อาฟง สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,238 | #2 วันที่: 09/08/2006 @ 08:47:47 : re: DSGT ประเดิมเข้าเทรดวันนี้ IPO3.20 ภาระผูกพัน
1. ที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักรผลิตผ้าอ้อมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ จำนวนอย่างละ 1 เครื่อง ติดภาระจำนอง
เป็นหลักประกันเงินกู้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่งโดยมีมูลค่าจำนองรวม 78 ล้านบาท
2. ที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักรผลิตผ้าอ้อมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ที่ซื้อมาเพิ่มของบริษัทฯ จำนวนอย่างละ 1
เครื่อง ติดภาระจำนองเป็นหลักประกันเงินกู้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่งโดยมีมูลค่าจำนองรวม 393 ล้านบาท
ปัจจัยเสี่ยง
1. ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
วัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในการผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ได้แก่ เยื่อกระดาษ (Wood Pulp) แผ่นส่ง/กั้นความชื้น
(Non Woven) และสารดูดซับความชื้น (Super Absorbent Polymer: SAP) โดยวัตถุดิบทั้ง 3 ชนิดข้างต้นคิดเป็นกว่าร้อยละ 50
ของต้นทุนวัตถุดิบทั้งหมด วัตถุดิบเหล่านี้มีลักษณะเป็นสินค้า Commodity และเป็นวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นต้นทุน
วัตถุดิบดังกล่าวมีการอ้างอิงกับราคาของตลาดโลกและมีการผันแปรตามหลายปัจจัยเช่น ราคาน้ำมัน เป็นต้น ทั้งนี้ความผันผวน
ของราคาวัตถุดิบจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตและกำไรขั้นต้นของบริษัทฯและบริษัทย่อย
ราคาเยื่อกระดาษ ค่อนข้างคงที่ในปี 2548 และในครึ่งปีแรก ของปี 2549 โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยในกรอบไม่เกิน
ร้อยละ 5 เนื่องจากราคาเยื่อกระดาษได้รับผลกระทบไม่มากนักจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ทั้งนี้ถึงแม้ว่าผู้จำหน่ายบางรายได้
ประกาศขึ้นราคาเยื่อกระดาษ ดังนั้นบริษัทฯคาดว่าราคาจะสูงขึ้นในไตรมาส 3 ปี 2549 นอกจากนี้จากภาวะอุตสาหกรรมคาดว่า
ถึงแม้ว่าความต้องการเยื่อกระดาษในประเทศจีนจะมีสูงขึ้น แต่ผู้ผลิตก็เร่งดำเนินการผลิตเพื่อให้มีเยื่อกระดาษเพียงพอกับความ
ต้องการของผู้บริโภค ทำให้บริษัทฯคาดว่าราคาเยื่อกระดาษจะเปลี่ยนแปลงไม่มากนักในอีก 12 เดือนข้างหน้า
ราคาสารดูดซับความชื้น (Super Absorbent Polymer: SAP) ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน
โดยในครึ่งปีแรกของปี 2549 ราคาสารดูดซับความชื้นเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปี 2548 อย่างไรก็ตามเนื่องจากบริษัทฯ
และบริษัทแม่ ได้มีการต่อรองราคากับผู้จำหน่ายภายใต้ปริมาณการซื้อขายของกลุ่มบริษัท DSGIF ทำให้บริษัทฯได้รับผลกระทบ
จากการเพิ่มขึ้นของราคา สารดูดซับความชื้นเพียงร้อยละ 9.5 ถึงแม้ว่าราคาของสารดูดซับความชื้นจะสูงแต่ก็ค่อนข้างคงที่ ทั้งนี้
จากการเพิ่มขึ้นของโรงงานและความสามารถในการผลิต โดยเฉพาะในประเทศจีน ทำให้บริษัทฯคาดว่าราคาสารดูดซับความชื้น
จะค่อนข้างคงที่หรือปรับลดลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2549
ราคาแผ่นส่ง/กั้นความชื้นข้างคงที่ตั้งแต่ปี 2548 ทั้งนี้ความสามารถในการผลิตวัตถุดิบดังกล่าวในภูมิภาคเอเชียสูงขึ้นโดย
ตลอด ทำให้บริษัทฯไม่คาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของราคาวัตถุดิบดังกล่าวในอีก 12 เดือนข้างหน้า
ในปี 2546 ถึงปัจจุบัน บริษัทฯได้ประสบกับปัญหาราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการ
ลดความเสี่ยงและผลกระทบจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบดังกล่าว DSGIF ในฐานะเป็นบริษัทแม่ได้เจรจาต่อรองกับผู้จัด
จำหน่ายวัตถุดิบให้กับบริษัทในเครือทั้งหมด (รวมถึงบริษัทฯและบริษัทย่อย) โดย DSGIF ได้เข้าทำสัญญาซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าจาก
ผู้จัดจำหน่ายหลายรายโดยตกลงราคาและจำนวนวัตถุดิบที่จะซื้อทั้งหมดในระยะเวลา 6 ? 12 เดือนโดยบริษัทในเครือจะส่ง
ปริมาณวัตถุดิบที่ต้องการสั่งซื้อไปยัง DSGIF เพื่อรวบรวมและส่งคำสั่งซื้อไปยังผู้จัดจำหน่าย ทั้งนี้การจัดส่งวัตถุดิบและการเรียก
เก็บเงินจะกระทำระหว่างผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบแต่ละรายกับบริษัทที่มีความต้องการซื้อวัตถุดิบโดยตรง การทำสัญญาดังกล่าวช่วย
ให้บริษัทฯและบริษัทย่อยสามารถประมาณต้นทุนวัตถุดิบและลดความผันผวนในการบริหารต้นทุนและสามารถบริหารวัตถุดิบ
คงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นประโยชน์ในการวางแผนด้านรายได้ต่อไป อย่างไรก็ตามการกระจายการสั่งซื้อและการเข้า
ทำสัญญาซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าดังกล่าวข้างต้นมิได้เป็นการประกันว่าบริษัทฯและบริษัทย่อยจะสามารถกำจัดความผันผวนของราคา
วัตถุดิบได้ทั้งหมด
2. ความเสี่ยงจากการพึ่งพา DSGIF ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ
บริษัทฯเป็นบริษัทย่อยของ DSGIF ที่ดำเนินธุรกิจและมีบริษัทในเครือที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผ้าอ้อมสำเร็จรูป
สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ บริษัทฯและบริษัทย่อยต้องพึ่งพา DSGIF ในการดำเนินกิจการดังนี้
1) การจัดหาวัตถุดิบ: DSGIF ได้เข้าทำสัญญาเกี่ยวกับการจัดซื้อวัตถุดิบของทั้งกลุ่มบริษัทในเครือของ DSGIF กับผู้จัด
จำหน่ายวัตถุดิบ โดยสัญญาดังกล่าวครอบคลุมถึงการซื้อวัตถุดิบของบริษัทฯและบริษัทย่อยด้วย การรวมความต้องการวัตถุดิบ
ดังกล่าวเป็นการสร้างอำนาจการต่อรองในการเจรจากับผู้จัดจำหน่าย ทั้งนี้ราคาของวัตถุดิบที่ DSGIF ได้ตกลงไว้กับผู้จัดจำหน่าย
วัตถุดิบอาจแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค เนื่องจากความต้องการและค่าขนส่งในแต่ละภูมิภาคไม่เท่ากัน
2) การวิจัยและพัฒนา : การวิจัยและพัฒนา ของบริษัทฯและบริษัทย่อยจะกระทำโดย DSGIF ซึ่งเป็นบริษัทแม่ โดย
บริษัทแม่ได้พยายามพัฒนา และ/หรือสรรหานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อผลิตภัณฑ์ใหม่หรือเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผ้าอ้อมสำเร็จรูป
สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ชนิดใหม่ ทั้งนี้บริษัทฯและบริษัทย่อยสามารถใช้หรือประยุกต์นวัตกรรมใหม่หรือวัตถุดิบใหม่ที่พัฒนาได้
หากบริษัทฯและบริษัทย่อยเห็นว่านวัตกรรมหรือวัตถุดิบดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯและบริษัทย่อย
ทั้งนี้ DSGIF จะเรียกเก็บค่าใช้นวัตกรรมหรือวัตถุดิบดังกล่าวในราคาทุนสำหรับบริษัทในเครือของ DSGIF
3) การให้บริการการบริหารจัดการ : DSGIF ให้ความช่วยเหลือบริษัทฯและบริษัทย่อยในด้านการบริหารจัดการ ทั้งใน
ด้านการเงิน (ศึกษาโครงสร้างทางการเงินและให้คำแนะนำตลอดจนให้การสนับสนุนในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการ
ขยายธุรกิจ) การดำเนินงาน (ติดตามและให้การสนับสนุนด้านการบริหารงานในการดำเนินธุรกิจปกติ) การประชาสัมพันธ์
(วางแผนการตลาดและกิจกรรมเสริมสร้างความรู้จักในยี่ห้อผลิตภัณฑ์ (Brand Building Campaign)) งานเลขานุการ (ดูแล
ให้บริษัทฯและบริษัทย่อยปฏิบัติงานให้เป็นไปตามกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง) งานทรัพยากรบุคคล (จัดให้มีการฝึกอบรม
พนักงานที่เหมาะสม) โดยบริษัทฯและบริษัทย่อยจะจ่ายค่าบริการดังกล่าวในรูปของค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management
Fees) อย่างไรก็ตาม อัตราค่าธรรมเนียมการจัดการของบริษัทฯและบริษัทย่อยในประเทศไทยสูงกว่าบริษัทย่อยอื่นเนื่องจากเป็น
บริษัทร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่าง DSGIF และหุ้นส่วนท้องถิ่น (Local Partner) โดยบริษัทแม่ได้ให้บริการแก่บริษัทฯและ
บริษัทย่อยในประเทศไทยมากกว่าบริษัทย่อยในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีลักษณะเป็นบริษัทร่วมทุนเช่นกัน เนื่องจากหุ้นส่วน
ท้องถิ่นในประเทศอินโดนีเซียได้ให้ความช่วยเหลือในด้านการจัดการแก่บริษัทในอินโดนีเซีย ทั้งนี้สัญญาดังกล่าวจะต่ออาย
อัตโนมัติ ยกเว้นในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งความประสงค์จะยกเลิกสัญญา เป็นลายลักษณ์อักษรให้คู่สัญญาทราบ
ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 12 เดือนก่อนวันสิ้นสุดสัญญา ซึ่งหากมีการยกเลิกสัญญาจริงระยะเวลาดังกล่าวน่าจะเพียงพอที่บริษัทฯ
และบริษัทย่อย จะสามารถปรับปรุงและเตรียมพร้อมในการบริหารจัดการด้วยตนเอง
4) การให้สิทธิในการใช้เครื่องหมายการค้า : DSGIF ได้อนุญาตให้บริษัทฯและบริษัทย่อย ใช้เครื่องหมายการค้าที่
DSGIF เป็นเจ้าของ โดยบริษัทฯและบริษัทย่อยจะจ่ายค่าลิขสิทธิ์ดังกล่าวในรูปของค่าธรรมเนียมการใช้เครื่องหมายการค้า
(Royalty Fees) ทั้งนี้บริษัทฯและบริษัทย่อยในประเทศไทยและมาเลเซียได้รับการผ่อนผันยกเว้นค่าธรรมเนียมสิทธิใน
การใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันที่ 1 มกราคม 2548 ซึ่งหากบริษัทฯและบริษัทย่อย ไม่ได้รับสิทธิ
ในการใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวข้างต้น อัตรากำไรสุทธิในปี 2548 ของบริษัทฯและบริษัทย่อยจะลดลงจากร้อยละ
4.68 เหลือร้อยละ 1.88
5) การให้การสนับสนุนทางการเงิน : DSGIF ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทฯและบริษัทย่อย เช่น การให้
กู้ยืมเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียน การให้กู้ยืมเพื่อซื้อเครื่องจักร โดยไม่มีกำหนดเวลาชำระคืน ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2549 บริษัทฯ
และบริษัทย่อย มียอดการกู้ยืมสุทธิหลังหักยอดที่ DSGIF และบริษัทในเครือเป็นลูกหนี้บริษัทฯและบริษัทย่อยเท่ากับ 20.62
ล้านบาท
จากการพึ่งพา DSGIF ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเห็นว่าหากบริษัทฯหรือบริษัทย่อยไม่ได้รับการสนับสนุนจาก DSGIF
แล้ว ฐานะทางการเงินและผลการดำเนินการของบริษัทฯหรือบริษัทย่อยอาจได้รับผลกระทบในทางลบอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม
ในฐานะที่ DSGIF เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ บริษัทฯเชื่อว่า DSGIF ย่อมพร้อมให้การสนับสนุนในเรื่องการดำเนินงานใน
ด้านต่างๆของบริษัทฯและบริษัทย่อยอย่างต่อเนื่อง
3. ความเสี่ยงจากการที่บริษัทที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ DSGIF ดำเนินธุรกิจเดียวกัน
DSGIF ซึ่งเป็นบริษัทแม่มีบริษัทในเครืออื่นนอกเหนือจากบริษัทฯและบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจเดียวกับธุรกิจผลิตและ
จำหน่ายผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กและผู้ใหญ่เช่นเดียวกับบริษัทฯและบริษัทย่อยจึงอาจถือได้ว่ามีการแข่งขันกันทางธุรกิจ โดย
บริษัทในเครือดังกล่าวซึ่ง DSGIF เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา (จำนวน 2 บริษัท) ฮ่องกง (จำนวน 1 บริษัท) และ
สาธารณรัฐประชาชนจีน (จำนวน 1 บริษัท) นอกจากนี้กรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทฯและบริษัทย่อยบางท่านดำรงตำแหน่ง
เป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่เกี่ยวข้อง
DSGIF ได้กำหนดขอบเขตการตลาดสำหรับบริษัทในเครือไว้อย่างชัดเจน โดย DSGIF ได้มีหนังสือรับรอง (Undertaking
Letter) ถึง DSGT ยืนยันว่า DSGIF และบริษัทในเครือของ DSGIF จะไม่ทำการแข่งขันหรือยินยอมหรืออนุญาตให้บุคคลอื่นใช้
เครื่องหมายการค้าเพื่อมาแข่งขันกับ DSGT และบริษัทย่อยของ DSGT ในเขตที่ DSGT และบริษัทย่อย ได้รับสิทธิในการใช้
เครื่องหมายการค้า (Licensed Territory) ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ เว้นแต่การขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะ
กระทำผ่าน DSGT และ/หรือบริษัทย่อย ทั้งนี้จนกว่าจะสิ้นสุดสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าว นอกจากนี้การที่
บริษัทฯและบริษัทย่อยมีโรงงานผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปกระจายอยู่ถึงสามประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้บริษัทฯ
และบริษัทย่อยได้เปรียบ DSGIF และบริษัทในเครือของ DSGIF ในการแข่งขันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจาก
