได้มาก ดังนั้นจึงได้ประเมินกรอบแนวรับอยู่ที่ 1.35 บาท ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1.54 บาท


นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แอ็ดคินซัน จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินว่าระดับราคาหุ้นของ TKT น่าจะปรับตัวขึ้นได้ช่วงสั้นๆ เท่านั้น และระดับราคาหุ้นที่ปรับขึ้นก็ไม่ได้หวือหวามากนัก เนื่องจากหุ้น TKT นั้นมีสภาพคล่องน้อยมาก ดังนั้นจึงได้ประเมินกรอบราคาทางเทคนิคโดยให้แนวรับอยู่ที่ 1.40 บาท ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1.50 บาท


โดย กระแสหุ้น


^_^

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 05/10/2006 @ 10:05:42 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
[u:0867b2dd41">[b:0867b2dd41">ภาวะตลาดทองคำ NYMEX: แรงขายเฮดจ์ฟันด์ ฉุดราคาทองร่วงปิดที่ 566.70$ [/b:0867b2dd41">[/u:0867b2dd41">

ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวานนี้ (4 ต.ค.) จากคำสั่งขายของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ และจากการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์ นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับแรงกดดันจากการที่ราคาน้ำมันยังไม่สามารถไต่ขึ้นเหนือระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรลได้

สำนักข่าวซินหัว ไฟแนนซ์รายงานว่า สัญญาทองคำในตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 566.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 14.80 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 563.50-585.70 ดอลลาร์

ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 10.795 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 25.00 เซนต์

ส่วนสัญญาพลาตินั่มส่งมอบเดือนม.ค.ปิดที่ 1,077.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 47.50 เซนต์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 296.65 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 9.80 ดอลลาร์

นางเดรสเรอร์ ไคลน์เวิร์ต นักวิเคราะห์จากบริษัทซารา-เฟรเดริค ไวส์เซอร์ กล่าวว่า ราคาทองคำร่วงลงแม้มีข่าวว่าเกาหลีเหนือประกาศวางแผนทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งปกติแล้วเมื่อมีวิกฤตการณ์เช่นนี้จะทำให้นักลงทุนกรูกันเข้าซื้อทองคำเพราะมองว่าเป็นแหล่งการลงทุนที่ไม่ค่อยมีความเสี่ยง

นางไคลน์เวิร์ตกล่าวว่า ปัจจัยหนึ่งที่กดดันราคาทองมาจากการที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ เนื่องจากนักลงทุนไม่ค่อยให้ความสนใจกับข้อมูลภาคบริการที่อ่อนแอของสหรัฐฯ

โดยในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวานนี้ ค่าเงินดอลลาร์อยู่ที่ 117.86 เยน เมื่อเทียบกับระดับปิดของวันอังคารที่ 117.90 เยน ขณะที่ค่าเงินยูโรอยู่ที่ 1.2714 ดอลลาร์ และ 149.88 เยน เมื่อเทียบกับระดับปิดของวันอังคารที่ 1.2734 ดอลลาร์และ 150.14 เยน

[/color:0867b2dd41">
^_^
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 05/10/2006 @ 10:07:00 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
.0007

[u:a47600a00d">[b:a47600a00d">ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก:นลท.มั่นใจเศรษฐกิจ หนุนดาวโจนส์ปิดพุ่ง 123.27 จุด [/b:a47600a00d">[/u:a47600a00d">

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดระดับใหม่เมื่อวานนี้ (4 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีความมั่นใจในเศรษฐกิจของสหรัฐฯมากขึ้น และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะนี้

สำนักข่าวซินหัว ไฟแนนซ์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 123.27 จุด หรือ 1.05% ปิดที่ 11,850.61 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 16.11 จุด หรือ 1.21% ปิดที่ 1,350.22 จุด และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 47.30 จุด หรือ 2.11% ปิดที่ 2,290.95 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.86 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในสัดส่วน 4 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.27 พันล้านหุ้น

ตลาดขานรับแถลงการณ์ของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ซึ่งใจความตอนหนึ่งระบุว่า แม้เขาคาดว่าการชะลอตัวลงของตลาดอสังหาริมทรัพย์จะทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังลดลง แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะไม่ตกต่ำลงอย่างที่หลายฝ่ายกังวล

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดปรับตัวขึ้นในช่วงเช้าหลังสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการปรับตัวลงในเดือนก.ย.ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกเรื่องเงินเฟ้อ และทำให้เชื่อมากขึ้นว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า เฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับเดิมในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 24-25 ต.ค.และคาดว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงปลายปีนี้

นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กร่วงลงสู่ระดับ 58.68 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนยังคงให้การตอบรับ หลังจากตลาดได้รับแรงกดดันอย่างหนักเมื่อราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเหนือระดับ 78 ดอลลาร์ในช่วงต้นปี

อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นปิดในแดนบวก แต่นักลงทุนยังคงมีท่าทีระมัดระวังด้วยเหตุผลหลายด้าน รวมถึงตัวเลขผลประกอบการของบริษัทเอกชน ข่าวการล้มละลายและข่าวอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในบริษัทหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทเอ็นรอน คอร์ป และบริษัทเวิร์ลด์คอม อิงค์

[/color:a47600a00d">
^_^
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 05/10/2006 @ 10:08:34 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
[u:bd101fd46c">น้ำมันวูบฉุดราคายางผันผวน รอ 3-4 เดือนอาจลุ้นเทรนขาขึ้น [/u:bd101fd46c">

ระบุน้ำมันดิ่งฉุดราคายางแกว่ง ประเมินเทรนยังอยู่ในช่วงขาลง ต้องรอดูต่อไป 3-4 เดือนอาจเห็นเปลี่ยนเทรน ชี้ปีนี้คือพายุเข้าช้ากว่าปกติ และราคาท้องถิ่นถูกทำให้ผันผวนมากขึ้น จากประกาศราคาตลาดกลาง 2 ช่วง

