May 3, 2024   1:21:21 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > คุยเรื่อง BNT
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 23/08/2006 @ 10:37:42
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

คุยเรื่อง BNT [/size:bdcd5122f0">
--------------------------------------------------------------------------------

หุ้น BNT มีการเปลี่ยนชื่อมาหลายครั้ง แล้วก็เปลี่ยนผู้ถือหุ้นกับผู้บริหารอีกหลายครั้ง แต่เดิม BNT เมื่อครั้งเข้าตลาดหุ้นใหม่ ๆ เมื่อปีพ.ศ. 2538 มีชื่อว่า บริษัท ออนป้า อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ONPA ดำเนินธุรกิจผลิต และจำหน่ายสินค้าประเภท เทปเปล่า เทปที่บันทึกเสียงแล้ว คอมแพ็กต์ดิสก์ และ วีดีโอซีดี รวมทั้งรับจ้างบันทึกเสียงลงเทปคาสเซท บันทึกภาพลงวีดีโอเทป และรับจ้างผลิตคอมแพ็กต์ดิสก์และวีดีโอซีดี แล้วเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ดิจิตอล ออนป้า อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ DOI หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น บริษัท บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ BNT เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2547 สุดท้ายล่าสุดที่ได้ยินมาเขาจะเปลี่ยนชื่อจาก BNT เป็น LIVE Incorporation Public Company Limited ก็จะเป็นชื่อที่ 4 แล้วนะครับสำหรับการอยู่ในตลาดหุ้นมา 11 ปีของหุ้นตัวนี้
ปัจจุบันธุรกิจหลักของ BNT สามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มธุรกิจ คือ
1) ในธุรกิจสื่อวิทยุกระจายเสียง บริษัทฯ ได้ผลิตรายการวิทยุออกอากาศ 4 สถานี โดยรูปแบบรายการของแต่ละสถานีจะแตกต่างกันออกไป มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ครอบคลุมผู้ฟังวิทยุกลุ่มหลัก ต่าง ๆ
2) กลุ่มธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก หรือเคเบิลทีวีท้อง แบ่งได้เป็น 2 สายงาน คือ
2.1. สไมล์เน็ตเวิร์ก (Smile Network) บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและให้บริการเนื้อหารายการสำหรับโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกภายใต้ชื่อ สไมล์เน็ตเวิร์ก โดยเป็นการจัดรูปแบบรายการสำเร็จให้แก่ผู้ประกอบการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก (เคเบิลท้องถิ่น) ทั่วประเทศ ทั้งในเขตกรุงเทพและต่างจังหวัด
รายได้ของธุรกิจนี้ มาจากค่าสมาชิกบอกรับรายการซึ่งได้จากผู้ประกอบการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก (เคเบิลท้องถิ่น) และรายได้จากการโฆษณา 2.2. แชนแนล (วี) ไทยแลนด์ (Channel [V"> Thailand) นอกจากสไมล์เน็ตเวิร์กแล้ว บริษัทฯ ได้ร่วมลงทุนกับบริษัทชั้นนำต่างประเทศ คือ บริษัท แชนแนล (วี) เนเธอร์แลนด์ นัมเบอร์ 1 บีวี จำกัดและสตาร์ เกาหลี ในการบริหารและผลิตรายการสำหรับแชนแนล (วี) ไทยแลนด์ ออกอากาศผ่านทางเคเบิ้ลทีวียูบีซี มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น โดยรายได้หลักของแชนแนลวีมาจากส่วนแบ่งรายได้ค่าสมาชิกจากยูบีซี นอกจากนี้ยังมีรายได้จากผู้สนับสนุนรายการ และรายได้จากกิจกรรมพิเศษที่แชนแนลวีเป็นผู้ดำเนินการ อาทิ การจัดคอนเสิร์ต เป็นต้น