สามารถบริหารต้นทุนค่าขนส่งที่ใช้ในการส่งออกได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า และจากการที่บริษัทฯและบริษัทย่อยซึ่งตั้งอยู่ใน
ประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นสมาชิกอาเซียน (ASEAN) ทำให้บริษัทฯและบริษัทย่อยได้รับประโยชน์
จากการจัดตั้งเขตการค้าเสรีของอาเซียนหรืออาฟต้า (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ซึ่งรวมถึงการลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่
บริษัทฯหรือบริษัทย่อยส่งออกไปยังประเทศสมาชิก ASEAN อื่น จากเหตุผลดังกล่าวบริษัทฯและบริษัทย่อยเชื่อว่าบริษัทฯและ
บริษัทย่อยมีศักยภาพในการแข่งขันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหนือกว่า DSGIF และบริษัทในเครือของ DSGIF
บริษัทฯและบริษัทย่อยอาจพิจารณาส่งออกสินค้าไปยังประเทศนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หากมีกำลังการผลิต
เหลือจากการขายในภูมิภาค ซึ่งในปัจจุบันการส่งออกสินค้าไปยังประเทศนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีปริมาณน้อย
อย่างไรก็ตามการจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศ (นอกเหนือจากประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย) ที่มีบริษัทใน
เครือของ DSGIF เป็นตัวแทนจำหน่าย บริษัทฯและบริษัทย่อยจะต้องจำหน่ายผ่านตัวแทนในประเทศนั้นเท่านั้น ทั้งนี้บริษัทฯและ
บริษัทย่อยมีนโยบายการกำหนดราคาขายทั้งที่เป็นการขายผ่านหรือไม่ผ่านตัวแทนจำหน่ายที่เป็นบริษัทในเครือของ DSGIF ตาม
หลักเกณฑ์เดียวกัน โดยกำหนดอัตรากำไรขั้นต่ำเท่ากัน
4. ความเสี่ยงจากการแข่งขันในตลาด
ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปในปัจจุบันมีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้มีการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งการแข่งขันด้านราคา
และการนำกลยุทธ์ทางการตลาดต่างๆมาใช้ คู่แข่งในตลาดที่สำคัญของบริษัทฯและบริษัทย่อยได้แก่ 1) บริษัท ยูนิชาร์ม จำกัด
(UNCH) ผู้ผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กยี่ห้อมามี่โพโค 2) บริษัท เอส ซี เอ จำกัด (SCA) ผู้ผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับ
เด็กยี่ห้อดรายส์เพอร์ ในภูมิภาคเอเชีย 3) บริษัท คิมเบอร์ลี่ คลากส์ จำกัด (KMB) ผู้ผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กยี่ห้อฮักกี้
และ 4) บริษัท เดอะ พร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล จำกัด (P&G) ผู้ผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กยี่ห้อแพมเพอร์ ซึ่งทั้งสี่บริษัท
เป็นบริษัทใหญ่ที่มีอิทธิพลในการกำหนดราคาและปริมาณการขาย อีกทั้งมีงบประมาณการโฆษณาสูง นอกจากนี้ อาจมีผู้ประกอบการ
ซึ่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเด็กเข้ามาเป็นคู่แข่งรายใหม่ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยได้ โดยจากการทำการสำรวจตลาดของ
AC Neilsen ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2549 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีส่วนแบ่งตลาดสำหรับตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูป
สำหรับเด็กในประเทศไทยร้อยละ 19.00 เป็นที่ 2 รองจาก UNCH ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 46.00 สำหรับ SCA KMB และ
P&G มีส่วนแบ่งการตลาดเท่ากับร้อยละ 11.90 ร้อยละ 7.80 และร้อยละ 6.30 ตามลำดับ สำหรับส่วนแบ่งตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูป
สำหรับเด็กในมาเลเซีย บริษัทฯและบริษัทย่อยมีส่วนแบ่งการตลาดเท่ากับร้อยละ 10.50 เป็นที่ 3 รองจากยี่ห้อ SCA และ P&G
ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 28.60 และร้อยละ 10.60 ตามลำดับ สำหรับ KMB มีส่วนแบ่งการตลาดเท่ากับร้อยละ 9.30 สำหรับ
ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ในประเทศไทย บริษัทฯเป็นผู้นำตลาดโดยมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 67.60
เพื่อที่จะรักษาส่วนแบ่งตลาดและความเป็นผู้นำของตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ ตลอดจนการก้าวขึ้นมาเป็น
ผู้นำของตลาดผ้าอ้อมสำหรับเด็ก บริษัทฯและบริษัทย่อยได้เพิ่มงบประมาณทางการตลาด ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและ
ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการตลาดเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคซึ่งเป็นลูกค้าปัจจุบันของบริษัทฯและบริษัทย่อยระลึกถึงผลิตภัณฑ์ของ
บริษัทฯ และบริษัทย่อย (Brand Awareness) นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยให้ผู้บริโภคกลุ่มใหม่รู้จักสินค้าของบริษัทฯและบริษัทย่อย
เพิ่มมากขึ้นด้วย (Brand Building) การเพิ่มค่าใช้จ่ายดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ และ
บริษัทย่อย หากการโฆษณาและแผนส่งเสริมทางการตลาดของบริษัทฯและบริษัทย่อยมีผลทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นน้อยกว่าค่าใช้จ่าย
ทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการสนับสนุนบริษัทฯและบริษัทย่อยในด้านการลงทุนส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ และ
บริษัทย่อย DSGIF ได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้เครื่องหมายการค้า (Royalty Fees) กับผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศไทยและ
มาเลเซียเป็นเวลา 5 ปี เริ่มต้นในปี 2548
นอกจากนี้คุณสมบัติของผ้าอ้อมสำเร็จรูปยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ
และบริษัทย่อย ดังนั้นบริษัทฯและบริษัทย่อยซึ่งได้รับใบรับรองระบบบริหารงานคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9001:2000 จึงมี
กระบวนการควบคุมการผลิตให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและมาตรฐานตามที่กำหนดไว้และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค อีกทั้ง
DSGIF ในฐานะบริษัทแม่ได้พยายามศึกษาและค้นคว้าวิจัยเพื่อสรรหาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพ
เหนือคู่แข่ง ทั้งในด้านการซึมซับที่ดี การป้องกันการรั่วซึม และการลดผดผื่นคัน เป็นต้น
