May 3, 2024   11:01:50 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กูรูแนะหนีหุ้นสายการเมือง หวั่นเจอหางเลขตรวจสอบถล่มซ้ำ
 

samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
วันที่: 04/10/2006 @ 01:47:42
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

- PHATRA ฟันธงทรท.อาจหนีไม่พ้นถูกยุบพรรค

บล.ภัทร ออกบทวิเคราะห์การลงทุนในวันที่ 3 ตุลาคม 2549 เผย ต่างชาติเฝ้าติดตามนโยบายศก.ภายใต้รัฐบาลเฉพาะกาลของไทยแบบไม่กระพริบตาระบุ 3 ประเด็นหลักที่กระทบต่อการตัดสินใจลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่คดีแปรรูป PTT และการสอบนอมินีหุ้น SHIN ซึ่งจะบ่งชี้ว่านโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติของไทยกำลังดำเนินไปทิศทางใด พร้อมคาดไทยรักไทยอาจหนีไม่พ้นถูกยุบพรรค

โดยบทวิเคราะห์การลงทุนโดยบริษัทหลักทรัพย์ภัทรวันที่ 3 ตุลาคม 2549 ระบุว่าแม้พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากภาคธุรกิจและภาคประชาชนว่าเหมาะสมกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงไม่มั่นใจต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาลเฉพาะกาลภายใต้การนำของพล.อ.สุรยุทธ์ว่าจะก่อให้เกิดผลอย่างใดบ้างต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากจุดมุ่งหมายของการแต่งตั้งพล.อ.สุรยุทธ์เป็นผู้นำคือการสร้างความปรองดองและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในชาติ
ภัทรระบุว่า มีหลายประเด็นด้วยกันที่นักลงทุนต่างชาติกำลังให้ความสำคัญอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นจุดตัดสินใจถึงความน่าลงทุนของไทย

ประเด็นแรกคือ คดีแปรรูป PTTซึ่งคำตัดสินไม่ว่าจะออกมาอย่างไรก็ตามจะเป็นตัวบ่งชี้ว่า นโยบายด้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของไทยเป็นไปในทิศทางใดและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปหรือไม่

ส่วนประเด็นนอมินีหุ้น SHINไปจนถึงการลงสัตยาบันหยุดขยายสาขาของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าไทยพร้อมที่จะส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติมากน้อยเพียงใด

ขณะที่ประเด็นการตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาลชุดก่อนไม่ได้อยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่างชาติมากนัก เนื่องจากเป็นประเด็นภายในประเทศ

นอกจากนี้ ภัทรยังระบุด้วยว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีการยุบพรรคไทยรักไทยเนื่องจากจะมีการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญในเร็วๆนี้เพื่อพิจารณาคดีสำคัญที่ยังคั่งค้างโดยหากศาลรัฐธรรมตัดสินว่า พรรคไทยรักไทยมีความผิดในการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จะส่งผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคต้องเว้นวรรคทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีหลังจากถูกยุบพรรรคแล้ว
อย่างไรก็ดี ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ถึงอนาคตของพรรคไทยรักไทยออกมาบ้างแล้วหลังจากสมาชิกระดับแกนนำในพรรคหลายคนพากันลาออก
ทั้งนี้ ภัทรคาดว่า พล.อ.สุรยุทธ์จะแต่งตั้งให้ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นรัฐมนตรีที่ดูแลด้านเศรษฐกิจทั้งหมดระยะอันใกล้นี้

- CNS เชื่อแม้หุ้นการเมืองถูกสอบอาจกระทบไม่มากเพราะรับรู้มามากแล้ว

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บล.พัฒนสิน (CNS)กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวยุบพรรคไทยรักไทย ว่าหากมีการยุคพรรคไทยรักไทยจริงก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าจะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาหรือไม่ และหากมีการตรวจสอบความผิดกรณีทุจริตต่างๆสมัยเป็นรัฐบาลจะกระทบกับคณะกรรมการบริหารพรรคคนใดคนหนึ่งมากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ หากในที่สุดมีการตรวจสอบย้อนหลังถึงความผิดกรณีเรื่องการทุจริตจริง ก็ไม่น่าส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่ม SHIN หรือหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสถานกาณณ์การเมือง เนื่องจากราคาหุ้นดังกล่าวปรับตัวลดลง จากแรงเทขายของนักลงทุนมาก่อนหน้านี้แล้ว

ยังบอกไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่สามารถบอกล่วงหน้าได้ว่าอะไรเป็นอะไร ฉะนั้นคงต้องรอดูความชัดเจนก่อนเท่านั้น นายถนอมศักดิ์ กล่าว

สำหรับกรณีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เตรียมเดินทางไปประชุมเวทีนานาชาติวันที่ 30 - 31 ตุลาคมนี้ ที่ประเทศจีน และประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มความร่วมมือเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่ประเทศเวียดนามในวันที่ 15 - 19 พ.ย.นี้ ถือเป็นไปตามกำหนดการที่วางไว้อยู่แล้ว ซึ่งจากการประชุมดังกล่าว อาจได้รับผลพลอยได้ในเรื่องความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากนายกรัฐมนตรีน่าจะแสดงวิสัยทัศน์ และชี้แจงรายละเอียดของกรอบนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการลงทุน รวมถึงนโยบายการแก้ปัญหาต่างๆในประเทศ เพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศรับรู้มากขึ้น

- วงการมองต่างมุมเรื่องหุ้นการเมือง

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง กล่าวว่า กระแสการยุบพรรคไทยรักไทย และการตรวจสอบคณะกรรมการบริหารพรรคเรื่องทุจริตต่างๆ อาจส่งผลกระทบกับราคาหุ้นกลุ่ม SHIN และหุ้นอื่นในแวดวงการเมืองได้แต่ก็ไม่มากนัก เนื่องจากราคาหุ้นดังกล่าวตอบรับไปพอสมควรแล้วตั้งแต่มีการปฏิรูปทางการปกครองฯในช่วงที่ผ่านมา โดยหากมีการตรวจสอบย้อนหลังกรณีทุจริตของนักการเมืองในพรรคไทยรักไทยอีก ก็อาจมีผลต่อราคาหุ้นเช่นกัน ฉะนั้นคงต้องติดตามดูต่อไปถึงทิศทางการตรวจสอบและยุบพรรคว่าเป็นจริงหรือไม่

แน่นอนว่ามีผลแต่คงไม่มาก เพราะตั้งแต่พรรคไทยรักไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐบาลจากการรัฐประหารฯ ก็มีแรงเทขายออกมารับข่าวไปแล้ว นักวิเคราะห์ กล่าว

อย่างไรก็ดี แนะนำนักลงทุนหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มดังกล่าวในช่วงนี้ จนกว่าจะมีภาพชัดเจนเรื่องการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ

ขณะที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์อีกรายหนึ่งกล่าวว่าหากพรรคไทยรักไทยอาจถูกยุบ และส่งผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคต้องเว้นวรรคทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีหลังจากยุบพรรคแล้วนั้น หากเกิดขึ้นจริงคงจะไม่ส่งผลกระทบต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เนื่องจากการขึ้น-ลงของระดับราคาหุ้นดังกล่าว ต่อจากนี้จะอิงกับปัจจัยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหุ้นนั้นๆมากกว่า ทั้งจากทิศทางราคา และตัวพื้นฐานธุรกิจเอง เช่น บมจ.ชินแซทเทลไลท์(SATTEL)ที่จะเคลื่อนไหวตามแนวโน้มธุรกิจมากกว่า

อย่างไรก็ตาม มองว่าก่อนหน้านี้กลุ่มทุนต่างๆอาจมีการขายหุ้นต่างๆและโยกย้ายเงินไปพอสมควรแล้ว ดังนั้นการยุบหรือไม่ยุบพรรคคงจะไม่ประเด็นหลักที่จะกำหนดทิศทางของหุ้นเหล่านี้อีก

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปประชุมต่างประเทศที่สาธารณรัฐประชาชนจีน และหลังจากนั้นก็ประชุมเอเปกที่เวียดนามอาจจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นจากต่างประเทศได้ระดับหนึ่ง แต่ประเด็นที่นักลงทุนทั้งไทย และต่างประเทศให้ความสำคัญมากกว่าเป็นเรื่องการประกาศนโยบายต่างๆอย่างเป็นทางการ รวมทั้งแนวทางการบริหารประเทศ หลังจากที่มีคณะรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่านโยบายที่ออกมาจะมีความชัดเจน จนก่อให้เกิดความเชื่อมั่นจากต่างประเทศได้



 กลับขึ้นบน
samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
#1 วันที่: 04/10/2006 @ 01:49:28 : re: กูรูแนะหนีหุ้นสายการเมือง หวั่นเจอหางเลขตรวจสอบถล่มซ้ำ
- นายกฯเร่งเรียกความมั่นใจกลับคืน