ดร.ศุภชัย สุขนินท์ ผู้บริหาร บริษัท สรกิจ จำกัด ประเมินว่า ระยะนี้จะเห็นราคายางวิ่งขึ้นลงจาก 2 ปัจจัยคือ ค่าเงินเยน ที่คาดว่าจะไม่ทะลุ 118 เยน เนื่องจากตลาดตกใจกับกรณีเกาหลีเหนือจะทดสอบนิวเคลียร์อีกครั้ง ทำให้ราคาน้ำมัน และทองคำลดลง เหล่านี้เป็นปัจจัยลบต่อตลาด อย่างไรก็ตามมีปัจจัยบวกเข้ามาคือเรื่อง พายุ ดังนั้นคาดว่า ราคาจะขึ้นลงอยู่ในกรอบเนื่องจากนักลงทุนเกิดความกังวล โดยกลุ่มที่กลัวเรื่องพายุยังถือซื้ออยู่ กลุ่มที่มองเรื่องปริมาณยางก็จะขาย หรืออิงปัจจัยทางเทคนิคที่เข้าเขต Over Sold ไปแล้ว ส่วนที่ราคายังไม่ดีดขึ้นเพราะราคาน้ำมันมาฉุดไว้

เทรนจริงๆตอนนี้ยังอยู่ในช่วงขาลง โดยภาพปีนี้คือพายุเข้าช้ากว่าปกติ ส่วนราคาท้องถิ่นเริ่มถูกทำให้ผันผวนมากขึ้น ด้วยการประกาศราคาของตลาดกลางเป็น 2 ช่วง ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย หลังประกาศราคาท้องถิ่นเริ่มขยับ และจะไปเอฟเฟคกับตลาดเซี่ยงไฮ้และไซคอม ไม่ใช่แค่ราคาเท่านั้น แต่รวมถึงปริมาณยางที่นักลงทุนจะใช้เป็นตัวกำหนดกลยุทธ์การลงทุน ที่มีผลต่อจิตวิทยาตลาด

ขณะที่ปริมาณยางภาคใต้มีไม่มากนัก แต่ภาพที่ออกมาว่ายางมีมาก เป็นเพราะยางในสต็อกที่เก็บไว้เก็งกำไรถูกระบายออกมา ดังนั้นนักลงทุนควรเล่นสั้นๆ ไม่ใช่ day trade แต่เป็น half day trade โดยราคาจะเคลื่อนไหวผันผวนมาก ต้องจับจังหวะเข้าออกให้ดี เนื่องจากตลาดตอนนี้มีทั้งปัจจัยลบและบวกที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับว่าราคาจะไปทางไหน เช่น ระยะ 2-3 วันนี้ ถ้าราคาทะลุขึ้นไปได้น่าจะไปต่อ แต่ถ้าทะลุลงมาจะลงพักฐานไม่น่าเกิน low เดิมที่เคยทำไว้

ส่วนจิตวิทยาตลาด คือ เรื่อง ข่าวน้ำมันท่วมในหลายท้องที่ นักลงทุนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าเป็นยังไง และยิ่งมีข่าวเรื่องพายุจะเข้าอีก ทำให้แนวโน้มของการเปิดมากขึ้น ดังนั้นต้องเล่นสั้นๆอย่างที่กล่าวไป เนื่องจากตลาดผันผวนมาก ทั้งๆที่ ดูกราฟจากทุกปีจริงๆแล้ว ตอนนี้ราคาน่าจะเป็นขาขึ้น

นายอินทัช ขจรฤทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเอสพี. ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ประเมินว่า คาดระยะสั้นราคาจะขึ้น โดยราคาน้ำมันมีโอกาสรีบาวด์ประมาณ 2 เหรียญ จากปัจจัยเทคนิคของน้ำมัน over sold มานานแล้ว ทำให้ตลาดโตคอมน่าจะเด้งตาม นอกจากนี้ยางเริ่มก่อตัวก่อนแล้ว และออกอาการดีดกลับ แต่ติดตรงน้ำมันเพราะน้ำมันยังลงอยู่ ส่วนปัจจัยเรื่องพายุฝนไม่น่าจะเกี่ยวข้องราคายาง แต่น่าจะเกี่ยวกับตลาดโตเกียวอย่างเดียว ดังนั้น ตอนนี้นักลงทุนน่าจะลองเสี่ยงซื้อตั้งแต่ตอนนี้ แต่ต้องจับตาตลาดโตคอมด้วย

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของตลาดยังเป็นขาลง แต่มีคลื่นรีบาวด์ในขาลง โอกาสเปลี่ยนเทรนต้องรอดูอีก 3-4 เดือน หรืออาจจะมากกว่านั้น เนื่องจากต้องรอให้หมดรอบรีบาวด์รอบนี้ แล้วค่อยดูกันอีกครั้ง

ที่มา กระแสหุ้น


[/color:bd101fd46c">
^_^
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#4 วันที่: 05/10/2006 @ 10:09:44 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
.0008

[u:5bf0b85c28">[b:5bf0b85c28">ADVANC หวังQ4 กระเตื้อง ทั้งปีรายได้โตไม่ต่ำ 9 หมื่นล[/b:5bf0b85c28">[/u:5bf0b85c28">.