5. ความเสี่ยงจากการผิดสัญญาการอนุญาตให้ใช้แบบผลิตภัณฑ์ขอบขาด้านในของผ้าอ้อมสำเร็จรูป (Leg Cuff Design)
ปัจจุบัน บริษัทฯ และบริษัทย่อยดำเนินการผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปโดยใช้แบบผลิตภัณฑ์ขอบขาด้านในภายใต้สิทธิบัตร
ที่กำหนดในสัญญาระหว่าง DSGIF ในฐานะบริษัทแม่ของบริษัทฯ กับบริษัท เดอะ พร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล จำกัด (P&G)
ซึ่งกำหนดให้บริษัทในเครือของ DSGIF ซึ่งรวมถึงบริษัทฯ และบริษัทย่อย (ทั้งนี้ไม่ครอบคลุมถึง PTDSG (อินโดนีเซีย))
มีสิทธิในการใช้แบบผลิตภัณฑ์ขอบขาด้านในสำหรับผ้าอ้อมสำเร็จรูปภายใต้สิทธิบัตรที่ P&G เป็นเจ้าของ ทั้งนี้ DSGIF
จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทฯและบริษัทย่อยในอัตราเดียวกับที่ DSGIF ต้องชำระให้ P&G เพื่อนำส่งให้แก่ P&G ต่อไป
ค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะถูกบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางการตลาดของบริษัทฯและบริษัทย่อย
แม้ว่าบริษัทฯ และบริษัทย่อยจะได้ชำระค่าธรรมเนียมสิทธิในการใช้แบบผลิตภัณฑ์ขอบขาด้านในสำหรับผ้าอ้อมสำเร็จรูป
ให้แก่ DSGIF ครบตามจำนวนก็ตาม บริษัทฯและบริษัทย่อยอาจมีความเสี่ยงที่จะถูกระงับสิทธิในการใช้แบบผลิตภัณฑ์ขอบขา
ด้านในสำหรับของผ้าอ้อมสำเร็จรูปหาก DSGIF ไม่สามารถชำระค่าธรรมเนียมได้ครบถ้วนตามจำนวนที่กำหนดในสัญญาอัน
เนื่องมาจากกรณีที่ DSGIF และ/หรือบริษัทในเครืออื่นชำระค่าธรรมเนียมล่าช้าหรือไม่ครบถ้วนตามจำนวนที่กำหนด ซึ่งจะส่ง
ผลให้ DSGIF ผิดนัดชำระหนี้ และ P&G อาจบอกเลิกสัญญา และส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทในเครือจะไม่สามารถผลิตผ้าอ้อม
สำเร็จรูปโดยใช้แบบผลิตภัณฑ์ขอบขาด้านในภายใต้สิทธิบัตรได้ อย่างไรก็ตามโอกาสที่ DSGIF จะผิดนัดชำระหนี้ จนทำให้
P&G บอกเลิกสัญญานั้นเกิดขึ้นได้น้อยมาก เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจของ DSGIF ทั้งหมด
ทั้งนี้สิทธิบัตรที่บริษัทฯและบริษัทย่อยใช้จะหมดอายุในวันที่ 31 ตุลาคม 2550
6. ความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
บริษัทฯ และบริษัทย่อยอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุน
วัตถุดิบและกำไรขั้นต้นของบริษัทฯและบริษัทย่อย เนื่องจากบริษัทฯและบริษัทย่อยมีการสั่งซื้อวัตถุดิบต่างๆที่ใช้ในการผลิต ได้แก่
เยื่อกระดาษ (Wood Pulp) เทปกาว (Fastening Tape, Release Tape, และ Frontal Tape) หรือยางยืด (Waist Elastic) เป็นต้น ทั้งนี้
มูลค่าการนำเข้าและส่งออกของบริษัทฯ และบริษัทย่อยกว่าร้อยละ 90 เป็นเงินเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตามผลกระทบจากความผัน
ผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจากการสั่งซื้อวัตถุดิบดังกล่าวบางส่วนจะถูกชดเชยด้วยรายได้จากการส่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ และ
บริษัทย่อยออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่งจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน (Natural Hedge)
ถึงแม้ว่าปัจจุบัน บริษัทฯและบริษัทย่อยจะมีรายได้จากการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.79 ของรายได้จากการขาย
ทั้งหมด แต่ทั้งนี้ด้วยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากเครื่องจักรจำนวน 2 เครื่องที่ซื้อเพิ่มเติมในประเทศไทยทำให้บริษัทฯ สามารถ
บริหารสัดส่วนการขายภายในประเทศและการส่งออกผลิตภัณฑ์ให้ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนน้อยที่สุด
นอกจากผลกระทบที่มีต่อต้นทุนวัตถุดิบหลักแล้ว ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนยังส่งผลกระทบต่อการแสดงงบ
การเงินรวมของบริษัทฯ ด้วยเนื่องจากบริษัทฯต้องบันทึกการลงทุนในบริษัทย่อยต่างๆในงบการเงินของบริษัทฯ เป็นเงินบาท
จากงบการเงินระหว่างกาลสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2549 บริษัทฯและบริษัทย่อย ไม่มียอดเงินกู้ยืม
ระยะสั้นและระยะยาวที่เป็นเงินเหรียญสหรัฐทั้งหมด และบริษัทฯและบริษัทย่อยไม่มีการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ
ล่วงหน้า (Forward Contract) แต่ประการใด
7. ความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และปัจจัยอื่นๆ ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บริษัทฯมีบริษัทย่อยซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย
และสิงคโปร์โดยมียอดขายคิดเป็นประมาณร้อยละ 48.88 ของยอดขายทั้งหมดของบริษัทฯ จากงบการเงินระหว่างกาล สำหรับ
งวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2549 ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจ การเมือง การต่อต้านการก่อการร้าย
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษี การกีดกันทางการค้าของประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือสิงคโปร์ อาจส่งผลกระทบต่อ
การดำเนินงานของบริษัทฯและบริษัทย่อย
อย่างไรก็ตามบริษัทฯและบริษัทย่อยเชื่อว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ
บริษัทฯและบริษัทย่อยไม่มากนักเนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯและบริษัทย่อยเป็นสินค้าอุปโภคและบริโภคที่มีความจำเป็นต่อ
การดำรงชีวิตของประชาชนทั่วไป ซึ่งน่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวน้อยกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย นอกจากนี้ บริษัทฯและ
บริษัทย่อยยังมีผลิตภัณฑ์ในระดับต่างๆ ทั้งในระดับบน ระดับกลางและระดับล่างเพื่อสนองความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุม
ทุกกลุ่มด้วย
นอกจากนี้ DSGML (มาเลเซีย-จำหน่าย) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการการลงทุนโดยชาวต่างชาติ
(Foreign Investment Committee: FIC) ได้ประกาศใช้แนวทางการลงทุนของชาวต่างชาติ (FIC Guideline) โดยกำหนดให้มี
ชาวมาเลเซีย (Bumiputera) ถือหุ้นในนิติบุคคลสัญชาติมาเลเซียอย่างน้อยร้อยละ 30 อย่างไรก็ตาม FIC Guideline เป็นเพียง