อย่างไรก็ตาม ความไม่มั่นใจในความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนออกมาให้เห็นผ่านการเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคาร ที่โดนเทขายออกมาอย่างหนัก ซึ่งคาดว่าส่วนหนึ่งเป็นการโยกเงินลงทุนไปลงทุนในหุ้น IPO ของธนาคารไอซีบีซี ยักษ์ใหญ่จากประเทศจีนที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้กลางเดือน ต.ค.นี้ และการขายสุทธิอีกหลายครั้งของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยส่งผลให้หลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เร่งเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนกลับคืนมา

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา หลังจากแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ก็มีการพยายามทาบทามบุคลากรที่ได้รับการยอมรับในวงการต่างๆ มาร่วมอยู่ในคณะรัฐมนตรี เพื่อเรียกความมั่นใจที่มีต่อประเทศไทยรวมทั้งการลงทุนกลับคืนมา โดยหลังจากที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ตอบรับเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีแล้ว ล่าสุดนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธ.กรุงเทพ(BBL) เผยว่าเขาจะเข้าร่วมรัฐบาลในกระทรวงด้านเศรษฐกิจด้วย แต่ยังไม่ระบุตำแหน่งว่าจะเข้านั่งในตำแหน่งใด
ตกลงจะเข้าร่วมรัฐบาล แต่ยังไม่รู้ว่าท่านนายกฯจะให้อยู่กระทรวงไหน ตำแหน่งอะไร แล้วแต่ท่านนายกฯจะพิจารณาให้ตามความเหมาะสม แต่คงเป็นกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจ จะอยู่ตามวาระรัฐบาลชุดนี้ 1 ปีนายโฆสิต กล่าว

สำหรับนายโฆสิต เป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจชุดที่มี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นประธาน ซึ่งคณะที่ปรึกษาชุดนี้แต่งตั้งโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เมื่อช่วงปลายเดือนก.ย.ที่ผ่านมา

ขณะที่นายกฤษณ์ กาญจนกุญชร ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยหลังการหารือกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ว่านายกรัฐมนตรีเตรียมตัวที่จะเดินทางเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศอย่างน้อย 3 รายการ หลังจากเข้ารับตำแหน่ง โดยเริ่มจากการประชุมซัมมิทอาเซียน-จีน ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 30-31 ต.ค.นี้ที่เมืองหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน

หลังจากนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ จะเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ 11-13 พ.ย. และการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคที่เวียดนาม ในระหว่างวันที่ 15-19 พ.ย.
อย่างไรก็ตาม พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าจะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ตามที่ได้กำหนดไว้ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อของบุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีได้

- สมาคมนักวิเคราะห์ยืนยันเป้าดัชนีหุ้นเดิมที่ 740 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์ฯ กล่าวว่าสมาคมฯ ยังไม่มีการปรับดัชนีหุ้นเป้าหมายปลายปี พ.ศ. 2549 โดยยังคงอยู่ในระดับ 740 จุด ตามที่เคยทำการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2549 และคาดว่าสมาคมฯ จะทำการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์อีกครั้งประมาณกลางเดือนตุลาคมนี้ เพื่อสำรวจว่าสมาชิกมีการปรับดัชนีหุ้นเป้าหมายเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่

ทั้งนี้ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้จัดทำแบบสอบถามนักวิเคราะห์ ถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้น ในช่วงเดือนกันยายน - ธันวาคม 2549 ซึ่งรวมถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ รวมถึงน้ำหนักความสำคัญของข่าวการเตรียมวางระเบิดลอบสังหารรักษาการนายกรัฐมนตรี ผลกระทบหากการเลือกตั้งล่าช้าออกไป 30-60 วัน แนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน กลุ่มธุรกิจที่แนะนำให้ลงทุน รวมถึงสรุปคำแนะนำ ทั้งนี้ มีนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความเห็นรวม 19 แห่ง

ปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงเดือนกันยายน ? ธันวาคม 2549 ในความเห็นของนักวิเคราะห์ 3 อันดับแรก คือ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทรงตัวเนื่องจากน่าจะถึงหรือใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว ซึ่งมีผู้ตอบร้อยละ 68 อันดับที่สองมีสองปัจจัยที่มีผู้ตอบเท่ากันหรือร้อยละ 53 คือ ปัจจัยการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้น โดยจะมีการเลือกตั้งและรัฐบาลชุดใหม่ในอีกไม่นาน และการมีกระแสเงินทุนไหลเข้า และอันดับที่สามคือ อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ซึ่งมีผู้ตอบร้อยละ 37

