May 3, 2024   8:19:31 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น 24-08-06
 

jagkrub
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 43
วันที่: 24/08/2006 @ 10:41:39
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

[b:177ac56640">สัญญาณหุ้น[/b:177ac56640">
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 24 August 2006 04:08

บล.บัวหลวงแนะนำถือ TTAราคาเป้าหมาย 22.90 บาทTTA ประกาศรายได้จากค่าระวางเรือไตรมาส 3/49 อยู่ที่ 2,900 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 5% และจากช่วงเดียวกันปีก่อน 25% ค่าเงินบาที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และ TC rate หรือค่าระวางเรือที่ปรับลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ TTA มีรายได้ลดลง ในไตรมาส 3/49 TC rate อยู่ที่ 10,569ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน (-33% YoY, -2% QoQ) ในขณะที่รือปล่อยเช่า ขาดทุน 98ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน (เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว) เทียบกับไตรมาสก่อนมีกำไรอยู่ที่ 64 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน และไตรมาส 3/48 มีกำไรอยู่ที่ 453 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ทางด้านต้นทุน ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น 4,563 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน (+27%YoY, +17% QoQ) เนื่องจาก 1) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เนื่องจาก 65% ของต้นทุนของTTA อยู่ในรูปสกุลเงินบาท 2) มี่รายการพิเศษค่าใช้จ่าย dry-docking เกิดขึ้น 3) มีรายการพิเศษจากการถูก claim ประกันอุบัติเหตุ และ 4) ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจาการ upgradeเรือขนส่ง TTA จะมีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 18 กันยายน เพื่อขออนุมัติออกหุ้นกู้แบบไม่มีหลักประกันมูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยเงินที่ได้มาจากการออก debentureนี้จะถูกใช้ไปจ่ายหนี้ธนาคาร นอกจากนี้ TTA ยังวางแผนที่จะแปลงหุ้นกู้นี้จากสกุลเงินบาทเป็นดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ทางฝ่ายบริหารแจ้งว่า การออก bond ครั้งนี้ TTA จะสามารถลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของตนจากเงินกู้ปัจจุบันได้ 1-1.25% ในไตรมาส 3/49 นี้ TTA มีหนี้สินอยู่ 246 ล้านดอลลาร์สหรัฐ TTA ให้ความมั่นใจว่า outlook ของอัตราค่าระวางเรือเทกองแห้งว่าแข็งแกร่งจากความต้องการที่เพิ่มมากกว่าที่คาดการณ์ ในจีน อินเดีย และตะวันออกกลาง
บล.เอเชียพลัสแนะนำซื้อ MINTราคาเป้าหมาย 12.48 บาทจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปี 2549 คาดว่าจะเติบโต 10%yoy และ เฉลี่ยต่อปี 11.3% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ปัจจัยหลักมาจากการเปิดใช้สนามบินใหม่และการขยายตัวของสายการบินต้นทุนต่ำ ยังคงเป็นแรงผลักดันให้ธุรกิจโรงแรมในประเทศของ MINT ขยายฐานรายได้จากห้องพักได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ ทั้งใน มัลดีฟส์ ดูไบ ศรีลังกา และบาหลี ผ่านการร่วมลงทุนและรับสิทธิในการบริหาร จะทำให้ MINT มีจำนวนโรงแรมในพอร์ตการลงทุนจาก 15 แห่งในปี 2549 สู่ 30แห่ง หรือ จำนวนห้องพักราว 5 พันห้องในปี 2553 และช่วยเพิ่มรายได้ธุรกิจโรงแรมให้ขยายตัว 18.5% yoy ในปี 2549 และ 16.4% yoy ต่อปี อีก 5 ปีข้างหน้า นอกจากธุรกิจโรงแรมแล้ว MINT มีแผนการลงทุนในธุรกิจอาหารอย่างไม่หยุดยั้งทั้งการลงทุนเองและให้สิทธิแฟรนไชส์ ในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนที่มีการลงทุนเองในกรุงปักกิ่ง รวมถึงให้สิทธิแฟรนไชส์ของเดอะ พิซซ่า คอมปะนี และซิซซ์เลอร์ ตามหัวเมืองต่าง ๆ โดยตั้งเป้าหมายจะขยายสาขาจาก 558 แห่งปี 2548 เป็น 666 แห่งในปี 2549 ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้เติบโต 19.7 yoy สู่จำนวนสาขาทั้งสิ้น 1,246 แห่งในปี 2553 คิดเป็นการเติบโตของรายได้เฉลี่ยปีละ 17% yoy ฝ่ายวิจัยคาดหมาย ปี 2549 จะมีรายได้จากการดำเนินงานเติบโต 19% yoy จากการเปิดบริการโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ใหม่ 2แห่งที่เชียงรายและสมุย รวมถึงแผนร่วมลงทุนกับโรงแรมชั้นนำ 2 แห่งในมัลดีฟส์ประกอบกับมีการขยายสาขาร้านอาหารเพิ่ม 108 แห่ง เป็น 666 แห่ง และจำนวนสาขาสปาเป็น 26 แห่ง เพิ่มขึ้น 8 แห่ง จากปีก่อน ขณะเดียวกันแผนการลงทุนที่ประหยัดสินทรัพย์ (Asset Light) ไม่ต้องลงทุนเองทั้งหมด โดยเป็นการรับสิทธิบริหารโรงแรมและให้สิทธิแฟรนไชส์ธุรกิจอาหาร ซึ่งให้มาริ์จิ้นที่ดี น่าจะผลักดันให้ Norm Profit ทั้งปี เติบโต25% yoy
บล.ซิกโก้แนะนำซื้อ DELTAราคาเป้าหมาย 21.80 บาทDELTA มี กำไรสุทธิ ใน 2Q06A เท่ากั บ596 ลบ เพิ่มขึ้น 19.9% YoY และ 31.6% QoQยอดขายมี การเติบโต15.7% YoY เนื่องจากสินค้าหลายกลุ่มมีคำสั่งผลิตเข้ามามากขึ้น นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้น ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเช่นกันโดยเป็นเพราะสินค่าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงอย่าง PSBG2 (Power Supplyสำหรับระบบโครงข่ายโทรคมนาคมเป็นต้น)และ CPBG (Compnentและ Magnetic) ทีมี ยอดขายปรับตัวดีขึ้นขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับทั้ง 2Q06A และ1Q06A จึงทำให้ผลประกอบการมีการเติบโตอย่างที่บริษัทแจ้งออกมาผลประกอบการ 1H06A ออกมาเป็นในแนวทางเดียวกับที่เราคาดไว้ตั้งแต่ต้นปีคือ FY06E จะเป็นปีที่ยอดขายไม่เติบโตมากนัก แต่อัตรากไรขั้นต้นจะดีขึ้น เพราะสินค้าที่มีสัดส่วนมากขึ้นจะมี ความอัตรากำไรสูง แต่ปริมาณขายไม่สูงนัก (High Margin-LowVolume) จะเห็นได้ ว่ายอดขายลดลงจากปีที่แล้ว 1.7%ด้วยซ้ำ แต่กำไรสุทธิกลับเติบโตถึง 53.8% ทั้งนี้ เพราะ GPM ใน 1H06A ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 20.1% จาก 1H05A ที่มี GPM เพียงแค่ 17.6% เท่านั้น นอกจากนี้SG&A/Salesก็ดีขึ้นอย่างชัดเจนเช่นกัน สำหรับครึ่งปีหลัง เรามองว?