3) สำหรับธุรกิจภาพยนตร์ บริษัทฯ ได้นำภาพยนตร์เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ และจัดจำหน่ายสินค้าภาพยนตร์ในรูปแบบของวีซีดีและดีวีดี นอกจากนี้ ยังได้นำภาพยนตร์ที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์มาใช้ประโยชน์ผ่านทางกลุ่มธุรกิจอื่นของบริษัทและ 4) ในส่วนของกลุ่มกิจกรรมพิเศษ เช่น การจัดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมชาติไทยกับทีมรีลแมดริด และบริษัทฯ ยังเป็นผู้จัดกิจกรรมการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินทั้งในและต่างประเทศ
โครงสร้างรายได้ของ BNT ไตรมาสที่ 2 ปี 49 มีรายได้รวม 65.57 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.รายได้จากรายได้จากการผลิตรายการโทรทัศน์ 33.43 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของรายได้ทั้งหมดของ BNT 2. รายได้ค่าโฆษณา 14.60 ล้านบาท คิดเป็น 23% ของรายได้รวม ซึ่งเป็นปีแรกที่บริษัทได้เริ่มมีรายได้จากทั้ง 2 ส่วนนี้ ส่วนที่เหลือก็คือ รายได้จากการรายการวิทยุ และรายได้อื่น ๆ อีกประมาณ 17.54 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานของ BNT ไตรมาสที่ 2 ปี 49 ล่าสุด ขาดทุนสุทธิ 267.50 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้นเท่ากับ 0.12 บาท เนื่องจากมีการตั้งสำรองต่าง ๆ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 225.35 ล้านบาท แล้วก็มีส่วนของผู้ถือหุ้นที่ชำระแล้ว 2,280 ล้านบาท ผลขาดทุนสะสมทั้งสิ้น 1,300 ล้านบาท และส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นสามัญ 760 ล้านบาท ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเหลือเพียง 220 ล้านบาท คิดเป็นBook Value อยู่ที่ 0.09868 บาทหรือประมาณ 10 สตางค์ต่อหุ้น
ข่าวล่าสุดที่ BNT ประกาศออกมา ก็คือ เอาส่วนผู้ถือหุ้นที่ชำระแล้ว 2,050 ล้านบาทไปล้างขาดทุนสะสม และส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นสามัญออกทั้งหมด เพราะฉะนั้นในงบการเงินของ BNT หลังจากการล้างขาดทุนสะสม ก็จะเหลือส่วนของผู้หุ้นเพียง 200 กว่าล้านหุ้น หลังจากนั้นบริษัทก็จะเพิ่มทุน สมมุติว่า เราซื้อหุ้น BNT 1 แสนหุ้น เราก็จะมีต้นทุนประมาณ 3 หมื่นบาท แต่เราจะเหลือหุ้นแค่ 1 หมื่น แล้วก็จะได้สิทธิ์ซื้ออีก 1 หมื่นหุ้น ด้วยเงิน 1 หมื่น 1 พันบาท เพราะฉะนั้นเราก็จะมีหุ้นอยู่ 2 หมื่นหุ้น โดยมีต้นทุนประมาณ 4 หมื่นบาท เฉลี่ยหุ้นละ 2 บาท
สิ่งที่ท่านจะต้องลุ้นมีอยู่ 2 ข้อ คือ 1. หลังจากปรับโครงสร้างแล้ว BNT จะต้องเปิดซื้อขายใหม่ในชื่อ LIVE โดยที่มี Book Value ที่ 1 บาท ถ้าตลาดเห็นว่าน่าจะเทรดที่ 2 เท่าของ Book Value ใหม่ ราคาตลาดก็จะเป็น 2 บาท ท่านก็จะเท่าทุน 2. ท่านต้องลุ้นว่า BNT หลังจากปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น และโครงสร้างธุรกิจใหม่ จะสามารถทำกำไรได้มั้ย เพราะที่ผ่านมาก็ยังไม่สามารถทำกำไรได้เลย ผมก็ยังสงสัยว่า การทำแบบนี้จะทำให้บริษัทได้กำไรได้อย่างไร...

