May 3, 2024   4:58:46 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น 23-08-06
 

jagkrub
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 43
วันที่: 23/08/2006 @ 09:46:01
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

[b:3c733d366f">สัญญาณหุ้น [/b:3c733d366f">
Source - ข่าวหุ้น
Wednesday, 23 August 2006 04:08

บล.บัวหลวงแนะนำถือ GMMMราคาเป้าหมาย 9.25 บาทGMMM ประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 2/49 ที่ 92 ล้านบาท โดย 5 ล้านบาทเป็นกำไรจากไตรมาสก่อนและ 80 ล้านบาทเป็นกำไรในไตรมาส 2/49 ในไตรมาสก่อนบริษัทได้บันทึกรายได้เงินปันผลจาก MATI และ POST ที่ 33 ล้านบาท อนึ่งในงวดแดียวกันของปีที่แล้วบริษัทยังมิได้รวมบัญชีของบริษัท Index เข้ามาในงบการเงิน GMMM ยังประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.3 บาทต่อหุ้น ซึ่งเท่ากับการจ่ายเงินปันผลที่อัตรา 62% ตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาส 3/49 GMMM จะมีสถานีวิทยุเหลือเพียง 4 สถานี โดยตัดสินใจจะคืนสถานีวิทยุ 2สถานีแก่ภาครัฐ นอกจากนี้ เพื่อประหยัดต้นทุน บริษัทได้ย้ายคลื่น EFM จาก FM93.5 มาอยู่ที่ FM94 ซึ่งทั้งนี้ทำให้ประหยัดต้นทุนไปได้ประมาณ 5 ล้านบาทต่อเดือน ตามรายงานของผู้บริหาร ได้มีการปรับโครงสร้างภายในธุรกิจใหม่ อาทิ การแบ่งกลุ่มผู้ฟังในแต่ละสถานีให้ชัดเจน, สร้างรูปแบบรายการ ที่มีความแปลกใหม่ และอื่นๆ ผู้บริหารกล่าวว่าการจัดกิจกรรมต่างๆยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมชื่อเสียงและความนิยมของสถานีวิทยุ (การท่องเที่ยวใน/ต่างประเทศ, คอนเสิร์ต และอื่นๆ) ตามคำกล่าวของผู้บริหาร กิจกรรมต่างๆจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก สปอนเซอร์ทำให้ GMMM ไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ในไตรมาส 2/49 ยอดขายของสถานีวิทยุของ GMMM ปรับตัวสูงขึ้น 19% จากไตรมาสก่อนแต่ยังคงปรับตัวลดลง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึงแม้ยอดขายของโทรทัศน์จะปรับตัวลดลง 8% จากปีก่อนและ 7% จากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 288 ล้านบาทในไตรมาส 2/49 กำไรขั้นต้นก็ค่อนข้างทรงตัวที่ 97 ล้านบาท โดย 92 ล้านบาทเป็นกำไรจากไตรมาสก่อนและ 104 ล้านบาทเป็นกำไรในไตรมาส 2/49 หากพิจารณาคุณภาพของผลงานและการควบคุมต้นทุน บริษัทยังคงมีการดำเนินงานที่ดี การลงทุนในบริษัท Index ถือว่าเป็นแนวทางที่สนับสนุนการเติบโตของบริษัทในอนาคต