ADVANC ตั้งงบลงทุนพัฒนาเครือข่ายปีนี้กว่า 3.3 หมื่นล.หวังสิ้นปีขยายเครือข่ายรองรับลูกค้าได้ 24 ล้านราย มั่นใจมาร์เก็ตแชร์ลูกค้าใหม่โต 50% พร้อมคงเป้ารายได้ปีนี้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 9.3 หมื่นล้านบาท เชื่อไตรมาสสุดท้ายผลประกอบการโตเพิ่มจากช่วง High Season เซียนหุ้นหวั่นเปิดสงครามราคา ส่งผลกระทบต่อรายได้ในอนาคต

นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯได้ใช้งบประมาณในการลงทุนพัฒนาเครือข่ายเพื่อให้พร้อมรองรับการใช้งานเป็นจำนวนเงินกว่า 33,000ล้านบาท โดยมุ่งเน้นไปที่ 3 ด้านหลัก คือ ความสามารถในการรองรับการใช้งาน การขยายความครอบคลุมของเครือข่าย และพัฒนาคุณภาพการใช้งาน โดยตั้งเป้าว่าในสิ้นปีนี้จะมีคู่สายที่สามารถรองรับฐานลูกค้าได้ 24 ล้านราย จากปัจจุบันที่รองรับได้อยู่ 20 ล้านราย ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าอยู่ทั้งหมด 17 ล้านราย


นอกจากนี้ ด้วยพฤติกรรมของลูกค้าที่เริ่มนิยมใช้บริการด้านข้อมูล (Non Voice/data) มากยิ่งขึ้น โดยมีสัดส่วนราว 5 ล้านเลขหมายจากปริมาณผู้ใช้งานทั้งหมด ดังนั้น AIS จึงได้ติดตั้งเทคโนโลยี EDGE เพิ่มขึ้นทั่วประเทศซึ่งจะทำให้การใช้งานข้อมูลมีความเร็วโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 80 kbps


ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์ ) ของตลาดลูกค้าใหม่ประมาณ 50% จากฐานลูกค้าใหม่ ทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 2-3 ล้านราย โดยมั่นใจว่าเครือข่ายของ AIS สามารถรองรับลูกค้าได้ เนื่องจากมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของโครงข่ายมากขึ้น ทำให้ในปีนี้ยังคงเป้ารายได้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงปีก่อนที่ประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาท จากการที่บริษัทได้มีการออกโปรโมชั่นใหม่มาอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นการจับกลุ่มฐานลูกค้าเก่าและใหม่


นายวิเชียร กล่าวว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกในส่วนของรายได้และกำไรปรับตัวลดลงประมาณ 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 4 จะปรับตัวดีขึ้นเพราะเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ นอกจากนี้ AIS ได้มีการออกโปรโมชั่น ชัวร์ ชัวร์ สัญญาณชัวร์ โทรติดชัวร์ โดยอัตราค่าใช้บริการจะเป็นโทรนาทีแรก 5 บาท นาทีต่อไป 0.25 บาท ทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมงโดยจะเริ่มใช้โปรโมชั่นดังกล่าวตั้งแต่วันที่เปิดใช้บริการจนถึงวันที่ 31 ธันวาคมนี้และสำหรับโปรโมชั่น เอาไปเลยบาทเดียวทุกเครือข่าย ที่เป็นการจับกลุ่มลุกค้าใหม่นั้น บริษัทตั้งเป้ามีลูกค้าใหม่เพิ่มของ 8-9 แสนรายภายใน 1 เดือน โดยในช่วง 4 วัน ที่ได้มีการเปิดโปรโมชั่นใหม่นี้มามีลูกค้าใหม่แล้ว1.5 แสนราย


ส่วนกรณีที่ บริษัท กุหลาบแก้วโดนตรวจสอนในเรื่องนอมินีนั้น นายวิเชียร กล่าวว่า เป็นเรื่องของ บมจ. ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) ซึ่งเป็นบริษัทแม่โดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทซึ่งหากมีปัญหาในเรื่องการสับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นนั้นก็ไม่ได้กระทบกับบริษัท


เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ เปิดเผยว่าจากกรณีที่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ลดราคาค่าโทรลงมาเหลือครั้งละ1 บาท จะส่งผลให้ธุรกิจด้านการสื่อสารมีการแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่ผู้บริหารของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เตรียมออกโปรโมชั่นใหม่มาแข่งขันกับ ADVANC และการแข่งขันด้านราคายังส่งผลกระทบต่อรายได้ในอนาคตอีกด้วย[/color:5bf0b85c28">

โดย กระแสหุ้น


^_^
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#5 วันที่: 05/10/2006 @ 10:10:49 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
.000007


[u:c26b81e9b5">[b:c26b81e9b5">จับตาราคาน้ำมันลดลงศุกร์นี้[/b:c26b81e9b5">[/u:c26b81e9b5">

มีแนวโน้มราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศจะปรับตัวลดลงในวันศุกร์นี้ หลังราคาน้ำมันตลาดโลกลดลงต่อเนื่อง ด้านบางจากฯ เดินหน้าขยายปั๊มพลังงานทดแทนต่อเนื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพลังงาน ว่า จากการสำรวจความเห็นของผู้ค้าน้ำมันหลายราย ต่างระบุตรงกันว่า จะขอดูราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ที่จะปิดตลาดในเย็นวันนี้เสียก่อน จึงจะตัดสินใจว่าจะปรับลดราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ซึ่งจะมีการประกาศในวันพรุ่งนี้ แล้วมีผลในวันศุกร์ โดยแนวโน้มอาจจะมีการปรับลดราคาทั้งกลุ่มเบนซินและดีเซล ในอัตราลิตรละ 40 สตางค์


นายมนูญ ศิริวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) กล่าวถึงราคาน้ำมันตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดน้ำมันเวสต์เทกซัสของสหรัฐ ที่ลดลงประมาณ 2 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เมื่อคืนนี้ ทำให้ราคาอยู่ในระดับประมาณ 59.99 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ว่านับเป็นราคาที่ลดต่ำลงมาก ซึ่งเหตุผลจากปริมาณน้ำมันสำรองของสหรัฐมีในอัตราสูง ประกอบกับท่าทีที่กลุ่มโอเปกอาจจะไม่มีการปรับลดกำลังผลิต ดังนั้น กลุ่มเฮดจ์ฟันด์ หรือบรรดานักเก็งกำไร จึงเทขายน้ำมันออกมา เพื่อนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นแทน จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงอีก โดยบางจากฯ ก็เหมือนกับรายอื่นๆ คือ จะรอดูราคาน้ำมันสิงคโปร์ในวันนี้เสียก่อน ว่าจะลดลงตามราคาน้ำมันดิบมากน้อยเพียงใด หลังจากนั้นจึงจะตัดสินใจประกาศเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันในวันนี้ (5 ต.ค.)


