May 4, 2024   1:09:54 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > จัดพอร์ตหุ้นรับนายกฯ
 

???
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
วันที่: 26/09/2006 @ 11:16:29
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

.0006

ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังจากเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติในวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา

จนถึงวันที่ 25 กันยายน 2549 ดัชนีปรับตัวลดลง 15.83 จุด จาก 702.56 จุด มาอยู่ที่ระดับ 686.74 จุด คิดเป็นการปรับตัวลดลง 2.25% โดยในวันแรกที่เปิดซื้อขาย(21ก.ย.)ดัชนีได้ปรับตัวลดลงทันที 30 จุด หรือคิดเป็น 4.20% จากดัชนีที่ 702.56 จุด และได้ขยับตัวขึ้นมาปิดตลาดที่ระดับ 692.57 จุด ปรับตัวลดลง 9.99 จุด คิดเป็นการปรับตัวลดลง 1.40%

ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้(25ก.ย.) ปิดตลาดที่ 686.74 จุด เพิ่มขึ้น 5.03 จุด หรือ 0.74% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 13,706 ล้านบาท

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด(มหาชน) ระบุว่า จากการสำรวจดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วง 3 สัปดาห์หลังการรัฐประหารจะมีทิศทางที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงหลังจากนั้น โดยศึกษาจากผลกระทบของเหตุการณ์รัฐประหาร เมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2534 โดย รสช. ยึดอำนาจจากพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ พบว่า ดัชนีตลาดหุ้นหลักทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 3 สัปดาห์แรกหลังยึดอำนาจ ซึ่งดัชนีในวันแรกที่เปิดซื้อขายปรับลดลงไปถึง 57.40 จุด หรือ 7.25% ก่อนที่จะฟื้นตัวในวันที่สอง 41.90 จุด หรือ 5.71% และดัชนีปรับขึ้นไปถึง 19% หลังจากเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 3 สัปดาห์

ดังนั้นจึงมองว่าการคาดหวังว่าจะมีบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากไทยและต่างประเทศเข้ามาเป็นคณะรัฐบาล จะเป็นปัจจัยสำคัญทางจิตวิทยาต่อการสนับสนุนหุ้นไทยในระยะสั้น ซึ่งคาดว่าทิศทางของดัชนีหุ้นไทยในครั้งนี้จะไม่แตกต่างจากเหตุการณ์ยึดอำนาจที่ผ่านมา และประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้อาจปรับขึ้นไปได้ถึง 708-715 จุด โดยแนะนำซื้อหุ้นกลุ่มที่เชื่อมโยงกับดอกเบี้ย หรือ กลุ่มที่มีรายได้แน่นอน

นายกฯใหม่หนุนดัชนี
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้ช่วยผู้กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พรูเด้นท์ สยาม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเมินทิศทางทางดัชนีหุ้นไทยจะสามารถฟื้นตัวได้ โดยคาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 673-696 จุด และให้แนวรับสำคัญที่ 673 จุด เนื่องจากการสรรหานายก และรัฐมนตรีที่จะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะมีความชัดเจนได้ภายในสัปดาห์นี้ หรืออย่างช้าสัปดาห์หน้า รวมทั้งนโยบายในการบริหารประเทศต่อไป

?ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าการสรรหานายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้น่าจะเป็นที่ยอมรับจากประชาชนในประเทศ และต่างประเทศได้ รวมทั้งการกำหนดนโยบายในการบริหารประเทศที่ส่งเสริมการพัฒนาประเทศในรูปแบบที่ดี และมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 720-740 จุดได้?นายพิชัยกล่าว

นอกจากนี้มองว่าภายหลังที่มีการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการแล้วเสร็จได้ในสองสัปดาห์นั้นจะเป็นผลเชิงบวกในการจัดสรรงบประมาณในปี 2550 ได้เร็วยิ่งขึ้นจากการประมารการเดิมที่คาดว่าจะสามารถจัดสรรงบได้ในช่วงเดือนมีนาคม หรือเมษายน 2550 เป็นประมาณเดือนธันวาคม 2549นี้ ซึ่งจะการกระตุ้นให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ยังสอดคล้องกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัว ราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลง ส่งผลให้อัตราเงินเฟื้อลดลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้เกิดการใช้จ่ายเงินเพิ่มเข้าตั้งแต่ปลายปี 2549 นี้เป็นต้นไปได้

เปิดโพยหุ้นน่าสะสม
ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุน ?ทยอยเก็บสะสม? หุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจากการทรงตัวของอัตราดอกเบี้ย เช่น BBL , KBANK , AP , SPALI , PRIN และ LH เนื่องจากทิศทางผลประกอบการที่เติบโตที่ดี และราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงต่ำสุดแล้ว

นอกจากนี้แนะนำ ?ซื้อ?หุ้นในกลุ่มที่มีรายได้ที่แน่นอน เช่น EGCOMP , RATCH , BMCL EASTW , AOT , KH และ CPN เนื่องจากหุ้นในกลุ่มดังกล่าวไม่ได้ปรับผลกระทบจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และแนวโน้มผลการดำเนินงานมีการปรับตัวที่โดดเด่นต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่มีการจ่ายปันผลในอัตราที่สูงด้วย

กรอบดัชนี680-720จุด
นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า

ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังจากรัฐประหาร 3 ครั้งที่ผ่านมา ดัชนีจะปรับตัวดีสุดในช่วง 3 สัปดาห์แรก และจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น และคาดว่าการสรรหานายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะสามารถสรุปผลได้ในเร็วนี้ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กลับเข้ามาลงทุนได้ตามเดิม โดยประเมินว่าดัชนีในช่วง 3 สัปดาห์นี้จะแกว่งตัวที่ระดับ 680-720 จุด

อย่างไรก็ตามการลงทุนควรระมัดระวัง และติดตามความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคาดว่าภายหลังที่มีการแต่งตั้งนายก และรับมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้วนักลงทุนกลุ่มนี้จะเข้ามาเก็บหุ้นเพิ่มขึ้น และต่อจากนี้จะถือลงทุนระยะยาวไปถึงสิ้นปี โดยประเมินดัชนีสิ้นปีอยู่ที่ 750 จุด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงภาวะตลาดผันผวนนั้นฝ่ายวิจัยแนะนำเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ เช่น PHATRA , KEST เนื่องจากปริมาณการซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างหนาแน่น ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ได้ อีกทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากการทรงตัวของอัตราดอกเบี้ย

ส่วนหุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ SPALI , AP และ QH รวมทั้งหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น BBL , KBANK กลุ่มผลิตไฟฟ้า เช่น EGCOMP , RATCH เพราะมองว่ากลุ่มดังกล่าวมีการเติบโตของรายได้ที่แน่นอน อีกทั้งยังไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในครั้งนี้

ที่มา ทันหุ้น

.0006

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com