บล.เอเชียพลัสแนะนำซื้อ EGCOMPราคาเป้าหมาย 97.18 บาทคาดจะได้ข้อสรุปในการเข้าซื้อสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้า BLCP กับทาง CLP ภายในงวด4Q49นี้ (BLCP มีกำลังการผลิต 1,400 MW ปัจจุบันถือหุ้นโดย CLP และ BANPU สัดส่วน50:50) โดยสัดส่วนการถือหุ้นขั้นต่ำที่ EGCOMP จะได้รับอย่างแน่นอนคือ 25% ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าหุ้นให้กับ EGCOMP ได้อีกหุ้นละ 5 บาท แต่หากทาง CLP ยอมขายสัดส่วนทั้งหมด 50%ให้กับ EGCOMP ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าถึงหุ้นละ 10 บาท ซึ่งการรับรู้รายได้ของ BLCP เข้ามาเต็มปีตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปนั้นจะเข้ามาช่วยเสริมฐานรายได้รวมของ EGCOMP ให้มีความมั่นคงไม่อ่อนตัวลงตามรายได้จากโรงไฟฟ้าหลัก REGCO และ KEGCO ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงในช่วงท้ายของสัญญาตามโครงสร้างการซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในเดือน มี.ค. 2550โรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 กำลังการผลิต 1,468 MW (EGCOMP ถือหุ้นอยู่สัดส่วน 50%) จะเริ่มดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์สำหรับยูนิตที่ 1 และในเดือน มี.ค. 2551 สำหรับยูนิตที่2 ตามแผน ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตให้กับ EGCOMP อีก 30% จากกำลังการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน 2,400 MW และต่อเนื่องในเดือน พ.ย. 2552 ที่โครงการน้ำเทิน 2 (กำลังการผลิต 1,070 MW และ EGCOMP ถือหุ้น 25%) จะเริ่มผลิตและขายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ได้ (ยังไม่รวมอยู่ในประมาณการ) รวมถึง EGCOMP ยังมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมอีกทั้งในลาวเช่นโครงการน้ำเทิน 1 และในประเทศฟิลิปปินส์ ดังนั้นจากแผนการลงทุนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ EGCOMP ที่มีการเติบโตในอนาคต ผู้บริหารเปิดเผยว่า EGCOMP ได้ตั้งเป้าหมายที่จะได้รับส่วนแบ่งในการประมูลการก่อสร้างโรงไฟฟ้าไอพีพีรอบใหม่ถึง 30% ของการประมูลทั้งหมด เนื่องจากมีประสบการณ์ ความพร้อมทางด้านพื้นที่ ระบบสายส่ง โดยเฉพาะที่ขนอม (KEGCO) ที่พื้นที่ดังกล่าวอยู่ใกล้กับโรงแยกก๊าซธรรมชาติสามารถรับก๊าซฯได้เลยซึ่งจะส่งผลให้ EGCOMP สามารถส่ง bid ได้ในราคาที่อยู่ในระดับต่ำ ช่วยรักษาฐานค่าไฟฟ้าในระบบไม่ให้สูงเกินไปได้ มูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2549 อยู่ที่หุ้นละ 97 บาท (ไม่รวมมูลค่าเพิ่มจากโรงไฟฟ้า BLCP) ปัจจุบันราคาตลาดมี Upside สูงถึง 27%
บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ MINTราคาเป้าหมาย 12.00 บาทเรายังคงมีมุมมองที่เป็นบวกในศักยภาพระยะยาวของ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์ชั่นแนล(MINT) ภายหลังจากการประชุมในอาทิตย์ที่ผ่านมา จากการร่วมมือที่ดีในธุรกิจโรงแรมกับMarriott และ Four Seasons MINT ยังคงดำเนินการเปิดโรงแรมใหม่อย่างต่อเนื่องซึ่งรวมถึงโรงแรม 180 ห้องพักในเกาะมัลดีฟส์ และ tented camp แบบหรู ติดแม่น้ำในแถบสามเหลี่ยมทองคำ จังหวัดเชียงราย และโรงแรม Four Seasons เกาะสมุย ซึ่งมีห้องพัก จำนวน 80 ห้องและจะเปิดภายในสิ้นปีนี้ โดยเราคาดว่ารายได้โรงแรมจะเติบโต 