ทุนไหลเข้าของต่างชาติ ยังคงเดินหน้าซื้อของถูกอย่างไม่เร่งร้อน
เพราะตลาดหุ้นไทยเกิดอาเพศ ไม่ยอมขานรับแรงซื้อเอาเสียเลย
เพราะอารมณ์นักลงทุนไปผูกติดกับกระแสการเมืองที่กลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง*

มีคนตั้งคำถามเกียรติก้อง ว่า ดัชนีไม่ยอมขึ้นเกิน 710 จุด
เพราะมีใครเหยียบเอาไว้ เนื่องจากเล่นชอร์ตกับตลาดอนุพันธ์ไว้มากเกินหรือไม่
ตรวจสอบข้อมูลดูแล้ว ไม่เป็นความจริง เพราะตลาดนี้ นักลงทุนสถาบันยังไม่ข้องแวะมากนัก
มีแต่นักลงทุนรายย่อยแล้วมาเล่นสนุกๆวันทะ 350-400 ล้านบาทเท่านั้นเอง ไม่น่าส่งอิทธิพลมากนัก*

ตัวแปรสำคัญน่าจะยังคงอยู่ที่ 2- 3 ปัจจัยหลักต่อไปนี้มากกว่าคือ
1) ความโปร่งใสของธรรมาภิบาลบริษัทจดทะเบียน
2) ความสามารถของก.ล.ต. ในการตามจับนักปั่นที่โยงใยการเมือง ที่ต้องการหาเงินก่อนเลือกตั้ง
3) อารมณ์หรือกระแสการเมืองที่มีต่อนักลงทุน*

ตัวแปรแรก เป็นเรื่องที่ ตลาดและก.ล.ต. ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ
ไม่ใช่รอให้ใครเข้ามาทักท้วง แล้วก็ทำท่าขยัน และสวนกลับด้วยวาจายาวเหยียด ซึ่งไม่มีความหมายอะไรมากนัก*

หุ้นปั่นท่วมตลาดเห็นไปกันอยู่ ตัวอย่างง่าย กรณีของ จเรรัฐ ปิงคลาสัย แห่ง D1
ที่นักลงทุนหลายคนส่ายหน้ากับปฏิบัติการ ปล้นกลางแดด
ปากพูดจะบุก แต่มือขายหุ้นในพอร์ตเป็นระวิง ไม่เป็นมีใครทำอะไรได้*

หุ้นตัวอื่นๆ ที่ไม่ชอบมาพากลอย่าง SGF หรือ EWC หรือ PICNI หรือ IEC
ล้วนแพร่เชื้อความไม่โปร่งใสในเกมการเงินให้ตั้งข้อสงสัยมากมายว่า
ทำไมพ่อมดการเงินจึงกลับมาอาละวาดตลาดหุ้นได้อย่างลอยนวล*

มองจากมุมของคนนอก หุ้นเหล่านี้ ไม่ถือเป็นหุ้นพื้นฐานที่ดี
เพราะหุ้นพื้นฐานที่ดี(ทั้งปันผลยอดเยี่ยม หรือ P/BV ต่ำ และมีกำไรต่อเนื่อง)
ที่มีมากมายในตลาด ล้วนห่างไกลจากคำว่าหุ้นปั่น
ในขณะที่หุ้นหยิบมือนี้ กลับกลายเป็นตัวการทำให้ภาพลักษณ์ของตลาดหุ้นกลายเป็นบ่อนการพนันไปได้
ปลาเน่าไม่กี่ตัว ทำตลาดเหม็นโฉ่ ไม่รู้ทนได้อย่างไรกัน*

มองจากมุมของตลาดและ ก.ล.ต. อาจจะคิดว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาของผู้ถือหุ้น ที่มีส่วนได้เสียโดยตรง
แต่การเพิกเฉยปล่อยให้หุ้นเล่านี้ อาละวาดทั้งที่พื้นฐานว่างเปล่า
มันบอกประสิทธิภาพของการกำกับดูแลได้ชัด*

