May 4, 2024   5:33:17 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > บลจ.แนะหุ้นเด็ดหลังปฏิวัติ
 

???
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
วันที่: 04/10/2006 @ 10:25:19
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

กองทุนชี้ทางสว่างให้นักลงทุนช่วงตลาดผันผวน แนะซื้อหุ้นปันผลสูง-หุ้นที่มีอัตราเติบโตเร็วเหตุความเสี่ยงต่ำผลตอบแทนคุ้มค่า ในกลุ่มแบงก์ ยานยนต์ ท่องเที่ยว โรงแรมการแพทย์ด้านสมาคมนักวิเคราะห์ชี้ 2-3 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นฟื้น เหตุน้ำมัน-ดอกเบี้ย-เงินเฟ้อลดขณะที่การเมืองคลี่คลายชัดเจน พร้อมออกโรงหนุนนายกฯและหม่อมอุ๋ยระบุเป็นคนดีมีความสามารถ

นายณสุ จันทร์สม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)อยุธยา จำกัด กล่าวว่า กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนช่วงนี้บริษัทแนะนำให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนในหุ้นที่ให้อัตราตอบแทนเงินปันผล(ดิวิเดนท์ ยีลด์)สูงและหุ้นที่มีอัตราการเติบโตเร็ว(โกรท สต็อก) เนื่องจากปัจจุบันตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงหากเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงไม่มาก หรือแม้จะมีความเสี่ยงสูงแต่ก็ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มที่บริษัทแนะนำให้เลือกลงทุนส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่มที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย เช่น กลุ่มยานยนต์ การแพทย์ การท่องเที่ยว โรงแรม รวมทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเน้นไปที่ธนาคารขนาดใหญ่ ทั้ง BBL SCB และ KBANK อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวควรเลือกลงทุนเป็นรายตัวไป(ซีเล็กทีฟ)

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้โดยมีกรอบสูงสุดอยู่ที่ 700-720 จุด เนื่องจากราคาหุ้นไทยยังถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านรวมทั้งสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนขึ้นมาในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามความเห็นของนักลงทุนต่างชาติ พบว่ายังไม่ตอบรับกับรัฐบาลชุดใหม่ที่มี พล.อ.สุรยุทธ์จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเห็นว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้งไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

ส่วนกรณีของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ที่รับปากเข้าร่วมรัฐบาลแล้ว และได้รับการคาดหมายให้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจนั้น ตลาดหุ้นโดยรวมไม่ได้ตอบรับกับเรื่องดังกล่าวเช่นกัน เพราะถ้านักลงทุนตอบรับกับเรื่องนี้ ดัชนีควรจะปรับตัวขึ้นไปนานแล้ว เนื่องจากการเข้าร่วมรัฐบาลของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เป็นเรื่องที่นักลงทุนรับทราบและคาดการณ์มาก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้มีการประกาศอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ในช่วงหลังจากเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจนั้น พบว่ากองทุนต่างประเทศที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย หรือ ไทยแลนด์ฟันด์ ต่าง ๆ ทยอยขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าโดยรวมแล้วนักลงทุนยังไม่ขานรับกับทิศทางทางการเมืองที่เกิดขึ้น และคงต้องรอดูความชัดเจนกันต่อไป สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีหน้า ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก แต่จะมีความผันผวนมากขึ้น โดยหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนคือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังแนะนำหุ้นในกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม การแพทย์ และยานยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผู้ประกอบการของไทยสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้

ด้านนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ขณะนี้ราคาหุ้นได้สะท้อนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลและทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ไปแล้ว เนื่องจากกรณีดังกล่าวมีกระแสข่าวมาตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ก่อน ส่งผลให้ดัชนีตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนักอย่างไรก็ตามในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าคาดว่าปัจจัยบวกทั้งหลาย อาทิเช่น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่คลายตัวลงอย่างเร็ว อัตราดอกเบี้ยที่ยังไม่มีการปรับขึ้นอีกและรอเวลาที่จะปรับลดลง ซึ่งหากมีการปรับตัวลดลงจริง เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นภาคการลงทุนระยะปานกลางได้ดีขึ้น และเชื่อว่าในช่วงปลายเดือน พ.ย.-ธ.ค. นี้ ตลาดหุ้นน่าจะฟื้นตัวได้โดยดัชนีตลาดฯ จนถึงสิ้นปีนี้ น่าจะปรับขึ้นสูงกว่าปัจจุบันที่ประมาณ 680 จุดพอสมควร อย่างไรก็ตามสมาคมฯยังคงเป้าดัชนีในปีนี้ที่ 740 จุด