จะได้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะไตรมาสที่ 3 ที่ปกติจะเป็น Peak Seasonของอุ ตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้ว เพราะจะเป็นช่วงที่ลูกค่าของบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะมีการสะสมสินค่าเพื่อรอขายในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งจะทำให้ ปริ มาณขายเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี เรายังมีปัจจัยเรื่องของต้นทุนที่ยังกังวลอยู่เพราะสินค้าไอซีที่เป็นส่วนประกอบในสินค้าของ DELTA มีการปรับราคาสูงขึ้นจากราคา Raw Material เพิ่มขึ้นมาตลอดเรามองว่าปัจจัยดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของ DELTA แต่ อย่างไรก็ตามเรายังประเมินผลประกอบการมีรายได้เท่ากับ 43,963 ลบ. ทรงตัวจากปีที่แล้ว แต่อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นจาก 19.2% เป็น 19.9% และ SG&A/Sales ลดลงเหลือ13.7% ส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 8.3% YoY SSEC ประเมินมูลค่าเหมาะสมของ DELTA เท่ากับ 21.80บาท (อิง Propective PER ที่11 เท่า)
บล.กิมเอ็งแนะนำทยอยสะสม NOBLEราคาเป้าหมาย 5.10 บาทแม้ว่ายอดรับรู้รายได้จะสูงขึ้น แต่ผลประกอบการไตรมาส 2/49 กลับลดลง 10% เทียบกับปีก่อนและ 19% เทียบกับไตรมาสก่อนเป็น 74 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากการที่ต้องกลับมาจ่ายภาษีในอัตราเต็มที่ 30% อีกครั้งในปีนี้ รายได้เพิ่มขึ้น 7% เทียบกับปีก่อนและ 8%เทียบกับไตรมาสก่อนเป็น 551 ล้านบาทจากการรับรู้รายได้คอนโดมิเนียมจำนวนมาก อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 40.0% จาก 39.0% ในไตรมาสก่อนเนื่องจากสัดส่วนของรายได้จากคอนโดมิเนียมสูงขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วคอนโดมิเนียมจะได้อัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 40% ที่สูงกว่าบ้านเดี่ยวที่มีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 33-35% ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้นจากการเปิดตัวคอนโดมิเนียม โนเบิล รีมิกซ์ ทำให้ค่าใช้จ่ายขายและบริหารเพิ่มเป็น 117 ล้านบาทในไตรมาส 2/49 โดยสูงขึ้น 9% เทียบกับปีก่อน ยอดหนี้สินของ NOBLE เพิ่มเป็น 1.76พันล้านบาทจาก 1.59 พันล้านบาทในไตรมาสก่อน เนื่องจากต้องใช้ก่อสร้างโครงการใหม่หลายโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนโดมิเนียมซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง และกว่าจะโอนได้ก็อีก 2-3 ปี นอกจากนี้ส่วนของผู้ถือหุ้นก็ลดลงจากการจ่ายเงินปันผล ทำให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนเพิ่มเป็น 0.60 เท่า อย่างไรก็ตาม งบดุลยังแข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ระดับนี้ยังนับว่าต่ำอยู่มาก กระแสเงินสดจากการดำเนินงานยังเป็นบวกที่ 453 ล้านบาทในไตรมาส 2/49 เนื่องจากการโอนคอนโดมิเนียมจำนวนมากในโครงการออราทองหล่อ, ซีโรไนน์ ร่วมฤดี และไลท์ ราชครู NOBLE เพิ่งเปิดคอนโดมิเนียมตัวใหม่คือโนเบิล โซโล เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเช่นเดียวกับโครงการก่อนคือโนเบิล รีมิกซ์ โดยที่ โนเบิล โซโล ขายได้แล้ว 30% เป็นมูลค่า 518 ล้านบาทภายใน 2วันหลังจากเปิด จากมูลค่าโครงการทั้งหมด 1.75 พันล้านบาท สำหรับโนเบิล รีมิกซ์นั้นขายหมดแล้วหลังจากเปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคม NOBLE จะรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียม 2โครงการนี้ในปีหน้าด้วยวิธี percentage of completion โดยที่เราคาดว่าโนเบิล รีมิกซ์ จะสร้างเสร็จประมาณ 35% และโนเบิล โซโล จะสร้างเสร็จประมาณ 50% เมื่อถึงสิ้นปีหน้า


[b:177ac56640">เทคนิคหุ้นเด่น [/b:177ac56640">