สำหรับปัจจัยลบที่สำคัญตามความเห็นของนักวิเคราะห์ ลำดับแรกที่เสียงเกือบทั้งหมดเห็นตรงกันคือ ประเด็นทางการเมือง ซึ่งรวมถึงความขัดแย้งและการเลือกตั้งที่ล่าช้า โดยมีผู้ตอบร้อยละ 95 รองลงมามีผู้ตอบร้อยละ 47 คือราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และลำดับที่สาม คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว มีผู้ตอบร้อยละ 37

นักวิเคราะห์เกือบทั้งหมดที่ตอบคำถามหรือร้อยละ 79 ให้ความสำคัญน้อยต่อข่าวเรื่องความพยายามในการลอบสังหารรักษาการนายกรัฐมนตรี สำหรับผลกระทบของการเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปอีก 30-60 วัน ที่มีต่อตลาดหุ้น นักวิเคราะห์ร้อยละ 42 มองว่ามีผลกระทบน้อย และร้อยละ 37 เห็นว่ามีผลกระทบปานกลาง

นักวิเคราะห์ปรับประมาณการตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจสำหรับปี 2549 ลดลงจากผลสำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth เฉลี่ยที่ 4.2% ซึ่งใกล้เคียงกับการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 4.3% โดยมีผู้ประมาณการสูงสุดในรอบนี้ที่ 4.9% และต่ำสุดที่ 3.8% ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth ลดลงเมื่อเทียบกับการสำรวจครั้งก่อน โดยมีอัตราเฉลี่ยที่ -0.7% จากเดิม 2.8% ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุลเฉลี่ย 30 ล้านดอลลาร์สรอ. จากที่เคยประมาณการขาดดุล 2.6 พันล้าน โดยในครั้งนี้คาดการณ์ขาดดุลสูงสุดที่ 5 พันล้านและเกินดุลสูงสุดที่ 3.7 พันล้านดอลลาร์สรอ.

สำหรับตัวเลขสำคัญ ณ สิ้นปี 2549 นักวิเคราะห์คาดว่า เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจากที่คาดไว้เดิม โดยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ. เฉลี่ยอยู่ที่ 37.6 บาท มีผู้ประมาณค่าเงินบาทอ่อนสุดที่ 38.5 และค่าเงินแข็งสุดที่ 36.5 บาท มุมมองของนักวิเคราะห์ต่ออัตราดอกเบี้ย RP 14 วัน โดยเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 5.1% จากเดิมที่คาดไว้ 5.3 % และมีอัตราสูงสุดคือ 5.6% ต่ำสุด 5% ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET Index เฉลี่ยที่ 740 จุด ซึ่งลดลงจากการสำรวจที่ผ่านมาที่ 800 จุด โดยมีประมาณการสูงสุด 800 จุดและต่ำสุด 687 จุด

ส่วนกลุ่มธุรกิจที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ 3 อันดับแรก คือ ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และพลังงานทั้งนี้เห็นว่ากลุ่มธนาคารจะได้ผลดีจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยชัดเจน ราคาน้ำมันเริ่มลดลง ทำให้ภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น สินเชื่อและการลงทุนมีโอกาสขยายตัว กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ย และราคาที่ปรับตัวลงมามากแล้ว ในขณะที่ผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้น

ส่วนกลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ มีผลกำไรดี และแนวโน้มราคาน้ำมันดิบยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง รวมทั้งความต้องการยังมีแนวโน้มเพิ่มต่อเนื่อง นักวิเคราะห์มีคำแนะนำในการลงทุนสำหรับปี 2549 โดยเห็นว่าเป็นช่วงที่ควรทยอยซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยเฉพาะหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ หุ้นที่มีพื้นฐานดี หุ้นปันผลสูง หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายรัฐ

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงสิ้นปี เนื่องจากเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยถึงจุดสูงสุดแล้ว ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อกำลังชะลอตัวลง และเชื่อว่าความมั่นใจผู้บริโภคจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นหลังเลือกตั้งและได้รัฐบาลชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม เตือนผู้ลงทุนจับตาเหตุการณ์สำคัญเพื่อปรับพอร์ตได้ทันเมื่อมีสัญญาณลบเกิดขึ้น


ที่มา efinance.com
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com