ตัวอย่างชัดเจนสุดก็ BNT ของเสี่ย พ. น้องคนใหญ่โต ล่าสุด ปัญหาการเงินรุมเร้าต้องเปลี่ยนชื่อแก้เคล็ด
เป็นการกลายพันธุ์ครั้งใหม่เป็น Live Inc พร้อมกับลดทุนเดิมและเพิ่มทุนรอบใหม่*

ชัดเจนว่า เป็นการแก้ปัญหาซื้อเวลาหนีตาย
เพราะผลประกอบการล่าสุด ไตรมาสที่สอง มีรายได้จากยอดขายแค่ 6 แสนกว่าบาท เท่านั้น
ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆทั้งนั้น...อย่างนี้ รอให้คนเข้ามาซื้อกิจการไปปั่นราคาต่อเท่านั้นเอง*

ดูรายชื่อผู้ถือหุ้น โยงใยไปถึงบริษัทอย่าง IEC และ PLE อย่างผิดสังเกต
ก็ไม่ทราบว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ...นักลงทุนทราบแล้วเปลี่ยน*

มาดู ก.ล.ต. อีกครั้ง ช่วงนี้ถูก กรณ์ จาติกวณิช มือเก๋าวงการหุ้นที่นั่งพรรคประชาธิปัตย์ จี้มาเรื่องหุ้นปั่น
ทำให้ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ร้อนอาสน์ ต้องออกหนังสือร่ายยาวตอบโต้ ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อแก้ตัวเก่าๆ...
อ่านแล้วนึกถึงคำพังเพยโบราณคนดีชอบแก้ไข คน......*

หางเลขของกรณีนี้ ทำให้ ก.ล.ต. ต้องปัดฝุ่นเรื่องเก่าเก็บเมื่อปี 2547
ผู้ถือหุ้นและผู้บริหารบริษัท CCP 2 คน ด้วยโทษปรับเป็นพิธีเล็กน้อย...
เหตุเกิดเมื่อ 2 ปีก่อนเพิ่งจะจับได้...ไม่ทราบทำอะไรยาวนานนัก หรือว่า ที่ ก.ล.ต. ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์กัน?*

หางเลขต่อมาก็ลงโทษปรับในเรื่องจุกจิกไม่เป็นเรื่อง
อย่างกรณีโบรกเกอร์ 6 แห่งไม่บันทึกเทปรายการคำสั่งซื้อขายของลูกค้า
รายละ ระหว่าง 2- 7 แสนบาท โถ..เยอะจริงๆนะขอรับ ท่านธีระชัย ผู้เคร่งครัด*

มาถึงมุมการเมือง เสี่ยแม้ว ซีอีโอ. ยังคงสติแตก
สั่งการให้ ตำรวจจับกุมคนที่ตะโกนด่าและเชียร์ในที่สาธารณะไม่มีเว้น
ด้านตำรวจก็บ้าจี้ รีบสนองคำออกมาขู่ทันทีเหมือนกัน ดีที่ บ้านเมืองยังมีหลัก
เพราะ อดีตประธานวุฒิฯอย่าง มีชัย ฤชุพันธ์ออกมาเตือนสติทันควันว่า
การกระทำดังกล่าวเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญรองรับ...ยิ่งปกครอง ยิ่งเสียศูนย์
อย่างนี้ ยังไม่ยอมพิจารณาตัวเอง ยิ่งทำให้ประเทศดูหมดหวังไปหมด*

สัปดาห์นี้ สัญญาณหุ้นสับสนยิ่งนัก ใครที่คิดจะเพิ่มพอร์ต ต้องระวังให้หนัก
เพราะแนวต้าน 710 จุด นั้น แข็งแกร่งผิดปกติจริงๆ ไม่จำเป็น ให้รอบสัปดาห์หน้าดีกว่าปลอดภัยไว้ก่อน...