นายสมบัติ กล่าวต่อว่า สำหรับตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ถือเป็นคนดีมีความสามารถ มีประสบการณ์หลากหลาย ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเข้าใจคนในสังคมต่างๆได้ดี ส่วนกรณีของม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่คาดว่าจะได้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ก็ถือเป็นผู้ที่เข้าใจตลาดหุ้นและตลาดทุนเป็นอย่างดี ซึ่งน่าจะเป็นผลบวกกับตลาดหุ้นมากกว่า

ทั้งนี้มองว่าสิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการในขณะนี้ คือการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งต้องเป็นฉบับที่ทุกคนยอมรับ และเชื่อว่าน่าจะสามารถผลักดันได้ตามกำหนด ขณะที่ในแง่เศรษฐกิจเมื่อมีคณะรัฐมนตรีก็คาดว่างบประมาณภาครัฐน่าจะจัดสรรออกมาได้เร็วขึ้น รวมถึงการได้ผู้ที่มีประสบการณ์เข้ามาบริหารประเทศน่าจะทำให้มีโครงการต่างๆออกมากระตุ้นความมั่นใจในภาคธุรกิจและการบริโภคของประชาชนด้วย อย่างไรก็ตามทางสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ก็เตรียมจะออกแบบสำรวจมุมมองนักวิเคราะห์หลังจากที่ได้คณะรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งคาดว่า น่าจะได้ทราบผลในเดือน ต.ค.นี้

ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร รองกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทิสโก้จำกัด กล่าวว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีความเหมาะสมที่จะเข้าร่วมทีมเศรษฐกิจกับรัฐบาลชุดใหม่ เนื่องจากมีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งมีประสบการณ์ในการทำงานเกี่ยวกับด้านการเงินมาเป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งเชื่อว่าน่าจะพัฒนาทีมเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีความแข็งแรงและมั่นคงได้ในอนาคต

ส่วนในระยะสั้นๆ ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะไม่คึกคักหลังจากที่มีการแต่งตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนักลงทุนรอดูความชัดเจนของทีมเศรษฐกิจที่จะมาบริหารประเทศ ซึ่งเมื่อเรื่องดังกล่าวมีความชัดเจนน่าจะทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความคึกคักมากยิ่งขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นช่วงต้นปี 2550 ที่ตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองกับความชัดเจนทางด้านการเมือง

นอกจากนี้ ในปี 2550 ประเมินว่าดัชนีจะอยู่ที่ 800 จุดส่วนปีนี้ดัชนีน่าจะอยู่ที่ 720จุด ซึ่งเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งรัฐบาลชุดใหม่เน้นเศรษฐกิจแบบพอเพียงคงจะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตแบบมั่นคงและมีเสถียรภาพซึ่งจะส่งผลให้พีอีของตลาดหุ้นไทยสูงขึ้นด้วยโดยในปัจจุบันพีอีของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 8-9 เท่า

หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองคงจะได้รับผลกระทบ แต่นโยบายอะไรของรัฐบาลชุดก่อนที่น่าลงทุนและเป็นประโยชน์กับส่วนรวมก็ควรที่จะสานต่อ แต่นโยบายอันไหนที่ต้องปรับปรุงก็ควรที่จะปรับปรุงเพื่อความมีเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของไทย นายไพบูลย์กล่าว

ส่วนมูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยในปีนี้น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งลดลงจากปีก่อนที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน โดยสาเหตุที่วอลุ่มการซื้อขายลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมืองที่ไม่แน่นอน
นอกจากนี้ เมื่อวอลุ่มตลาดลดลงก็ส่งผลให้มาร์เก็ตแชร์และกำไรของบริษัทหลักทรัพย์ลดลงด้วย แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ข่าวร้ายต่างๆ ได้หมดไปแล้วซึ่งต่อจากนี้ไปก็คงจะรอข่าวดีในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะปรับลดลง หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณที่จะปรับลดลง

นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า จากกรณีที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่มีนโยบายที่จะเน้นเศรษฐกิจแบบพอเพียงไม่เน้นการเติบโตของจีดีพีมากนักนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตแบบมั่นคงและมีเสถียรภาพ ซึ่งไม่หวือหวาเหมือนรัฐบาลในชุดที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างรากฐานที่ดีให้กับเศรษฐกิจอีกด้วย และจะส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะยาวมีความคึกคักมากยิ่งขึ้น แต่ในระยะสั้นคงจะไม่มีผลกระทบอะไร

ตารางสรุปหุ้นที่มีปันผลสูงสุด 10 อันดับแรกอันดับ ชื่อหุ้น DIV(%)1 NNCL 26.002 CMO 18.633 CSL 16.184 AIT 13.725 TLUXE 13.336 ASK 12.737 PR124 12.008 CVD 11.179 MIDA 10.8810 TPC 10.71


ที่มา ข่าวหุ้น

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com