หากดัชนีผ่านกระบวนการปรับฐาน และพักฐานอีกสักระยะหนึ่ง
โมนิก้าก็เชื่อว่าดัชนีจะทะยานขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่บริเวณ 715-720 จุดได้ไม่ยากเย็น
หลังปัจจัยหลายอย่างเอื้อต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก
อาทิ ราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลง เงินทุนไหลเข้าไม่ขาดสาย การเมืองเริ่มมีความชัดเจน ฯลฯ

*ปัจจัยบวกเหล่านี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ดัชนีเดินหน้าขึ้นในไม่ช้า
แต่ห้วงเวลานี้ดัชนีดันเข้าเขตซื้อมากเกินไปมาหลายวัน จึงต้องพักฐานสะสมแรงก่อนกระชากขึ้นอีกรอบ
เดี๊ยนถึงอยากให้นักลงทุนทำใจยอมรับสภาพการแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ทั้งในแดนบวกและแดนลบพะยะค่ะ

*เนื่องจากการหวังให้ดัชนีทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็วเหมือนเช่นที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องเพ้อฝันตอนกลางวันแสกๆ
เพราะของมันเห็นกันอย่าสงแจ่มแจ้งแดงแจ๋ว่า
แรงซื้อที่จะมาขับเคลื่อนดัชนียังมีไม่มากพอ แล้วดัชนีจะขึ้นได้อย่างไรกันเล่า

*ขนาด PTT และ PTTEP มีข่าวดีเต็มประตูหน้าต่างยังขยับเขยื้อนขึ้นไปไหนไม่ได้
โมนิก้า จึงขอใช้โอกาสนี้แถลงไขว่า ควรรอซื้อหุ้นเมื่ออ่อนตัวลงมาจะดีที่สุด
เพราะการเข้าไปไล่ซื้อหุ้นอย่างไม่ลืมหูลืมตามันไม่ก่อประโยชน์อะไรเลยนะซี

*มาอีกแล้ว สำหรับไนยวน ชิ ผู้บริหาร MCS
ช่วงสัปดาห์ก่อน ขายหุ้นบริษัทออกมา 3วันติดรวม 4,463,300 หุ้น ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3.72 บาท
ผู้บริหารท่านนี้ก็มีชื่อโผล่มาบ่อยเหมือนกันนะคะ ในเรื่องของการซื้อๆ ขายๆ หุ้น
โมนิก้าแนะนำว่าทำแบบนี้ไม่ดีคะ เอาเวลาไปทำธุรกิจยังดีกว่าจะมานั่งเทรดหุ้นอย่างนี้นะคะ
เพราะรายย่อยที่รอรับเงินปันผลยังมีอยู่นะคะ ราคาหุ้นปิดที่ 3.68 บาท

*ไม่รู้ว่า ประกายดาว เขมะจันตรี เอ็มดี BLISS
จะออกอาการเสียดายที่ปล่อยหุ้นบริษัทที่ตนเองปั้นมากับมือหรือเปล่า
จึงได้เข้าไปเก็บหุ้นเข้าพอร์ตกลับมาอีกจำนวน 169,000 หุ้น
อันนี้จะเป็นการเข้าไปเก็บเพราะจะมีข่าวดีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่าคะ
อย่างนี้ต้องถามเจ้าตัวคะเดี๊ยนไม่เกี่ยว

*ถ้ามองอีกด้านจะเห็นว่าการที่ ประกายดาว เข้าไปซื้อหุ้นBLISS
หลังจากที่ได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปทั้งหมดให้กับ IEC ในราคาหุ้นละ 4.50 บาท
ถือได้ว่างานนี้ประกายดาวได้กำไรจากซื้อหุ้นครั้งนี้อย่างเห็นได้ชัด
วิธีนี้คล้ายกับการชอร์ตหุ้น โดยขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปก่อน จากนั้นก็จะมาเก็บที่อยู่ราคาต่ำ
ทำให้ได้รับแคปปิตอลเกน และซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่าที่ขายออกไป
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ถือว่าเข้าท่าดีคะ ราคาหุ้นปิดที่ 3.92 บาท

*สำหรับมหกรรมการเทขายหุ้น D1 ของ จเรรัฐ ปิงคลาศัย ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง
และล่าสุดได้ขายหุ้นออกไปให้กับบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็น วุฒิชัย อิทธิกาวัชกุล 1 ล้านหุ้น สิทธิชัย บุญสันต์ 1 ล้านหุ้น วรนุช จิตตาลาน 7.5 ล้านหุ้น
สุรินทร์วัชรปรีชา 1.5 ล้านหุ้น และ UOB Kay Hian Private.Ltd. 3.1 ล้านหุ้น