แนวทางให้บริษัทที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลปฏิบัติตาม มิใช่การบังคับใช้ตามกฎหมาย ทั้งนี้ในกรณีที่ FIC Guideline มีผลบังคับ
ใช้เป็นกฎหมาย DSGML (มาเลเซีย-จำหน่าย) จะดำเนินการต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป
8. ความเสี่ยงจากการมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 50
บริษัทฯมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่งคือ DSGIF ซึ่งมีนายหวัง แบรนดอน ซุย-หลิง และครอบครัวถือหุ้นร้อยละ 49.07
ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วของ DSGIF ทำให้นายหวัง แบรนดอน ซุย-หลิง เป็นผู้มีอำนาจควบคุมใน DSGIF ตาม
คำจำกัดความในประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ กจ. 44/2543 เรื่องการยื่นและการยกเว้นการยื่น
แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2543 (รวมถึงที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม)
DSGIF ถือหุ้นในบริษัทฯ จำนวน 197.21 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 82.17 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ
ก่อนการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชน ทั้งนี้ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ (IPO)
สัดส่วนการถือหุ้นของ DSGIF ในบริษัทฯลดลงเหลือร้อยละ 65.74 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ทั้งนี้
สัดส่วนการถือหุ้นที่มากกว่ากึ่งหนึ่งดังกล่าวทำให้ DSGIF สามารถควบคุมมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้เกือบทั้งหมด เช่น เรื่องการ
แต่งตั้งกรรมการ หรือการขอมติในเรื่องอื่นที่ต้องใช้เสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ยกเว้นเรื่องที่กฎหมายหรือข้อบังคับ
บริษัทกำหนดให้ต้องได้รับเสียง 3 ใน 4 ของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ดังนั้นผู้ถือหุ้นรายอื่นจึงอาจไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียง
เพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลเรื่องที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เสนอได้
กรณีพิพาท -ไม่มี-
จำนวนพนักงาน
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2549 บริษัทฯมีพนักงานจำนวน 330 คน และบริษัทย่อยมีพนักงานจำนวนทั้งหมด 311 คน
ประวัติความเป็นมาโดยสรุป
ปี 2537
- เดือนพฤษภาคม จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็ก
และผู้ใหญ่
- นำเข้าผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กยี่ห้อฟิตตี้ เพ็ทเพ็ท เพื่อจำหน่ายในประเทศ
- เดือนตุลาคม ก่อสร้างโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู ตำบลแพรกษา อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ และ
ติดตั้งเครื่องจักรสำหรับผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็ก 1 เครื่องซึ่งมีกำลังผลิต 97.64 ล้านชิ้นต่อปี
- ลงทุนซื้อหุ้นสามัญรวมร้อยละ 49 ในบริษัท แอ๊ดว้านซ์ เวชภัณฑ์ จำกัด (AMS (ไทย)) ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทฯ
ในการจำหน่ายสินค้าในประเทศ จากครอบครัวอนุวงศ์นุเคราะห์
- นำเข้าเครื่องจักรสำหรับผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ 1 เครื่อง โดยใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ภายใต้ยี่ห้อดิสโป้123
แฮนดี้ เซอร์เทนตี้การ์ด และเซอร์เทนตี้ โดยเครื่องจักรดังกล่าวมีกำลังการผลิต 45.20 ล้านชิ้นต่อปี
ปี 2538
- นำเข้าผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กยี่ห้อเบบี้เลิฟ เพื่อจำหน่ายและขยายตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็ก
ในประเทศ
- เริ่มผลิตและจำหน่ายผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กภายในประเทศ
- เริ่มผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ยี่ห้อดิสโป้123
ปี 2540
- เริ่มผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ยี่ห้อแฮนดี้
ปี 2543
- เริ่มผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กยี่ห้อฟิตตี้เบสิคและผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ยี่ห้อ
เซอร์เทนตี้
ปี 2544
- เดือนกุมภาพันธ์ บริษัทฯได้รับใบรับรองระบบบริหารงานคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9001:2000
- เริ่มผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ยี่ห้อเซอร์เทนตี้การ์ด
ปี 2545
- เดือนตุลาคม ซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเขตประกอบการอุตสาหกรรม เอส ไอ แอล จังหวัดสระบุรี
ปี 2546
- เดือนพฤษภาคม ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนเพื่อโยกย้ายสถานประกอบการจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ทำให้บริษัทฯได้รับผลประโยชน์ทางภาษีจากรายได้ที่มาจากการประกอบธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
ปี 2547
- เดือนกรกฎาคม เริ่มย้ายเครื่องจักรที่มีอยู่ 2 เครื่องจากโรงงานเดิมที่นิคมอุตสาหกรรม บางปู มาติดตั้งที่โรงงาน
แห่งใหม่
- เดือนสิงหาคม เริ่มการผลิตสินค้าจากเครื่องจักรที่ย้ายมาจากนิคมอุตสาหกรรมบางปู
- เดือนกันยายน ซื้อเครื่องจักรสำหรับผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ที่ใช้แล้วเพิ่มอย่างละ 1 เครื่อง ซึ่ง
ภายหลังจากที่เครื่องจักรทั้งสองเครื่องดำเนินการผลิตได้บริษัทฯจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 200.70 ล้านชิ้นต่อปี และ 90.40
ล้านชิ้นต่อปีตามลำดับ
- เดือนพฤศจิกายน ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสำหรับเครื่องจักรที่ซื้อ
เพิ่มเติมทั้ง 2 เครื่อง
- เดือนธันวาคม เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 25 ล้านบาท เป็น 200 ล้านบาท โดยการออกหุ้นเพิ่มทุนเสนอขายแก่
ผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 1.75 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท โดยชำระค่าหุ้นส่วนหนึ่งจำนวน 1.03 ล้านหุ้นด้วยเงินสด และ
ชำระค่าหุ้นอีกส่วนหนึ่งจำนวน 0.72 ล้านหุ้นด้วยทรัพย์สิน ซึ่งได้แก่หุ้นของบริษัท ดิสโพสเซเบิล ซอฟท์ กู๊ด (มาเลเซีย) เอสดีเอน
