May 1, 2024   3:39:47 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ดัชนีปรับฐาน-ต่างชาติช้อนเผยกองทุนนอกสนหุ้นไทยธปท.สั่งรับมือ
 

jagkrub
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 43
วันที่: 10/08/2006 @ 10:46:42
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ดัชนีปรับฐาน-ต่างชาติช้อน เผยกองทุนนอกสนหุ้นไทย ธปท.สั่งรับมือดอลลาร์วูบ
Source - กระแสหุ้น
Thursday, 10 August 2006 04:06

ดัชนีหุ้นปรับฐาน จากแรงขายทำกำไรกองทุนและรายย่อย แต่ต่างชาติได้ทีช้อนเก็บ นักวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มดัชนีแกว่งแคบๆรอปัจจัยหนุน บล.เอเซีย พลัส เผยออกโรดโชว์นอก ยืนยันต่างชาติมองหุ้นไทยเป็นบวก ด้าน ธปท. สั่งเตรียมพร้อมรับมือเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างฉับพลัน ยืนยันค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บรรยากาศการซื้อขาย วานนี้ (9 ส.ค.) แรงซื้อหลักยังคงมาจากนักลงทุนต่างประเทศ แต่จากแรงขายของกองทุนและรายย่อยที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ดัชนีผันผวน ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลงทุนคือการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยของเฟด ดัชนีลงไปปิดที่ระดับ 708.93 จุด ลดลง 2.87 จุด คิดเป็น 0.40% มูลค่าการซื้อขายรวม 15,882.73 ล้านบาท
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 754.46 ล้านบาท สถาบันกองทุนขายสุทธิ 367.48 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 386.98 ล้านบาท
แนวโน้มดัชนีปรับฐานต่อเนื่อง
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้น (10 ส.ค.) ว่า ตลาดไม่มีปัจจัยอะไรที่เป็นตัวกระตุ้น ทำให้คาดว่าตลาดน่าจะชะลอตัวลง หรือเป็นการปรับฐาน หลังจากที่หุ้นได้มีการปรับตัวสูงขึ้นมาระยะหนึ่ง หลังจากที่ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นมา 1-2 วัน ดัชนีน่าจะปรับฐานต่อเนื่อง จนถึงปลายสัปดาห์ ดังนั้น ถ้านักลงทุนที่เล่นเร็ว สามารถเก็งกำไรระหว่างวันได้ มองแนวรับที่ 702 จุด ส่วนแนวต้านที่ 715 จุด
นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ ZMICO กล่าวให้ความเห็นว่า ทิศทางตลาดน่าจะผันผวนในทิศทางลงในกรอบแนวรับที่ 705 จุด และแนวต้านที่ 715 จุด โดยนักลงทุนจะมีการเทขายทำกำไรออกมา ขณะที่ปัจจัยราคาน้ำมันยังคงเป็นเรื่องที่น่าจับตามอง ถ้าราคาปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอลงอีกครั้ง ส่วนปัจจัยภายในประเทศอย่างเรื่องการเมือง อาจจะยังไม่แน่ชัดว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคมได้หรือไม่ จึงอยากแนะนำนักลงทุนว่าให้รอดูความชัดเจนในสัปดาห์หน้าก่อนลงทุน แต่หากเก็งกำไรสามารถลงทุนในระยะสั้น
ระบุต่างชาติยังมั่นใจตลาดหุ้นไทย
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1-3 ส.ค.ที่ผ่านมา บล.เอเซีย พลัส ร่วมมือกับ เอบีเอ็น แอมโร นำบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 5 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท ปตท., ท่าอากาศยานไทย, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, ดิ เอราวัณ กรุ๊ป และศุภาลัย ไปร่วมงานประชุม เอบีเอ็น แอมโร เอเชียน แอนด์ อินเดีย อินเวสต์เตอร์ คอนเฟอเรนซ์ ที่ประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง ในงานดังกล่าวมี บจ. จากอินเดีย สิงคโปร์ อินโดนิเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย เข้าร่วมถึง 37 บริษัท ซึ่ง บจ.ของไทยทั้ง 5 แห่ง ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนทั้งในสิงคโปร์และฮ่องกงเป็นอย่างดี แม้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมของประเทศไทยจะยังโดนรุมเร้าด้วยปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจอยู่ก็ตาม
