April 30, 2024   11:32:04 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ทิศทางหุ้นจะเป็นอย่างไร ?
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 09/08/2006 @ 18:21:44
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

[b:05a77ad143">ทิศทางหุ้นจะเป็นอย่างไร ?[/b:05a77ad143">
--------------------------------------------------------------------------------

แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะสั้นยังคงเป็นการฟื้นตัวของดัชนีในทางขึ้นต่อ แต่นักลงทุนระยะสั้นอาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากแรงขายทำกำไรระยะสั้นเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อตลาดวิ่งหาแนวต้านบริเวณ 725 จุด ซึ่งคาดว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงทิศทางตลาดระยะสั้นในลักษณะของการปรับฐานราคาโดยการขายหุ้นออกและหาจังหวะในการลงทุนใหม่ เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นการปรับฐานราคาหรือปรับพอร์ตการลงทุนระยะสั้น

ถามว่าทำไมต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุน คำตอบคือ ราคาหุ้นระยะสั้นเคลื่อนมาบริเวณที่ราคาเริ่มอิ่มตัวและเริ่มใกล้เคียงหรือสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานทำให้นักลงทุนที่ใช้ Valuation มีการขายหุ้นออกเพื่อใช้เม็ดเงินที่ได้จากการขายไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่ราคายัง Undervalue เพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งเป็นพฤติกรรมปกติของตลาด นั่นคือ การมองหามูลค่าหรือผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับมูลค่าปัจจุบันของราคาหุ้น

ซึ่งปกติการปรับพอร์ตการลงทุนนั้น ตัวแปรที่ช่วยในการตัดสินใจโดยปกติคือ ผลตอบแทนที่ต้องการ เช่น หากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนในอัตรา 5 -10% ดังนั้นเมื่อหุ้นตัวที่ถือให้ผลตอบแทนในอัตราดังกล่าวก็จะมีการ ขายหุ้นออก แต่นักลงทุนบางคนอาจจะยังไม่ตัดสินใจทันทีหากมองว่าแนวโน้มตลาดยังคงแจ่มใสและมีโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่า แต่โดยสรุปการขายหุ้นเพื่อทำกำไรดูเทียบกับราคาเป้าหมาย
และดูปัจจัยทางเทคนิคโดยเฉพาะหุ้นที่เคลื่อนใกล้แนวต้านสำคัญ หรืออีกตัวแปรหนึ่งคือ พิจารณาตามจิตวิทยาตลาด เช่น หุ้นต่างประเทศตกรุนแรงและกระทบเชิงลบต่อบรรยากาศการลงทุน หรือมีข่าวร้ายเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัท ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้นักลงทุนมีการตัดสินใจขายหุ้นออกเร็วกว่าที่วางแผนไว้

สำหรับภาพดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้นเคลื่อนไหวในกรอบ 690 -725 จุด สำหรับภาพระดับรายวันเชื่อว่าตลาดหุ้นเคลื่อนตัวมาบริเวณจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกครั้ง เพราะการที่ดัชนีเคลื่อนไหวเข้าใกล้แนวต้านนั้นจะมีแรงขายทำกำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งสัญญาณทางเทคนิคของดัชนีรายวันก็เคลื่อนตัวมาบริเวณแนวที่ไก่ทองเรียกว่า
?ไต่หลังคาเล่น? นั่นคือ หุ้นยังคงปรับตัวขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะติดหุ้นได้หากสถานการณ์พลิกผัน
เพราะเป็นจุดสูงสุดของหุ้นส่วนใหญ่ในระยะสั้น ทำให้เมื่อมีเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะทำให้นักลงทุนรีบขายหุ้นออกเพื่อทำกำไร หรือลดความเสี่ยง หรือเพื่อสร้าวงโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ในหุ้นตัวอื่นที่ยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม

ภาพดัชนีในระดับสัปดาห์นั้น ส่วนใหญ่ยังฟ้องว่าทิศทางตลาดปัจจุบันยังเป็นแนวโน้มการฟื้นตัวทางเทคนิคที่ดำเนินต่อไป แต่ต้องยอมรับว่าการฟื้นตัวในรอบปัจจุบันยังไม่ใช่การฟื้นตัวที่รุนแรงและรวดเร็วมากนัก สังเกตจากมูลค่าการซื้อขายที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท และสัญญาณทางเทคนิคในรายสัปดาห์คือ MACD ยังต่ำกว่าระดับ Zero Line ซึ่งยังฟ้องว่าภาพที่มองดูว่าดีนั้น ยังเป็นเพียงแค่ลูกกระทิงตัวเล็ก ๆ
มากกว่ากระทิงตัวโตที่พร้อมจะวิ่งอย่างรุนแรง ซึ่งจุดนี้เองจึงเป็นจุดที่ ทำให้ตลาดระยะสั้นมีความ ?หนืด? กล่าวคือ ราคาหุ้นไม่ได้พุ่งแบบพรวดพลาดแต่ค่อย ๆ ขึ้น และขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ ดังนั้นการแก้คือ การปรับฐานราคาเพื่อสร้างแรงซื้อใหม่ให้กลับเข้าตลาดอีกครั้งซึ่งเมื่อหุ้นผ่านการปรับตัวแล้วจะทำให้มุมมองของนักลงทุนมีความกล้ามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของหุ้นนั้น หากกระแสตลาดโลกไม่รุนแรงนัก จะเป็นได้ในสองลักษณะ คือการปรับตัวรุนแรงทั้งตลาด หรือการปรับฐานราคาระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย เช่น การย้ายกลุ่มลงทุนจากหุ้นที่ราคาวิ่งแรงไปยังหุ้นที่ยังไม่ได้วิ่ง หรือการเปลี่ยนตัวเล่นอะไรทำนองนั้น ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะทำให้ภาพดัชนีโดยรวมไม่ตกต่ำมาก และอาจจะขึ้นด้วยซ้ำ แต่หากนักลงทุนพิจารณาในแง่รายละเอียดของหลักทรัพย์แต่ละตัวจะพบว่า
?การจะหาหุ้นที่ทำกำไรได้? ในระหว่างการซื้อขายค่อนข้างยากเย็น นี่ต่างหากที่เป็นตัวฟ้องว่าตลาดนั้นอยู่ในภาวะที่ ?หาปลาในซอกหิน? แต่ก็ยังพอมีปลาที่ให้ผลตอบแทนสูงให้เช่นกัน แต่ต้องการทักษะในการจับปลาที่เก่งหน่อย ซึ่งจะต่างกับในช่วงที่หุ้นเริ่มฟื้นตัวระยะแรก ๆ ที่จับหุ้นตัวไหนก็สามารถให้ผลตอบแทนได้ไม่มากก็น้อย

ดังนั้นบทสรุปสำหรับการลงทุนช่วงนี้คือ กรอบการเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 690 -725 หากไม่ผ่านแนวต้านบริเวณเหนือ 715 จุดขึ้นไปจะเป็นจุดขายทำกำไรหรือขายหยุดการขาดทุน แล้วถือเงินสดเพื่อรอจังหวะการลงทุนใหม่ โดยเลือกถือหุ้นเป็นรายตัว สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่ายังมีศักยภาพของการฟื้นตัวคือ กลุ่มเดินเรือ กลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมีบางตัว และหุ้นปัจจัยพื้นฐานที่ฐานะการเงินดีแต่ราคายังทรง ๆ
ตัวจะเป็นเหมือนหุ้นที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนมีการพักเงินโดยไม่เหนื่อยมากนัก

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com