*รวมเบ็ดเสร็จรอบนี้ จเรรัฐขายหุ้นออกไปอีก 14.1 ล้านหุ้น
และมีความเป็นไปได้ว่าการขายหุ้นรอบนี้น่าจะได้กำไรแล้วนะคะ
หลังจากที่งวดก่อนได้แค่คืนทุนเท่านั้น ไม่อยากจะบอกว่าเร็วๆ นี้น่าจะได้ขึ้นทำเนียบเศรษฐีใหม่ในไม่ช้าคะ

*สิ่งที่นักลงทุนรายย่อยหรือรายละเอียดทั้งหลายที่ต้องการเข้าไปลงทุนในหุ้น D1
พึงระวังและจับตาให้ดี ว่าจะมีการทุบแล้วดันทีหลังหรือไม่
เพราะอย่างที่รู้กันว่าหุ้นจำนวน 14ล้านหุ้นที่ออกไปอยู่ในมือของบรรดาคนสนิทเหล่านี้
สามารถขายได้โดยที่ไม่ต้องมีการรายงาน..
ตรงนี้แหละที่จะทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าบุคคลที่ได้หุ้นไปนั้น ยังถือหุ้นอยู่หรือเปล่า

*เกมนี้ถือว่านักลงทุนรายย่อยเสียเปรียบที่สุด
และถ้าใครคิดจะเข้าไปเล่น แถมไม่เจ๋งจริง หรือมีข้อมูลวงในก็ขอบอกว่าอย่าได้เข้าไปแหยมเป็นเด็ดขาด
ต้องทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ซะ อย่าได้มองช่วงที่หุ้นขึ้นเด็ดขาด
เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพื่อเป็นการล่อให้แมงเม่าเข้ามาติดกับเหมือนอย่างหุ้นเก็งกำไรตัวอื่นๆ ในอดีตที่ผ่านมา

*จากนี้ไปคงต้องมาจับตาดูอีกว่า จเรรัฐจะขายหุ้นออกมาอีกหรือไม่
จากวันนี้สัดส่วนการถือหุ้นเหลืออยู่ 148,117,380 ล้านบาท หรือ 58.49 %
มีต้นทุนอยู่ที่ 0.41 บาทต่อหุ้น หลังจากที่เทออกมาแล้วเกือบ 20 %
ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ โมนิก้าเคยเห็นมาแล้ว

*ถ้าใครยังคิดไม่ออก ให้ไปดูประวัติของ ภูมิพัฒน์ ธนาวรพิทักษ์
ตอนที่เข้ามาถือหุ้นAPURE ใหม่ๆ ไม่ต่ำกว่า 50 % ผ่านไป 1 ปี เหลือแค่ 11 %
ราคาหุ้นจากที่เคยสูงสุดเกือบ 10 บาท ตอนนี้ 2.80 บาทเท่านั้น
อย่างไงก็ขอให้ท่านๆ ไปคิดดูก็แล้วกันนะคะราคาหุ้น D1 ปิดที่ 2.60 บาท

*ส่วนความจริงที่หนีไม่พ้นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหุ้น TUCC
ย้อนไปหลังวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งช่วงนั้นบริษัทประสบปัญหาจากค่าเงินบาท
ก็เลยไปจ้างบริษัทที่ปรึกษามาช่วยในการปรับโครงสร้าง
ซึ่งการปรับโครงสร้างหนี้ก็ผ่านได้ตลอดลอดฝั่ง จนสามารถกลับมาประกอบธุรกิจได้อีกครั้ง

*เรื่องดังกล่าวน่าจะผ่านไปด้วยดี แต่ดันเกิดปัญหาอะไรไม่อาจทราบได้
จนถึงขนาดบริษัทที่ปรึกษารายนั้น ก็ยื่นฟ้องบริษัทจำนวน 29.68 ล้านบาท
เนื่องจากไม่ยอมจ่ายเงินค่าที่ปรึกษาให้ อันนี้ต้องให้ ยงยุทธ งามไกวัล ซีอีโอบริษัท ออกมาชี้แจงคะ

*เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ TUCC มีคดีทางศาล
และอยู่ในระหว่างการพิจารณา ที่ถูกฟ้องร้องจากบริษัทเอกชนรายนั้น
แต่จนแล้วจนรอดคดีดังกล่าวก็ได้ขาดอายุความลง
จึงทำให้บริษัทไม่ได้ต้องบันทึกค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น *

ความจริงก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก
อย่างน้อยก็ขอเป็นบันทึกช่วยจำว่า เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งในอดีต
ส่วนใครจะไปทำอะไรที่ไหนอย่างไร อันนี้เดี๊ยนคงจะไปรู้ได้ไม่หมดหรอกคะ ราคาหุ้นปิดที่ 5.80 บาท