อย่างไรก็ตาม BCP ยังเดินหน้าโครงการพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนนี้จะขยายปั๊มไบโอดีเซลเพิ่มจาก 25 เป็น 35 ปั๊ม และขยายพื้นที่เป็น 100 ปั๊ม ในสิ้นปีนี้ และคาดว่ายอดขายจะเพิ่มจาก 800,000 ลิตร เป็น 6 ล้านลิตร ในสิ้นปีนี้ โดยจะมีวัตถุดิบไบโอดีเซล 100 เปอร์เซ็นต์ ที่มาจากโรงงานผลิตไบโอดีเซลของบางจากฯ ที่สร้างในพื้นที่โรงกลั่นบางจากฯ ประมาณ 25-30 ล้านลิตร และอีกส่วนหนึ่งจะมาจากบรรดา จ๊อบเบอร์ ต่างๆส่วนแก๊สโซฮอล์ 91 จะมีการขยายออกไปยังปั๊มต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น รวมเป็น 250 ปั๊ม และจะยกเลิกการขายเบนซิน 95 ในวันที่ 1 ม.ค.50 โดยขณะนี้มีแก๊สโซฮอล์ 700 ปั๊ม จากปั๊มทั้งหมด ทั้งปั๊มขนาดใหญ่และปั๊มสหกรณ์ รวม 1,100 ปั๊ม และสิ้นปีจะมีปั๊มเอ็นจีวีเพิ่มอีก 3 แห่ง จากที่ขณะนี้มี 3 แห่งแล้ว


โดย กระแสหุ้น




^_^
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#6 วันที่: 05/10/2006 @ 11:11:58 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
[u:e1018a032d">[b:e1018a032d">เสนอทีมเศรษฐกิจโรดโชว์ต่างชาติ สร้างความเชื่อมั่นกลับลงทุนในไทย[/b:e1018a032d">[/u:e1018a032d">

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดใหม่ เร่งโรดโชว์สร้างความเข้าใจในต่างประเทศ เตรียมปัดฝุ่นโครงการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน หรือเอสคาร์

นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลได้ตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลควรนำรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปโรดโชว์ในต่างประเทศ เพราะเป็นภารกิจหลักที่ต้องเร่งชี้แจงให้ต่างชาติทราบว่าถึงแม้จะเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง แต่นโยบายทางด้านเศรษฐกิจของไทยยังเปิดเสรีเหมือนเดิม ซึ่งขณะนี้ได้ให้บีโอไอจัดเตรียมข้อมูลเพื่อชี้แจงนักลงทุน และวันนี้ (5 ต.ค.) จะเชิญหอการค้าต่างประเทศมาทำความเข้าใจแนวทางสนับสนุนการลงทุน ตลอดจนความชัดเจนสำหรับแนวทางการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ


ปลัด ก.อุตสาหกรรม กล่าวว่า สำหรับแนวทางการส่งเสริมการลงทุนนั้น ควรเน้นในเรื่องการผลิตที่เพิ่มประสิทธิภาพแรงงานมากกว่าการมุ่งแข่งขันสินค้าเรื่องค่าแรง เพราะคงสู้จีนและเวียดนามไม่ได้ สำหรับนโยบายการลดภาษีในปัจจุบัน เห็นว่าเศรษฐกิจในขณะนี้ไม่จำเป็นต้องลดภาษีให้ภาคเอกชนมากเกินไป เพราะเศรษฐกิจไม่ใช่อยู่ในช่วงถดถอย แต่กลับขยายตัวเกินร้อยละ 4 การลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ


นายจักรมณฑ์ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่พิจารณาเกี่ยวกับแผนการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก หรือเอสคาร์ เพื่อประหยัดพลังงาน อีกครั้ง เพื่อให้เกิดข้อสรุปที่ชัดเจนเป็นนโยบายระยะยาวสำหรับการนำไปดำเนินการของภาคเอกชน โดยเฉพาะการลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ เนื่องจากเมื่อเปลี่ยนรัฐมนตรี นโยบายการสนับสนุนเอสคาร์มักจะเปลี่ยนทุกครั้ง จึงต้องให้รัฐบาลตัดสินใจให้ชัดเจน

โดย กระแสหุ้น

^-^[/color:e1018a032d">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#7 วันที่: 05/10/2006 @ 11:30:16 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
[u:f2c1ff76db">[b:f2c1ff76db">บิ๊กอิเล็กทรอนิกส์ญี่ปุ่นมั่นใจไทย พร้อมขยายลงทุนกว่า 120 ล้านบาท [/b:f2c1ff76db">[/u:f2c1ff76db">

BOI มั่นใจนักลงทุนต่างชาติยื่นขอส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้น ล่าสุดกลุ่มบริษัท คูโรดา ยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์จากญี่ปุ่นลงทุนกิจการชุบเคลือบผิวโลหะ Hard Disk Drive มูลค่า 120 ล้านบาท ระบุมั่นใจศักยภาพประเทศไทย พร้อมขยายการลงทุนในไทยต่อเนื่อง

นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานชุบเคลือบผิวโลหะของบริษัท คูโรดา ซินเซ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกลุ่มคูโรดา หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น และมีการลงทุนในหลายประเทศในเอเชียรวมทั้งประเทศไทย โดยมีการลงทุนในไทยมานานกว่า 10 ปี ตัดสินใจขยายการลงทุนอีกโครงการ เพื่อผลิตชิ้นส่วนป้อนให้กับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะชิ้นส่วน Hard Disk Drive และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัท คูโรดา ได้มีการขยายกิจการในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันกลุ่มบริษัท คูโรดา ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มากถึง 15 โครงการ โดยในระยะแรกเน้นการผลิตฉนวนชุดสายไฟและชิ้นส่วนต่างๆ สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก ระยะหลังเริ่มหันมาผลิตชิ้นส่วนสำหรับ Hard Disk Drive มากยิ่งขึ้น และโครงการล่าสุดที่ได้รับการส่งเสริม ได้แก่ การชุบเคลือบผิวชิ้นส่วน Hard Disk Drive ซึ่งขยายตัวตามความต้องการของตลาด และเพื่อสนับสนุนการผลิต Hard Disk Drive ในประเทศ