14% จากปีก่อนเป็น 4,906 ล้านบาท ในขณะนี้ MINT ได้เปิดสาขาร้านอาหารเพิ่มขึ้น 23แห่ง ในไตรมาส 2/49 ซึ่งรวมถึงสาขาแฟรนไชส์ 7 สาขา ทางบริษัทคาดว่า จะมีการเปิดสาขาร้านอาหารรวมเป็น 547 สาขาภายในสิ้นปีนี้ และมีสาขาแฟรนไชส์ทั้งสิ้น 119 สาขาทาง MINT มีงบลงทุนในปีนี้ที่ 5 พันล้านบาท ในธุรกิจโรงแรมและอาหาร ซึ่งจำนวน 2.5พันล้านบาท จะเป็นการลงทุนในโรงแรมใหม่ และ 1.8 พันล้านบาท จะเป็นการขยายธุรกิจอาหารและที่เหลือ จำนวน 700 ล้านบาทจะไปในธุรกิจใหม่ๆ ทางบริษัทจะระดมทุนจากการออกหุ้นใหม่ในช่วงไตรมาส 1/49 จำนวน 1,070 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจโรงแรม ลดลงจาก 70.4% ในไตรมาส 1/49 เหลือ 62.9% แต่คาดว่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เนื่องจากฤดูท่องเที่ยวที่จะเติบโตขึ้น ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้ รายได้โรงแรมจะถูกผลักดันจากการเปิดโรงแรม Four Seasons เกาะสมุย ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งมีห้องพักแบบpool villas จำนวน 80 ห้อง เราคาดว่ารายได้โรงแรมในปีนี้ จะเพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนเป็น 4,906 ล้านบาทอย่างไรก็ตามจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้ อาจถูกผลกระทบจากการเปิดตัวของสนามบินสุวรรณภูมิ จากปัญหาวามไม่พร้อมในการเปิดใช้งาน ซึ่งจะเริ่มขึ้นในเดือนหน้านี้ และยังมีความกังวลอื่นๆ จากการตรวจความปลอดภัยในสนามบินที่เข้มงวดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในประเทศไทย
บล.ซิกโก้แนะนำขายPSราคาเป้าหมาย 5.30 บาทPSประกาศผลประกอบการ 2Q06 มีกำไรสุทธิ 348 ลบ. เพิ่มขึ้น 29%YoYลดลง 6%QoQจากรายได้รวม 2,126 ลบ. เพิ่ มขึ้น 25%YoY และ2%QoQ ตามการรับรู้ Presales ที่ขยายตัวในช่วง 2 ถึง 3 ไตรมาสก่อนแม้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ปรับตัวลดลงจาก 33.8%ในไตรมาสก่อนเป็น 31.5% ด้วยผลกระทบของต้นทุนก่อสร้างที่สูงขึ้นซึ่งมากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ แต่สัดส่วน SGA ต่อยอดขายที่ 11.4% นับว่าปรับตัวดีขึ้นแม้มีการเปิดขายถึง 8โครงการใหม่ในไตรมาสดังกล่าว สำหรับ 1H06บริษัทฯมีรายได้รวม และกำไรสุทธิ 4,202ลบ. และ 717 ลบ. เพิ่มขึ้น25%YoY และ 26%YoY ตามลำดับผู้บริหาร PS ประเมินเป้าหมาย Presales ลงจากระดับ 9,000 ลบ. เป็น 8,000 ลบ. ตามผลของกำลังซื้อที่อยู่อาศัยชะลอตัว และการปรับรูปแบบการลงทุนโดยเน้นเปิดขายโครงการทาวน์เฮ้าส์ราคาถูกมากขึ้น ซึ่งมีทิศทางสอดคล้องกับประมาณการที่ SSEC ทำไว้อย่างอนุรักษ์นิยม ดังนั้น เราจึงยังคงสมมติฐาน Presales FY06E เดิมที่ 7,305 ลบ. ไว้ ซึ่งเมื่อพิจารณา Presalesใน1H06 ที่ 3,690 ลบ. ลดลง 5%YoY คิดเป็น 51% ของประมาณการโดยอาศัย 8 โครงการใหม่ รวม 4,076 ยูนิต มูลค่า 4,866 ลบ. ที่เปิดขายใน 2Q06 และ 2 โครงการใหม่ รวม 429 ยูนิต มูลค่า 400 