 กลับขึ้นบน
arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
#1 วันที่: 23/08/2006 @ 10:39:43 : re: คุยเรื่อง BNT
เปลี่ยนชื่อนั้นสำคัญไฉน ?[/size:0876101776">
--------------------------------------------------------------------------------

ทิศทางการลงทุนระยะสั้นยังค่อนข้างซบเซาเนื่องจากนักลงทุนน่วนใหญ่ยังขาดความมั่นใจต่อทิศทางการลงทุนระยะสั้น โดยกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีอยู่ในช่วง 670 -715 โดยคาดว่าการปรับตัวยังคงดำเนินต่อไปในหุ้นหลัก แต่จะมีการเลือกลงทุนในลักษณะ เก็งกำไรระยะสั้น ในหุ้นบางตัวที่มีสภาพคล่องสำหรับการเก็งกำไร

การประกาศลดทุน เพิ่มทุนและเปลี่ยนชื่อบริษัทของ BNT ทำให้ชาวบ้านชาวหุ้นตกใจทิ้งหุ้นเหลือ 0.16 บาทต่อหุ้นในช่วงแรกของการซื้อขาย แต่ปรากฏว่า วิญญาณนักยก เข้าสิงร่างหุ้น BNT และมีการลากราคาหุ้น BNT ขึ้นมาจนถึงระดับ 0.33 เมื่อปิดตลาดเรียกว่าหากใครซื้อตอนเปิดและยังไม่ขายระหว่างชั่วโมงการซื้อขายรับประกันว่าวันเดียวกำไรอ้วนไปหลายวัน แต่ขอโทษใครที่ขายหุ้นออกไปแล้วรู้สึกว่า ถูกเขาหลอก
คงจะก่นด่าบรรพบุรุษของฝั่งตรงกันข้ามเจ็ดชั่วโคตร เพราะเกมนี้รับประกันว่าไม่ธรรมดาแน่นอนส่วนใครจะรับได้รับไม่ได้คงต้องทำใจกันพอสมควร เพราะนี่คือหุ้นประเภท Money Game ประเภท Bad Company ชัด ๆ และคำว่า ธรรมาภิบาลคืออะไร อาจจะไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ รู้อย่างเดียว ได้เสีย กำไร ขาดทุนอะไรทำนองนั้น

ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับหุ้น BNT แล้วงานนี้ใครได้ใครเสีย คำตอบแรกคือ บริษัทกำลังเล่นเกมอะไรกับผู้ถือหุ้นรายย่อย ส่วนใครได้ใครเสีย คนเสียคงเป็นผู้ถือหุ้นที่ขายหุ้นตัวนี้ที่ราคาเปิด 0.16 บาท และคนที่ได้คือคนที่ซื้อหุ้นแบบราคาลดแลกแจกแถม และคนที่ไล่ซื้อแม้ว่ามีข่าวร้ายเพราะคนที่ซื้อหุ้นเมื่อมีข่าวร้ายนั้นโดยพฤติกรรมแล้วแสดงว่ามีการรู้ข้อมูลมากที่สุดและกล้าตัดสินใจ เพราะข่าวที่ปรากฏในระบบเกี่ยวกับการลดทุนของบริษัท BNT โดยการลดหุ้นและลดราคาพาร์นั้นผลกระทบจะเกิดกับผู้ถือหุ้นมากที่สุด เรียกว่าอ่านข้อเท็จจริงในเวลาจำกัดนั้นแทบไม่มีเวลาให้คิด แต่ต้องตัดสินใจกัน ณ นาทีนั้นแล้วค่อยหาเหตุผลกันภายหลัง

การประกาศว่า บริษัทจะมีการลดทุนจดทะเบียนจาก 2.5 พันล้านบาทเหลือ 2.28 พันล้านบาท และลดทุนโดยการลดจำนวนหุ้นจาก 2.28 พันล้านหุ้นเหลือ 230 ล้านหุ้น หรือลดในสัดส่วน 1 หุ้นเหลือเพียง 0.1008725 หุ้น สมมติลูกค้ามีหุ้นเดิมอยู่ 100,000 หุ้นเมื่อลดจำนวนหุ้นแล้วจะเหลือเพียง 10,087.25 หุ้น ส่วนมูลค่าไม่ต้องพูดถึงเพราะบริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 2,280 ล้านบาท และหลังจากนั้นจะเพิ่มทุนอีก 230 ล้านหุ้นเป็นทุนจดทะเบียน 460 ล้านบาทในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ราคา 1.10 บาทโดยบรริษัทมีสินทรัพย์เพียง 537 ล้านบาท และในจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้สิน 312 ล้านบาท โดยในงวด 6 เดือนของปี 2549 บริษัทมียอดขาดทุนสุทธิ 341 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 225 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนสุทธิต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี ถามว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทชั้นดี หรือเป็นบริษัทไม่ดี ยังทำธุรกิจอยู่หรือไม่ ผู้บริหารของบริษัทนั้นยังทำงานอยู่หรือเปล่า หากทำงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ และเป็นการออกลวดลายทั้งเพิ่มทุนลดทุนรวมอยู่ในแพ็คเกจเดียวกันหมดช่างทำได้กันลงคอจริง ๆ นะท่านนักลงทุน