การที่นักลงทุนญี่ปุ่นยังแสดงความมั่นใจขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่องนั้น สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนที่ลงทุนในประเทศไทยและรู้จักประเทศไทยดี นายสาธิต กล่าว

ด้านนายคาซูนาริ ฟูวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คูโรดะ ซินเซ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกลุ่มคูโรดา กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้บริษัทขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทย เนื่องจากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในด้านเศรษฐกิจ ความสะดวกในการทำธุรกิจ คุณภาพของแรงงาน และระบบสาธารณูปโภค รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจาก BOI และโรงงานแห่งนี้นับเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุด ในเครือของกลุ่มบริษัท คูโรดะ อีกด้วย โดยในอนาคตบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายการลงทุนให้ครอบคลุมในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรม Hard Disk Drive อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการขยายพื้นที่และโรงงานรองรับการลงทุนเพิ่มขึ้นไว้แล้ว ล่าสุดได้รับส่งเสริมในกิจการชุบเคลือบผิวโลหะเงินลงทุน 120 ล้านบาท มีกำลังการผลิตปีละประมาณ 1,500 ตัน ลูกค้าหลักในประเทศ ได้แก่ ฮิตาชิ, ฟูจิตสึ, นิเด็ค และ NHK เป็นต้น

โดย กระแสหุ้น

^-^
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#8 วันที่: 05/10/2006 @ 11:59:13 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
[u:d434ca1774">[b:d434ca1774">ซื้อเก็งกำไรผลงานแบงก์ ต่างชาติขายหุ้นต่อเนื่อง กองทุนฯมองสิ้นปีแค่ 720 [/b:d434ca1774">[/u:d434ca1774">

ต่างชาติยังขายไม่เลิก สวนทางนักลงทุนในประเทศไล่ซื้อเก็งกำไรผลงานแบงก์ เชื่อมั่นโฉมหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ ดันดัชนีหุ้นพุ่งขึ้นได้ ประเมินแนวโน้มระยะสั้นขยับขึ้นต่อ ระยะยาวผู้บริหารกองทุนมองดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้แตะ 710-720 จุด และปีหน้าอยู่ที่ 750 จุด

ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บรรยากาศการลงทุน วานนี้ (4 ต.ค.) ภาพรวมการลงทุนกระเตื้องขึ้น จากการเข้ามาซื้อหุ้นของรายย่อยและกองทุนในประเทศ สลับแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างประเทศเป็นช่วงๆ หนุนให้วอลุ่มซื้อขายเพิ่มมากขึ้น ดัชนีฯมีทิศทางตลาดปิดที่ระดับ 687.96 จุด เพิ่มขึ้น 6.12 จุด คิดเป็น 0.90% มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น13,795.96 ล้านบาท ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 397.84 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 36.14 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 361.70 ล้านบาท


นายกิตติ เหมนิลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ AYS ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้น (5 ต.ค.) คาดว่า จะมีการเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากจะมีการประกาศผลประกอบการออกมาในสัปดาห์หน้า แต่คาดว่ากำไรในไตรมาส 3 อาจจะลดลง รวมทั้งมีการเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่ด้วย นอกจากนี้ยังคงต้องติดตามตลาดต่างประเทศเป็นหลัก

ดัชนีน่าจะยังแกว่งในกรอบแคบๆแบบ Side way Down ในระดับแนวรับ 682 จุด หากปรับตัวลงต่ำกว่าแนวรับน่าจะลงมาที่ 675 จุด ขณะที่แนวต้านมองที่ 690-695 จุด หรือทะลุก็ขึ้นไปถึง 700 จุด แต่ทั้งนี้ขาลงยังคงมากกว่าขาขึ้น

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนายการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL ประเมินว่า ตลาดหุ้นน่าจะดีอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร ขณะที่กลุ่มก่อสร้างยังได้รับความสนใจจากการตอบรับเรื่องของคณะรัฐมนตรี ทำให้คาดว่าตลาดน่ามีแนวรับที่ 685 จุด ส่วนแนวต้านที่ 695 จุด

เชื่อว่าตลาดน่าจะดีต่อเนื่องจากประกอบกับหุ้นที่ตอบรับเรื่องการเมืองอย่างกลุ่มรับเหมาก่อสร้างได้รับความสนใจเข้าซื้อขายจำนวนมาก ดังนั้นจึงมองว่าหุ้นดังกล่าวน่าสนใจในการลงทุน ขณะที่หุ้นเก็งกำไรวันต่อวันยังสามารถเล่นได้ แต่ไม่เน้นเฉพาะกลุ่ม

ประเมินหุ้นไทยสิ้นปีนี้ 710-720 จุด
นายชูเกียรติ ธิติหิรัญเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน สายงานการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทย ดัชนีในสิ้นปีนี้น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 710-720 จุด และในปีหน้าคาดว่าดัชนีคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้มากนัก โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 750 จุด เนื่องจากโครงสร้างของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดมีความขัดแย้งกัน โดยการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลง ทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มหลักของตลาดอ่อนตัวลง ในทางกลับกันจะทำให้ผลประกอบการของหุ้นที่กลุ่มอื่นๆอย่างปูนซีเมนต์ และอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น เมื่อหักล้างกันแล้ว ทำให้ผลประกอบการ บจ.เติบโตไม่มาก

โดย กระแสหุ้น

^-^[/color:d434ca1774">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#9 วันที่: 05/10/2006 @ 12:53:59 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
[u:451cbd8c15">[b:451cbd8c15">หุ้น TWZ พุ่ง 5.83% หลังผู้บริหารเผยจะร่วมมือพันธมิตรในปท.หลายราย[/b:451cbd8c15">[/u:451cbd8c15">[/color:451cbd8c15">