ลบ. ที่เตรียมเปิดขายในครึ่งปีหลัง เป็นตัวกระตุ้นหลักเรามองว่าใน 2H06E ยังคงมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของ PS จากทิศทางอัตรากำไรขั้นต้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับ 2Q06 ด้วยการปรับรูปแบบบ้านให้มีความสอดคล้องกับกำลังซื้อ ภายใต้ภาวะต้นทุนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งได้กระทำมาตั้งแต่ต้นปี รวมถึงการปรับราคาขายทาวน์เฮ้าส์และบางโครงการของบ้านเดี่ยวขึ้นราว 2% เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นนอกจากนี้การเปิดขายทาวน์เฮ้าส์ภายใต้เงื่อนไข BOI ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีกว่า7 โครงการ ในครึ่งปีแรก จะช่วยให้ PS มีแนวโน้มภาษีจ่ายลดลง

[b:3c733d366f">เทคนิคหุ้นเด่น [/b:3c733d366f">
Source - ข่าวหุ้น
Wednesday, 23 August 2006 04:06

KSL
เมื่อพิจารณาโครงสร้างรายสัปดาห์พบว่า ราคาหุ้นยังเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนประกอบกับราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาอีกรอบ หลังจากพักฐานที่ระดับ 9.50 บาท ส่วนราคาหุ้นรายวันก็ปรับตัวทดสอบแนวต้านสำคัญขึ้นมาเป็นลำดับที่ระดับ 10.30 บาท แม้สัญญาณ RSIและ Slow Stochastic จะยังไม่ปรับตัวสนับสนุนการซื้อ แต่ในขณะนี้สัญญารบ่บอกว่าเข้าเขตขายมากเกินไป ดังนั้นหากได้รับวอลุ่มเข้ามามามากว่านี้ คาดว่าหุ้นน่าจะได้เวลาปรับตัวขึ้นรอบใหม่อีกครั้ง หลังระยะนี้หุ้นปรับตัวลงมานานมากแล้วคำแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว
IRP
เมื่อพิจารณาโครงสร้างแท่งเทียนรายสัปดาห์ พบว่าราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้หุ้นจะปรับตัวลงมาในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา แต่เรามองว่าหุ้นปรับตัวลงมาเพื่อเป็นการพักฐานในระยะสั้นๆมากกว่า ขณะที่ราคาหุ้นรายวันเริ่มทรงตัวที่ระดับ 5.35 บาทมานานกว่า 1 สัปดาห์ ด้านสัญญาณ RSI และ Slow Stochastic ก็ปรับตัวเข้าเขตขายมากเกินไป หุ้นน่าจะมีแรงซื้อเข้ามาในไม่ช้า ดังนั้นหากราคาหุ้นไม่อ่อนตัวไปมากว่าระดับ 5.35 บาท เรามองว่าแนวรับนี้น่าจะช่วยให้หุ้นปรับตัวขึ้นรอบใหม่ได้อย่างแน่นอนคำแนะนำ ซื้อลงทุน
ROJANA
ราคาหุ้นรายสัปดาห์ปรับตัวขึ้นแรง ส่งผลให้ราคาหุ้นรายวันปรับตัวแรงตามเช่นกัน แต่เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามาก ส่งผลให้ราคาหุ้นรายวันไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่ระดับ 13.40 บาท ประกอบกับก่อนหน้านี้ราคาหุ้นได้อ่อนตัวลงมาบ้าง ส่งผลให้ราคาหุ้นล่าสุดยิ่งปรับตัวลงแรงชัดเจน จนราคาหุ้นหลุดแนวรับเส้น 10 วัน ลงมาที่ระดับ 12.90 บาททำให้สัญญาณ RSI และ Slow Stochatic ปรับตัวเป็นขายชัดเจน ดังนั้นเราคาดว่าหุ้นน่าจะปรับตัวลงอีก โดยมองว่าแนวรับต่อไปน่าจะอยู่ที่ระดับ 12.70 บาทคำแนะนำ หาจังหวะขาย

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com