การประชุมดังกล่าว มีนักลงทุนทั้งผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์รวมกันถึง 197 คนจากบริษัทจัดการกองทุน 101 บริษัท ให้ความสนใจมาพบกับ 37 บจ.ชั้นนำของอินเดียและประเทศในกลุ่มอาเซียน หมุนเวียนกันเข้าประชุมถึง 808 ครั้ง ทั้งแบบตัวต่อตัวและแบบกลุ่ม โดยในจำนวนนี้ มีถึง 70 คน จาก 55 บริษัทกองทุนต่างๆ ได้เข้าพบกับผู้บริหารจากบริษัทไทยทั้ง 5 บริษัท นับรวมจำนวนการประชุมทั้งสิ้นถึง 113 ครั้ง ซึ่งจากความสำเร็จในครั้งนี้ บล.เอเซีย พลัส และเอบีเอ็น แอมโร จะจัดการประชุมนักลงทุนมากขึ้น และจะพาบริษัทไทยไปโรดโชว์ที่เมืองสำคัญทางการเงินทั่วโลก เพื่อเป็นการส่งเสริมตลาดไทยต่อไป
นายกฤษฏา สวามิภักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาดสถาบันต่างประเทศ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า มีนักลงทุนสนใจขอพบกับบริษัทไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์มองว่าปัจจัยลบได้ผ่านไปแล้ว และมองว่าอนาคตการลงทุนในตลาดไทยมีแนวโน้มสดใสในปีหน้า
นายแอนดรู ทัน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยสถาบัน บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงสุดในเอเชีย ในขณะที่ราคาหุ้นของไทยก็ยังถูกอยู่เมื่อเทียบกับภาคพื้นเอเชีย ในช่วง 12-18 เดือนที่ผ่านมา และเมื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ในเร็ววันนี้ ตลาดหุ้นไทยน่าจะสามารถปรับตัวขึ้นตามตลาดอื่นในภูมิภาคได้ เพราะปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยยังแข็งแกร่ง เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว.
ธปท.พร้อมรับมือบาทแข็ง-ดอลลาร์วูบ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้เตรียมมาตรการเอาไว้แล้วเพื่อรองรับในกรณีที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างฉับพลัน เนื่องจากปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเรื้อรังของสหรัฐก็จะทำให้ต่างชาติไม่มั่นใจและอาจะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินออกจากสหรัฐและไหลเข้ามาในเอเชียแทน ดังนั้น จึงขอให้สบายใจได้ เพราะ ธปท.มีมาตรการในการรองรับไว้หมดแล้ว
ที่เป็นห่วงที่สุดคือการอ่อนค่าอย่างรุนแรงของดอลลาร์สหรัฐ และที่ผ่านมาก็อ่อนค่าไปแล้วร้อยละ 2-3 โดย ธปท. มีมาตรการเตรียมพร้อมไว้ทุกอย่าง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นมาตรการอะไรบ้าง เพราะหากเอกชนรู้ล่วงหน้าก็อาจเก็งกำไรกันได้ แต่ขอให้สบายใจได้ว่ามีความพร้อมที่จับรับมือ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าว
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) จะประชุมกันในวันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม ถึงการแข็งค่าของเงินบาท ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ดีที่ภาคเอกชนจะปรับตัวรับมือกับการแข็งค่าของเงินบาท ดีกว่าจะมาคิดว่าเงินบาทจะกลับไปที่ 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเมื่อภาคเอกชนรู้ทิศทางของเงินบาทว่าเป็นอย่างไรก็จะสามารถวางแผนธุรกิจได้
สำหรับค่าเงินบาท ผู้ว่าการ ธปท. ยืนยันว่าถือว่าเงินบาทเคลื่อนไหวแกว่งตัวน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับเงินสกุลเอเชียอื่นๆ โดยตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม เงินบาทเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเพียงร้อยละ 0.3 ขณะที่เงินปอนด์ สเตอร์ลิง ประมาณร้อยละ 2 ยูโร ร้อยละ 0.6 และดอลลาร์สิงคโปร์ ร้อยละ 0.5 ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือการดูแลให้ค่าเงินบาทแกว่งขึ้นลงน้อยกว่าสกุลอื่น ๆ เพื่อให้ผู้ส่งออกมีความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังต้องดูการเปลี่ยนแปลงของเงินสกุลอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่ดูเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเพียงอย่างเดียว ซึ่งภาคเอกชนก็เริ่มมีความเข้าใจในเรื่องสถานการณ์ค่าเงินดีขึ้น

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com