หุ้น TWZ ราคาพุ่งขึ้น 5.83% มาอยู่ที่ 12.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท มูลค่าซื้อขาย 23.74 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.44 น. โดยเปิดตลาดที่ 12.20 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 12.70 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 12.20 บาท
ด้านผู้บริหาร TWZ ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาขยายช่องทางธุรกิจและการจำหน่ายสินค้า โดยมีแนวทางที่จะร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศ ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีผู้สนใจจะร่วมธุรกิจกับบริษัทเข้ามาหารือหลายราย บางรายเป็นผู้ประกอบการจำหน่ายโทรศัพท์ที่มีร้านจำหน่ายมากถึง 37 แห่ง โดยอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการร่วมธุรกิจ ซึ่งเบื้องต้นมี 4 ทางเลือก
ส่วนพันธมิตรร่วมทุนต่างประเทศ ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในประเทศและผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ก็เข้ามาลงทุนในประเทศหลายราย
ขณะที่ คาดว่ารายได้ในปีนี้จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 4,000-4,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่มีรายได้ 2,900 ล้านบาทในปี 48 โดยช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะมีรายได้สูงกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 1,526 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 57.58 ล้านบาท
นอกจากนี้ เชื่อว่า รายได้ในไตรมาส 3 ปีนี้จะเติบโตมากกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 648.73 ล้านบาท แม้บริษัทจะมีสินค้าค้างสต๊อกจำนวนมาก แต่ก็ได้แก้ไขปัญหาด้วยการมอบหมายให้ตัวแทนจำหน่ายของบริษัทนำสินค้าจำนวนหนึ่งไปจำหน่ายต่างประเทศ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท
บริษัทยังคาดว่าจะทำรายได้สูงสุดของปีในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งปกติเป็นช่วงไฮซีซั่น ประกอบกับมียอดขาย SIM เพิ่มขึ้นหลังจาก AIS ออกโปรโมชั่นใหม่

ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการร่วมธุรกิจ ซึ่งเบื้องต้นมี 4 ทางเลือก ทั้งการเข้าซื้อกิจการ (เทคโอเวอร์), การรับจ้างบริหาร, การร่วมทุน และ การแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับบริษัท คาดว่าจะสรุปได้เร็ว ๆ นี้
พร้อมระบุว่า ขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องหาพันธมิตรร่วมทุนต่างประเทศ เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในประเทศและผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ก็เข้ามาลงทุนในประเทศหลายราย ดังนั้น คงจะเห็นโอกาสการร่วมธุรกิจกับพันธมิตรทางการค้าในประเทศมากกว่า
สำหรับรายได้ในปีนี้คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 4,000-4,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่มีรายได้ 2,900 ล้านบาทในปี 48 โดยช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะมีรายได้สูงกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 1,526 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 57.58 ล้านบาท
นายพุทธชาติ คาดว่า ไตรมาส 3 ปีนี้รายได้ของบริษัทจะเติบโตมากกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 648.73 ล้านบาท แม้บริษัทจะมีสินค้าค้างสต๊อกจำนวนมาก แต่ก็ได้แก้ไขปัญหาด้วยการมอบหมายให้ตัวแทนจำหน่ายของบริษัทนำสินค้าจำนวนหนึ่งไปจำหน่ายต่างประเทศ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท
บริษัทยังคาดว่าจะทำรายได้สูงสุดของปีในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งปกติเป็นช่วงไฮซีซั่น ประกอบกับมียอดขาย SIM เพิ่มขึ้นหลังจาก AIS ออกโปรโมชั่นใหม่

^_^[/color:451cbd8c15">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#10 วันที่: 05/10/2006 @ 12:56:35 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
[u:80b5d9139a">[b:80b5d9139a">*ประธาน ตลท.คาดดัชนีหุ้นไทยปีนี้แตะ 750 ปี 50 มีโอกาสสูงกว่า 800[/b:80b5d9139a">[/u:80b5d9139a">[/color:80b5d9139a">

นายวิจิตร สุพินิจ ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองชัดเจนขึ้นในขณะนี้ เชื่อว่าจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 750 จุดได้ และปีหน้าน่าจะขึ้นไปสูงกว่า 800 จุด
นายวิจิตร แสดงความเชื่อมั่นว่า ภาพของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่ชัดเจนขึ้น น่าจะสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตและขับเคลื่อนการลงทุนให้เกิดขึ้นได้ โดยประเมินว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะได้เห็นที่ 5%
และเมื่อเศรษฐกิจเติบโตก็จะดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้เพิ่มขึ้นโดยไม่ยาก เนื่องจากค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก
ผมเชื่อมั่นกับทีมเศรษฐกิจในชุดนี้ที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ และแนวทางที่พูดถึงเรื่องการลงทุนที่จะทำให้เกิดขึ้นโดยเร็ว โดยเฉพาะการลงทุนของภาครัฐและก็จะส่งผลต่อภาคเอกชนนายวิจิตร กล่าว[/color:80b5d9139a">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#11 วันที่: 05/10/2006 @ 13:41:43 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
[u:b94dcd79e8">[b:b94dcd79e8">ทิ้งหุ้นมือถือหวั่นยกเลิกสัมปทาน โบรกชี้สงครามราคารอบนี้ไม่เดือด[/b:b94dcd79e8">[/u:b94dcd79e8">

สงครามค่าโทรศัทพ์มือถือระอุอีกครั้งหลัง AIS ส่งโปรโมชั่นกระตุ้นยอดใช้บริการ โบรกเกอร์ชี้นักลงทุนกังวลงยกเลิกสัญญาสัมปทานผู้ให้บริการแห่ทิ้งหุ้นช่วงคปค.ยึดอำนาจ ด้านบล.กรุงศรีฯ เชื่อการแข่งขันรอบนี้รุนแรงไม่มาก แนะนำซื้อ ADVANC ขณะที่แนะเก็งกำไร TRUE