มาดูฝีมือการบริหารบ้าง งวด 6 เดือนที่ผ่านมาบริษัท BNT มีรายได้เพียง 117 ล้านบาท แต่มีขาดทุนสุทธิถึง 341 ล้านบาท นักลงทุนบางท่านบอกว่า พ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาแถวริมถนนย่านเยาวราชยังทำกำไรได้มากกว่า และไม่ต้องเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยซ้ำ และไม่ต้องใช้ทุนจดทะเบียนสูงนับพันล้านบาท และเพิ่มทุนนับครั้งไม่ถ้วนอย่างหลาย ๆ บริษัทที่กำลังทำกันจนกลายเป็นแฟชั่นและดูเหมือนว่านักลงทุนก็ยังไม่ได้รับการคุ้มครองหรือดูแลจากทางการมากนัก ปล่อยให้ การลงทุนมีความเสี่ยง ทำหน้าที่ตะโกนบอกนักลงทุนต่อไป

ที่ผ่านมาบริษัทมีการเปลี่ยนชื่อมาหลายครั้ง โดยเข้าตลาดครั้งแรกในนาม ONPA หลังจากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น DOI แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น BNT และล่าสุดกำลังจะมีการเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท Live Incorporation Public
Company Limited. เรียกง่าย ๆ ว่า ชื่อเก่า ๆ หากินไม่ค่อยได้แล้วเพราะขาดความน่าเชื่อถือ หรือทำมาหากินไม่ค่อยขึ้นเพราะทำเอาผู้ถือหุ้นขาดทุนร้องไห้แทบทุกปี ซึ่งหากนักลงทุนสังเกตถึงผู้ที่มีการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลบ่อย ๆ นั้นส่วนมากไม่ค่อยเป็นสุจริตชน หรือทำอะไรที่ไม่ค่อยถูกต้องหรือต้องการหลีกเลี่ยงอะไรบางสิ่งบางอย่างอะไรทำนองนั้น ส่วนหุ้น BNT จะมีที่มาที่ไปอย่างไรในวันที่ 18 เดือนกันยายน 2549 จะมีการประชุมผู้ถือหุ้น หากนักลงทุนจะไปดูหน้าดูตาผู้บริหารที่สร้างผลขาดทุนให้ผู้ถือหุ้น หรือจะแจกของขวัญให้เป็นรางวัลสำหรับการบริหาร และกรรมการบริษัทก็เตรียมตัวกันได้เต็มที่ เพราะบริษัทนี้จัดได้ว่าครองแชมป์ขาดทุนต่อเนื่องติดต่อกันเกินกว่า 3 ปีซ้อนและเพิ่มทุนกันแทบทุกปีอะไรทำนองนั้น หากมองในมุมมองของนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานนั้นจัดเป็นบริษัทประเภท Bad Company เพราะเรื่องการเงินไม่ดี แต่อาจจะเป็น Good Stock
ในบางครั้งเนื่องจากสร้างจังหวะการเก็งกำไรได้บ่อยครั้ง

เอาว่ากันไป แต่สิ่งที่อยากบอกกับนักลงทุนคือ หากรักจะเลือกหุ้นประเภทรถซิ่ง หรือหุ้นดีมีจังหวะทำกำไรให้นักลงทุนได้ (ในที่นี้หมายถึงมีจังหวะในการลงทุนได้บ่อยครั้งอย่างมันในอารมณ์ แต่จะได้เสียคนละเรื่อง แต่หุ้นดีหมายถึงหุ้นทำกำไรมากกว่าขาดทุนครับ) แต่ไม่ใช่บริษัทที่ดี คือ มีผลการดำเนินงานดี การเงินดี บริหารดี
ผู้บริหารมีคุณธรรม จ่ายปันผลดี ราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม(จะมีมั๊ยนี่) บางครั้งอาจจะทำให้คนชอบหุ้นซิ่งเกิดอาการ ล้อหลุด ซิ่งไม่ออกหรือไม่ก็ต้องทิ้งหุ้นแบบกระโดดตึกหนีตายอะไรทำนองนั้น ดังนั้นหากจะลดความเสี่ยงด้วยการเลี่ยงหุ้นประเภทเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล ผลการดำเนินงานขาดทุนครองแชมป์ก็จะช่วยให้สุขภาพทางการเงินดีขึ้นก็ไม่เลว แต่สำหรับผู้ที่ยังรักความท้ายทายและรักความเสี่ยง ก็ต้องเชิญกันตามสบาย
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com