บีเอชดี (DSGML (มาเลเซีย - จำหน่าย)) บริษัท ดีเอสจี (มาเลเซีย) เอสดีเอน บีเอชดี (DSGMSB (มาเลเซีย - ผลิต)) บริษัท
พีที ดีเอสจี เซอยา มาส อินโดนีเซีย (PTDSG (อินโดนีเซีย)) และบริษัท ดิสโพสเซเบิล ซอฟท์ กู๊ด (เอส) พีทีอี ลิมิเต็ด (DSGS
(สิงคโปร์)) และซื้อหุ้นสามัญที่เหลือร้อยละ 51 ในบริษัท แอ๊ดว้านซ์ เวชภัณฑ์ จำกัด (AMS (ไทย)) จากครอบครัวอนุวงศ์นุเคราะห์
ทำให้ภายหลังจากการเพิ่มทุนและการซื้อหุ้นส่วนที่เหลือของ AMS (ไทย) ดังกล่าว บริษัทฯจะถือหุ้นทั้งหมดใน DSGML
(มาเลเซีย - จำหน่าย) DSGMSB (มาเลเซีย - ผลิต) DSGS (สิงคโปร์) และ AMS (ไทย) และจะถือหุ้นร้อยละ 60 ใน PTDSG
(อินโดนีเซีย) (รวมเรียกทั้ง 5 บริษัทว่า บริษัทย่อย) เพื่อที่จะทำให้การจำหน่ายสินค้าของบริษัทฯและบริษัทย่อยสามารถ
ครอบคลุมได้ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น
- จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ จากหุ้นละ 100 บาทเป็นหุ้นละ 1.00 บาท
ปี 2548
- เดือนมกราคม เริ่มการผลิตสินค้าจากเครื่องจักรสำหรับผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กที่ซื้อเพิ่ม
- เดือนกุมภาพันธ์ โอนธุรกิจเกี่ยวกับการบริการด้านการตลาดและการจัดจำหน่ายที่ AMS (ไทย) กระทำอยู่ให้แก่บริษัทฯ
เป็นที่เรียบร้อย
- เดือนมีนาคม ติดตั้งเครื่องจักรสำหรับผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ที่ซื้อเพิ่มแล้วเสร็จ
- เดือนเมษายน เริ่มการผลิตสินค้าจากเครื่องจักรสำหรับผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ที่ซื้อเพิ่ม
ปี 2549
- เดือนมิถุนายนเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 200 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท โดยการจัดสรรหุ้นสามัญใหม่จำนวน 40
ล้านหุ้นเพื่อรองรับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 9 มิถุนายน 2549 เป็นหุ้นสามัญในอัตราหุ้นเดิม 5 หุ้นต่อหุ้นปันผล 1 หุ้น
คิดเป็นเงินปันผล 40 ล้านบาท และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท เพื่อเสนอขายต่อ
ประชาชน ทำให้ภายหลังจากการเพิ่มทุนดังกล่าวบริษัทฯมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 300
ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วมูลค่า 300 ล้านบาท
เงินลงทุนในบริษัทย่อย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2549 ปรากฏดังนี้
บริษัทร่วม/บริษัทที่เกี่ยวข้อง หน่วย: ล้านบาท
ประเภทกิจการ ทุนชำระแล้ว ร้อยละ มูลค่าเงินลงทุน
ชื่อบริษัท และลักษณะธุรกิจ ของหุ้นที่ถือ (ตามราคาทุน)
1. บริษัท แอ๊ดว้านซ์ เวชภัณฑ์ จำกัด จำหน่ายผ้าอ้อมสำเร็จรูป 4.00 ล้านบาท 99.85 7.557
2. บริษัท ดิสโพสเซเบิล ซอฟท์ กู๊ด จำหน่ายผ้าอ้อมสำเร็จรูป 3.00 ล้านริงกิต 100.00 4.827
(มาเลเซีย) เอสดีเอน บีเอชดี
3. บริษัท ดีเอสจี (มาเลเซีย) ผลิตและจำหน่าย 3.40 ล้านริงกิต 100.00 73.968
เอสดีเอน บีเอชดี ผ้าอ้อมสำเร็จรูป
4. บริษัท พีที ดีเอสจี เซอยา มาส ผลิตและจำหน่าย 7.21 พันล้านรูเปีย 59.97 26.885
อินโดนีเซีย ผ้าอ้อมสำเร็จรูป
5. บริษัท ดิสโพสเซเบิล ซอฟท์ กู๊ด จำหน่ายผ้าอ้อมสำเร็จรูป 1.50 ล้าน 100.00 14.020
(เอส) พีทีอี ลิมิเต็ด เหรียญสิงค์โปร์
การเพิ่ม (ลด) ทุนในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา
วัน/เดือน/ปี ทุนที่ (ลด) เพิ่ม หลังเพิ่ม (ลด) ทุน หมายเหตุ/วัตถุประสงค์การใช้เงิน
ธันวาคม 2547 +175 ล้านบาท 200 ล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทฯ
มิถุนายน 2549 +100 ล้านบาท 300 ล้านบาท เพื่อจ่ายหุ้นปันผล 40 ล้านบาทและเสนอขายต่อ
ประชาชน (IPO) 60 ล้านบาท โดยนำเงินที่ได้ไปชำระ
คืนเงินกู้และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
รอบระยะเวลาบัญชี 1 มกราคม - 31 ธันวาคม
ผู้สอบบัญชี ดร.ศุภมิตร เตชะมนตรีกุล สำนักงาน บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด
นายทะเบียนหุ้น บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด
ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
นโยบายการจ่ายเงินปันผล
บริษัทฯมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากหักเงินสำรองตามจำนวนที่
กฎหมายกำหนดรวมถึงเงินสำรองทุกประเภทที่บริษัทฯได้กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับ
แผนการลงทุน ความจำเป็น และความเหมาะสมอื่นๆ ในอนาคต ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นจะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินปันผลจากกิจการ
ที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ไปรวมคำนวณเพื่อเสียเงินได้ตลอดระยะเวลาที่ได้รับ
การยกเว้นภาษีนั้น
บริษัทย่อยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังหักเงินสำรองตามจำนวนที่กฎหมาย
กำหนดรวมถึงเงินสำรองทุกประเภทที่บริษัทย่อยได้กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับแผนการ
ลงทุน ความจำเป็น และความเหมาะสมอื่นๆ ในอนาคต
ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลจากบริษัทย่อยในมาเลเซียและสิงคโปร์ให้แก่บริษัทฯสามารถจ่ายได้เต็มจำนวนโดยไม่มีการหัก
ภาษี ณ ที่จ่าย ส่วนการจ่ายเงินปันผลจากบริษัทย่อยในอินโดนีเซียให้แก่บริษัทฯ จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2549 บริษัทย่อยในอินโดนีเซียและสิงคโปร์มีขาดทุนสะสมจำนวน 8.53 ล้านบาท และ 32.96 ล้านบาท
ตามลำดับ จึงทำให้บริษัทย่อยในอินโดนีเซียยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่บริษัทฯได้จนกว่าจะมีผลกำไรจากการดำเนินงาน
มาล้างขาดทุนสะสมให้หมดไป นอกจากนี้จะต้องมีการกันเงินสำรองอย่างน้อยร้อยละ 20 ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วให้
ครบถ้วนก่อนการจ่ายเงินปันผลแต่ละคราว อย่างไรก็ตามบริษัทย่อยในสิงคโปร์สามารถจ่ายเงินปันผลจากผลกำไรภายหลังหัก
ภาษีเงินได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงยอดขาดทุนสะสมและการกันสำรองตามกฎหมาย
บัตรส่งเสริมการลงทุน
บริษัทฯ ได้รับสิทธิประโยชน์จาก คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ดังนี้:
1. บัตรส่งเสรมการลงทุนเลขที่ เลขที่ 7003(2)/2546 สำหรับการโยกย้ายสถานประกอบการเพื่อทำการผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูป
จากโรงงานที่บางปูมาที่เขตประกอบการอุตสาหกรรม เอส ไอ แอล จังหวัดสระบุรี บัตรลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2546 โดยให้มีผล
ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2546 และยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยมีรายละเอียดซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
โครงการที่ได้รับการส่งเสริม
- โรงงานในเขตประกอบการอุตสาหกรรม เอส ไอ แอล จังหวัดสระบุรี
ลักษณะโครงการที่ได้รับการส่งเสริม
- กิจการผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปประเภท 3.13 กิจการผลิตแผ่นซึมซับ ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดบางการซึ่งบริษัทได้
ดำเนินการครบตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว
ผลต่อการดำเนินธุรกิจและอายุสิทธิ
- ได้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวซึ่งเป็นช่างฝีมือและคู่สมรสเข้ามาทำงานได้ตามระยะเวลาและตำแหน่งหน้าที่ที่กำหนด
- อนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ตามจำนวนที่ BOI อนุญาต
- ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริมรวมกันไม่เกินร้อยละ
100 ของเงินลงทุน โดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนเป็นเวลา 7 ปี นับแต่เริ่มมีรายได้จากกิจการนั้น (ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม
2547)
- ผู้ถือหุ้นได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินปันผลจากกิจการที่ได้รับการส่งเสริม ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ไปรวม
คำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตลอดระยะเวลาที่ได้รับการยกเว้นภาษีนั้น (ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2547)
- ได้รับอนุญาตให้นำหรือส่งเงินออกนอกราชอาณาจักรเป็นเงินต่างประเทศได้ (โดยมีผลตั้งแต่ วันที่ 29 มกราคม 2546)
2. บัตรส่งเสรมการลงทุนเลขที่ เลขที่ 1041(2)/2548 สำหรับการลงทุนในกิจการผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับการซื้อเครื่องจักร
ที่ใช้แล้วเพื่อผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กและผู้ใหญ่เพิ่ม บัตรลงวันที่ 17 มกราคม 2548 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17
พฤศจิกายน 2547 โดยได้รับสิทธิและประโยชน์ตามรายละเอียดซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
โครงการที่ได้รับการส่งเสริม
- โรงงานในเขตประกอบการอุตสาหกรรม เอส ไอ แอล จังหวัดสระบุรี
- ลักษณะโครงการที่ได้รับการส่งเสริม
- กิจการผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปประเภท 3.13 กิจการผลิตแผ่นซึมซับ ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดบางการซึ่งบริษัทได้
ดำเนินการครบตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว
ผลต่อการดำเนินธุรกิจและอายุสิทธิ
- ได้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวซึ่งเป็นช่างฝีมือและคู่สมรสเข้ามาทำงานได้ตามระยะเวลาและตำแหน่งหน้าที่ที่กำหนด
- อนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ตามจำนวนที่ BOI อนุญาต
- ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริมรวมกันไม่เกินร้อยละ
100 ของเงินลงทุน โดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนเป็นเวลา 7 ปี นับแต่เริ่มมีรายได้จากกิจการนั้น (เครื่องจักรสำหรับผลิต
ผ้าอ้อมสำหรับเด็กเริ่มสิทธิประโยชน์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เครื่องจักรสำหรับผลิตผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่เริ่มสิทธิประโยชน์ตั้งแต่
วันที่ 9 กรกฎาคม 2548)
- ผู้ถือหุ้นได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินปันผลจากกิจการที่ได้รับการส่งเสริม ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ไปรวม
คำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตลอดระยะเวลาที่ได้รับการยกเว้นภาษีนั้น (เครื่องจักรสำหรับผลิตผ้าอ้อมสำหรับเด็กเริ่มสิทธิประโยชน์
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เครื่องจักรสำหรับผลิตผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่เริ่มสิทธิประโยชน์ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2548)
- ได้รับอนุญาตให้นำหรือส่งเงินออกนอกราชอาณาจักรเป็นเงินต่างประเทศได้
จำนวนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2549 ปรากฏดังนี้
จำนวนราย จำนวนหุ้น ร้อยละของทุน
ชำระแล้ว
1. ผู้ถือหุ้นสามัญที่เป็น
1.1 รัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ 0 0 0
1.2 กรรมการ ผู้จัดการ และผู้บริหาร รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง
และบุคคลที่มีความสัมพันธ์ 2 27,600,000 9.20
1.3 ผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้น > 5 % โดยนับรวมผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย 1 197,207,000 65.74
1.4 ผู้มีอำนาจควบคุม 0 0 0
1.5 ผู้ถือหุ้นที่มีข้อตกลงในการห้ามขายหุ้นภายในเวลาที่กำหนด 0 0 0
2. ผู้ถือหุ้นสามัญรายย่อยที่ถือไม่ต่ำกว่า 1 หน่วยการซื้อขาย 1,030* 75,193,000 25.06
3. ผู้ถือหุ้นสามัญที่ถือต่ำกว่า 1 หน่วยการซื้อขาย 0 0 0
รวมผู้ถือหุ้นสามัญทั้งสิ้น 1,033 300,000,000 100.00
* รวมผู้ถือหุ้นในส่วนที่เป็นกองทุนรวมซึ่งได้รับการผ่อนผันให้นับจำนวนผู้ถือหุ้นและอัตราส่วนการถือหุ้นในส่วนที่กองทุนรวม
ถืออยู่โดยนับเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย 10 รายต่อทุกร้อยละ 1 ของจำนวนหุ้นสามัญที่กองทุนรวมถืออยู่ ตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่ง
ประเทศไทย
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2549
ชื่อ จำนวนหุ้น ร้อยละของทุนชำระแล้ว
1. บริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด* 197,207,000 65.74
2. NTASIAN DISCOVERY MASTER FUND 14,999,000 5.00
3. OSK ASIA SECURITIES LIMITED 14,999,000 5.00
4. นายประพันธ์ อนุวงศ์นุเคราะห์* 13,800,000 4.60