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นที่ประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือหลังจากตลอดทั้งปีการแข่งขันในเรื่องราคาค่าใช้บริการเข้ามาเป็นอุปสรรคในการเติบโตของผู้ให้บริการแม้ว่าจำนวนผู้ใช้บริการจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเบอร์กลับปรับตัวลดลง ประกอบความกังวลจากกรณีที่คณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.)เข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการเพิ่งถอนสัญญาสัมปทานของผู้ให้บริการบางราย

ทั้งนี้ ราคาหุ้นหลังคปค.เข้ายึดอำนาจของ 2 บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งประกอบด้วย บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในเครือข่าย AIS ราคา ณ วันที่ 18 กันยายนอยู่ที่ 95
บาท ขณะที่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในเครือข่าย True Move ราคา ณ วันที่ 18 กันยายน อยู่ที่ 10.10 บาท

สำหรับราคาหุ้นทั้ง 2 บริษัทล่าสุด(4 ต.ค.) หุ้น ADVANC ราคาปิดที่ 88.50 บาท โดยปรับตัวลดลง 6.50 บาทหรือ 6.48% จากวันก่อนหน้าที่คปค.จะยึดอำนาจ ขณะที่หุ้น TRUE ราคาปิดที่ 8.80 บาทโดยปรับตัวลดลง 1.30 บาทหรือ 12.87% จากวันก่อนหน้าที่คปค.จะยึดอำนาจ

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า แม้ว่าก่อนหน้าหลายฝ่ายจะมีความกังวลว่าคปค.ซึ่งมีอำนาจในการบริหารแผ่นดินอย่างเต็มที่อาจจะถอดสัญญาสัปทานกับผู้ให้บริการโทรมือถือบางราย เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านี้มีการประกาศคำสั่งคณะปฎิรูปที่เกี่ยวข้องกับการดักฟังสัญญาณโทรศัพท์มือถือ รวมถึงมีข้อความในลักษณะที่จะถอนใบอนุญาตประกอบการกับผู้ให้บริการที่ละเมิดคำสั่งดังกล่าวทำให้นักลงทุนซึ่งยังคงไม่มีความมั่นใจในสถานการณ์ของประเทศขณะนั้นต้องขายหุ้นออกมาเพื่อป้องกันความเสี่ยง

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด ระบุว่า โปรโมชั่น ?Sure Sure return? รวมถึง ?เอาไปเลย? (24.00 น. ? 14.00 น. โทรครั้งละ 1 บาท, 14.00น. ? 24.00 น.โทรนาทีละ 1 บาท) ของ AIS จะกลายเป็นตัวจุดชนวนให้ TAC และ True Move ออกโปรโมชั่นลักษณะเดียวกันเพื่อป้องกันการไหลออกของลูกค้า แต่เสงครามราคาในรอบนี้ไม่น่าจะรุนแรงเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ประกอบกับช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีเป็นช่วง high season ของการให้บริการโทรศัพท์ จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของธุรกิจมากนัก

ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญที่ AIS ต้องของโปรโมชั่นในลักษณะดังกล่าวเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ให้มากที่สุดก่อนที่จะเริ่มใช้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย
(Interconnection charge-IC) ต้นปี 2550 รวมถึงการเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการหลังตัวเลขผู้ใช้บริการใหม่สุทธิ (Net additions) ในไตรมาส3/49 ลดลงจากไตรมาส2/49 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ เชื่อว่าหลังจากใช้ IC (คาดต้นปี 50) สงครามราคาไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก เพราะอัตราการให้บริการจะมีจำกัดด้วยอัตราเชื่อมต่อแบบปลายทางหรือ Termination rate ที่ 1.07 บาท/นาที แต่เชื่อว่าการออกโปรโมชั่นจะเป็นลักษณะกระตุ้นให้เกิดการใช้งานภายในเครือข่ายเดียวกันมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีในแง่ของจำนวนผู้ใช้บริการที่อาจเพิ่มขึ้นจากการใช้บริการมากกว่า 1 เครือข่าย ซึ่งจะทำให้อัตราผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่อจำนวนประชากรเพิ่มจากปัจจุบันที่ 50% เป็น 62% ในปี 2551

อย่างไรก็ตามคาดว่าสงครามราคาที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้จะส่งผลต่อการลงทุนในระยะสั้น โดยแนะนำซื้อ เมื่ออ่อนตัว ADVANC มูลค่าพื้นฐาน (ไม่รวม 3G) 102.60 บาท จากประโยชน์รับในฐานะเป็นผู้รับสายสุทธิเมื่อใช้ IC ในปี 50 ประมาณ 2,652 ล้านบาท และ เก็งกำไร TRUE มูลค่าพื้นฐาน 8.74 บาท โดยคาดว่าหากสามารถเจรจาหยุดจ่าย Access charge ประมาณปีละ 3,600 ล้านบาทได้ จะทำให้มูลค่าพื้นฐานเพิ่มขึ้นเป็น 13.70 บาท[/color:b94dcd79e8">

^-^[/color:b94dcd79e8">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#12 วันที่: 05/10/2006 @ 13:47:17 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
[u:cf8722d466">[b:cf8722d466">KTB ได้ฤกษ์เคาะ ดอกเบี้ยไฮบริดใหม่ [/b:cf8722d466">[/u:cf8722d466">

กรุงไทยพร้อมเคาะราคาดอกเบี้ยไฮบริด บอนด์ อีกครั้ง นัดนักลงทุนผู้สนใจเข้ามากำหนดราคา ขณะที่มูดี้ส์ให้อันดับเครดิตไฮบริดบอนด์ ที่ระดับ Ba1 หลังต้องเลื่อนจากเหตุคณะปฏิรูปฯ ยึดอำนาจ

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)หรือ KTB กล่าวว่าในวันนี้(5 ต.ค.)ธนาคารจะเปิดให้นักลงทุนที่สนใจซื้อตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์กึ่งทุน (ไฮบริด บอนด์) วงเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8,000 ล้านบาท นำเสนออัตราดอกเบี้ย ซึ่งคาดว่าจะใกล้เคียงกับการเสนอขายในครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรัฐบาลสหรัฐได้ปรับตัวลง เมื่อเทียบกับครั้งที่แล้ว

ทั้งนี้แม้ว่าส่วนต่างในการออกพันธบัตรจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2.80-2.85% จากเดิมอยู่ที่ 2.65% แต่ต้นทุนของแบงก์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทำให้ธนาคารตัดสินใจที่จะออกไฮบริดจ์ บอนด์ วงเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐได้ในช่วงนี้

?คาดว่าอัตราดอกเบี้ยของการออกไฮบริดจ์ บอนด์ ในครั้งนี้ จะใกล้เคียงกับการเสนอขายในครั้งที่ผ่านมา และแม้ว่าส่วนต่างการออกพันธบัตรจะเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนของแบงก์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง?

อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ธนาคารต้องออกไฮบริดจ์ บอนด์ ในช่วงนี้แม้ว่าที่ผ่านมาสถานการณ์ในประเทศจะมีการปฏิรูปการปกครองก็ตาม แต่หากมีการเลื่อนการออกไฮบริด บอนด์ออกไปก็จะต้องรอไปอีก 2-3 เดือน เพราะต้องรอให้มีการปิดงบในไตรมาสที่ 3 จะทำให้ตัวเลขทางการเงินของธนาคารเปลี่ยนแปลง และจะต้องเดินทางไปโรดโชว์ข้อมูลให้กับนักลงทุนใหม่ ซึ่งหลังจากการขายไฮบริดบอนด์ เงินจะไหลเข้ามาภายในเวลา 4-5 วัน และบีไอเอสของธนาคารจะปรับเพิ่มขึ้น 0.8%

ขณะที่รายงานข่าวจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์อินเวสเตอร์สเซอร์วิส หรือ มูดี้ส์ ระบุวานนี้(4 ต.ค.)ว่า มูดี้ส์ให้อันดับความน่าเชื่อถือไฮบริดบอนด์ (Hybrid Tier 1 securities) ของธนาคารกรุงไทย หรือ ที่จำหน่ายผ่านธนาคารสาขาในสิงคโปร์ที่ระดับ Ba1 มุมมองมีเสถียรภาพ หลัง KTB เตรียมจะออกตราสารดังกล่าวอีกครั้งจากที่ระงับไปในช่วงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในไทย

อันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ Ba1 ดังกล่าวสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งในระดับปานกลางของ KTB และสะท้อนถึงกฎเกณฑ์การออกตราสารโดยธนาคารแห่งประเทศไทยที่เอื้อประโยชน์ต่อภาคธนาคารของไทย นาย ลีโอ วาห์ รองประธานและนักวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือของมูดี้ส์กล่าว

ทั้งนี้ เงื่อนไขภายใต้การออกตราสารดังกล่าวกำหนดให้ผู้ออกตราสารสามารถไถ่ถอนได้นับหลังตราสารมีอายุ 10 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ มูดี้ส์ยังระบุด้วยว่าอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวที่ให้กับไฮบริดบอนด์ของ KTB จะมาจากเงื่อนไขทั่วไปของไฮบริดบอนด์และจะไม่มีการ เปลี่ยนแปลงจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2006 KTB ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 2 ของไทยมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 1,188 พันล้านบาท (32 พันล้านดอลลาร์)

^-^[/color:cf8722d466">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#13 วันที่: 05/10/2006 @ 15:33:38 : re: ............ข่าวสดวันนี้................
[u:ca1d9bfc8c">[b:ca1d9bfc8c">แนะปล่อยกลุ่ม SHIN หวั่นข่าวศาลฯกระทบ[/b:ca1d9bfc8c">[/u:ca1d9bfc8c">

เซียนหุ้นแนะปล่อยกลุ่มชินคอร์ป SHIN-SATTEL-ITV- ADVANC จากข่าวศาลปกครองกลางสูงสุด จะนัดอ่านคำสั่งของศาลฯกรณีกระทรวงไอซีทีละเลยหน้าที่ไม่ดำเนินการยกเลิกสัญญาสัมปทานบริษัทในเครือฯหลังถูกขายให้ต่างชาติเหตุกระทบจิตวิทยาการลงทุน

รายงานข่าวแจ้งว่าจากกรณีที่ศาลปกครองกลางสูงสุด จะนัดอ่านคำสั่งของศาลฯ กรณีนายศาสตรา โตอ่อน ยื่นฟ้อง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอซีที) ถูกกล่าวหาว่าละเลยหน้าที่ไม่ดำเนินการยกเลิกสัญญาสัมปทานบริษัทในเครือ ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) หลังขายหุ้นให้นักลงทุนต่างชาตินั้น

นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทีเอสอีซี จำกัด เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวคงจะส่งผลลบต่อจิตวิทยาการลงทุน ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงไม่ได้ควรที่จะหาจังหวะขายหุ้นในกลุ่ม SHIN ซึ่งประกอบด้วยบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SATTEL,บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITVและบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ส่วน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว เพราะได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสัมปทาน

เรื่องดังกล่าวมีผลกระทบในภาพรวมอยู่แล้ว ซึ่งในช่วงนี้ควรที่จะหาจังหวะขายออกมาบ้าง แต่ในความคิดเห็นส่วนตัวเชื่อว่าคงจะไม่มีการยกเลิกสัมปทานของกลุ่ม SHIN เพราะเรื่องนี้ไม่น่าจะเลวร้ายและแก้ไขไม่ได้ ซึ่งแนวทางในการแก้ไขคงจะเป็นการปรับเปลี่ยนให้ถูกกฎของการถือหุ้นต่างชาติมากกว่า นางสาวสุภากร กล่าว

ทั้งนี้ ให้ราคาเป้าหมายของ SHIN ให้ไว้ที่ 35 บาท , SATTEL ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 15 บาท , ITV ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 1 บาท และ ADVANC ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 100 บาท

โดย กระแสหุ้น

^-^[/color:ca1d9bfc8c">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com