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 24 August 2006 04:11

PTTET
แม้ราคาหุ้นจากแท่งเทียนรายสัปดาห์จะปรับตัวลงมากว่า 2 สัปดาห์ แต่เมื่อมองราคาหุ้นรายวันพบว่า ราคาหุ้นยังทรงตัวที่ระดับ 116 บาท หากราคาหุ้นปรับตัวลงอีก เรามองว่าแนวรับที่ระดับ 114 บาท น่าจะแข็งแกร่ง ประกอบกับราคาหุ้นปรับตัวลงมาระยะนี้เป็นช่วงของการพักฐานระยะสั้นเท่านั้น ขณะเดียวกันสัญญาณ Bollinger Band เริ่มบีบตัวแคเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ เราคาดว่าการพักฐานรอบนี้น่าจะสิ้นสุดแล้วคำแนะนำ ทยอยซื้อลงทุน
SAT
เมื่อพิจารณาโครงสร้างแท่งเทียนรายสัปดาห์ พบว่าราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่ราคาหุ้นในช่วง 1-3 เดือนที่ผ่านมา เริ่มทรงตัวเหนือระดับ 14.50 บาท อย่างมั่นคงขะที่เดียวกันราคาหุ้นรายวันเริ่มปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 15.30 บาท พร้อมทั้งสัญญาณ RSI และSlow Stochastic ที่เริ่มปรับตัวเป็นบวกมากขึ้น หากราคาหุ้นได้รับวอลุ่มเข้ามามากกว่านี้ โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 15.70 บาท น่าจะเป็นไปได้อีกครั้งคำแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว
TUCC
เมื่อสังเกตราคาหุ้นจากแท่งเทียนรายสัปดาห์ พบว่าราคาหุ้นยังเป็นขาขึ้นชัดเจน ด้านราคาหุ้นรายวันยังปรับตัวเหนือแนวต้านได้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งสัญญาณ RSI และ SlowStochastic ก็ยังปรับตัวเป็นบวกชัดเจน ดังนั้นเราคาดว่าหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นได้อีก โดยมองว่าหุ้นมีโอกาสที่จะขึ้นไปทดสอบถึงระดับ 6.10 บาทคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร
KK
ราคาหุ้นรายสัปดาห์ปรับตัวขึ้นแรงตลอดระยะเวลากว่า 2 เดือน ขณะที่ราคาหุ้นรายวันแม้จะปรับตัวขึ้นแรงและยืนเหนือแนวต้านเส้น10,25,75 วัน ได้อย่างมั่นคง แต่สัญญาณ RSIและ Slow Stochatic ที่ปรับตัวสนับสนุนการซื้อขายเริ่มบ่งบอกว่าราคาหุ้น ได้ปรับตัวเข้าเขตซื้อมากเกินไปแล้ว ดังนั้นนักลงทุนน่าจะหาทางระบายพอร์ตเวลานี้คำแนะนำ ขายทำกำไร
KTC
เมื่อพิจารณาแท่งเทียนรายสัปดาห์พบว่า ราคาหุ้นปรับตัวลดลงตลอดระยะเวลา 2เดือน ส่วนราคาหุ้นรายวันก็ปรับตัวแรงเช่นกันที่ระดับ 19.30 บาท แต่ดเนื่องจากราคาหุ้นรายวันไม่สามารถยืนเหนือแนวต้าน 19.60 บาท เนื่องจากหุ้นเริ่มเข้าเขตซื้อมากเกินไปประกอบกับสัญญาณ RSI และ Slow Stochastic เริ่มโค้งตัวเป็นขาย ดังนั้นเรามองว่าหุ้น่าจะปรัเวลาพักฐานบ้างแล้วคำแนะนำ หาจังหวะขาย
BEC
เมื่อมองโครงสร้างใหญ่รายสัปดาห์พบว่า ราคาหุ้นตลอดระยเวลา 4-5 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นอย่างต่เนื่อง แต่หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ระดับ 18.00 บาทวึ่งไม่สามารถผ่านระดับนี้ไปได้ ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมา ส่งผลให้ราคาหุ้นรายวันปรับตัวลงมาใต้เส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน ที่ระดับ 17.20 บาท ขณะเดียวกันสัญญาณ RSI และ SlowStochastic กลับตัวเป็นขาย ดังนั้นเรามองว่าหุ้นน่าจะปรับตัวลงอีกที่แนวรับ 16.70 บาทคำแนะนำ หาจังหวะขาย

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com