5. นางสุวรรณา อนุวงศ์นุเคราะห์* 13,800,000 4.60
6. นายสุทธิวัฒน์ สุขกิจประเสริฐ 3,000,000 1.00
7. บริษัท กองทุนไทยแคปปิตอลฟันด์ 2,118,100 0.71
8. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานการไฟฟ้า
ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยซึ่งจดทะเบียนแล้ว 1,912,200 0.64
9. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ทวีทรัพย์ 3 1,796,900 0.60
10. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ทวีทรัพย์ 1,738,300 0.58
รวม 266,957,500 88.99
* ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการเสนอขายหลักทรัพย์
ผู้ถือหุ้นต่างด้าว ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2549
บริษัทมีผู้ถือหุ้นต่างด้าว 10 ราย ถือหุ้นรวมกัน 227,749,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 75.92 ของ
ทุนจดชำระแล้ว
หมายเหตุ ตามข้อบังคับของบริษัท บริษัทไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นต่างด้าว
คณะกรรมการ
ชื่อ ตำแหน่ง วันที่ดำรงตำแหน่ง
1. นายสุย ชุย ลัย ประธานกรรมการ 5 สิงหาคม 2537
2. นายเหลียง ยุก ฟง กรรมการ 5 สิงหาคม 2537
3. นายว่อง โป วา กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 25 ตุลาคม 2544
4. นายไพรัช อนุวงศ์นุเคราะห์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไป 5 สิงหาคม 2537
5. นายเฉิง ซิว เขิ่ง กรรมการและผู้จัดการ 19 มีนาคม 2546
ฝ่ายผลิตและลอจิสติกส์
6. นายสุขพร ชัชวาลาพงษ์ กรรมการ 16 ธันวาคม 2547
7. นายโดนัล เฮส ประธานกรรมการตรวจสอบ 16 ธันวาคม 2547
8. นางสาวสุชญา นพพิมาน กรรมการตรวจสอบ 22 มิถุนายน 2548
9. นางวีณา เลิศวรธรรม กรรมการตรวจสอบ 26 สิงหาคม 2548
หมายเหตุ กรรมการลำดับที่ 1, 2, 3 และ 5 เป็นตัวแทนจาก DSGIF
กรรมการลำดับที่ 4 เป็นตัวแทนจากคุณประพันธ์ อนุวงศ์นุเคราะห์และภรรยา
คณะกรรมการตรวจสอบ
ด้วยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2547 เมื่อวันที่
16 ธันวาคม 2547 และที่ประชุมผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2548 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2548 และ ครั้งที่ 2/2548 เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2548
ได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ โดยมีรายละเอียดดังนี้
รายนามคณะกรรมการตรวจสอบ
ประธานกรรมการตรวจสอบ นายโดนัล เฮส
กรรมการตรวจสอบ นางสาวสุชญา นพพิมาน
นางวีณา เลิศวรธรรม
เลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบ นางเหลียง เหว่ย หลิง
ขอบเขต หน้าที่ และความรับผิดชอบ
1. สอบทานให้บริษัทฯมีการรายงานทางการเงินอย่างถูกต้องและเพียงพอ
2. สอบทานให้บริษัทฯมีระบบการควบคุมภายใน (Internal Control) และการตรวจสอบภายใน (Internal Audit) ที่
เหมาะสมและมีประสิทธิผล
3. สอบทานให้บริษัทฯปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์
หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทฯ
4. พิจารณา คัดเลือก เสนอ แต่งตั้ง และเสนอค่าตอบแทนผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ
5. พิจารณาการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทฯในกรณีที่เกิดรายการที่เกี่ยวโยงกัน หรือรายการที่อาจมีความขัดแย้งทาง
ผลประโยชน์ให้มีความถูกต้องและครบถ้วน
6. จัดทำรายงานการกำกับดูแลกิจการของคณะกรรมการตรวจสอบโดยเปิดเผยไว้ในรายงานประจำปีของบริษัทฯ
ซึ่งรายงานดังกล่าวต้องลงนามโดยประธานกรรมการตรวจสอบ
7. ปฏิบัติการอื่นใดตามที่คณะกรรมการของบริษัทฯมอบหมายด้วยความเห็นชอบจากคณะกรรมการตรวจสอบ
วาระการดำรงตำแหน่ง
1. ประธานกรรมการตรวจสอบ 3 ปี
2. กรรมการตรวจสอบ 3 ปี
(รวมทั้งการแต่งตั้งเพิ่มและถอดถอนจากกรรมการตรวจสอบ)
เงื่อนไขในการรับหลักทรัพย์ (ถ้ามี) - ไม่มี -
ระยะเวลาห้ามจำหน่ายหุ้น
ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปที่ถือหุ้นจำนวน 195,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 65.00 ของทุนชำระแล้ว
หลังเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป ให้คำรับรองต่อตลาดหลักทรัพย์ว่าจะไม่นำหุ้นจำนวนดังกล่าวออกจำหน่ายเป็นระยะเวลา
1 ปี 6 เดือน นับแต่วันที่หลักทรัพย์ของบริษัทเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาทุกๆ 6 เดือน
ผู้ถือหุ้นดังกล่าวได้รับการผ่อนผันให้ทยอยขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ถูกสั่งห้ามขายได้ในจำนวนร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นหรือ
หลักทรัพย์ทั้งหมดที่ถูกสั่งห้ามขาย และเมื่อครบกำหนด 1 ปี 6 เดือนสามารถขายส่วนที่เหลือได้ทั้งหมด
การผ่อนผันของตลาดหลักทรัพย์ - ไม่มี -
อื่น ๆ ที่สำคัญ (ถ้ามี) - ไม่มี -
สถิติ
บริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ปี รายได้ กำไร(ขาดทุน) กำไร(ขาดทุน) เงินปันผล มูลค่าหุ้น เงินปันผล
จากการขาย สุทธิ สุทธิ (บาท/หุ้น) ตามบัญชี ต่อกำไร
(พันบาท) (พันบาท) (บาท/หุ้น) (บาท/หุ้น) (%)
2546 744,346 71,216 2.85 68.00 13.954* 23.87
2547 798,714 50,543 1.43 976.04 10.80** 482.77
2548 1,193,329 105,980 0.53 - 2.475** -
มี.ค. 2549 325,055 34,345 0.17 0.2*** 2.626** 116.46
(สอบทานแล้ว)
หมายเหตุ * มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ** มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท *** หุ้นปันผล
บริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
ปี รายได้ กำไร(ขาดทุน) กำไร(ขาดทุน) เงินปันผล มูลค่าหุ้น เงินปันผล
จากการขาย สุทธิ สุทธิ (บาท/หุ้น) ตามบัญชี ต่อกำไร
(พันบาท) (พันบาท) (บาท/หุ้น) (บาท/หุ้น) (%)
2546**** 1,990,288 110,251 0.55 0.08 1.53* 15.42
2547**** 2,188,970 94,981 0.47 1.22 1.909** 256.90
2548 2,246,763 105,980 0.53 - 2.475** -
มี.ค. 2549 618,937 34,345 0.17 0.2*** 2.626** 116.46
(สอบทานแล้ว)
หมายเหตุ * มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ** มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท *** หุ้นปันผล
**** มูลค่าจากงบการเงินรวมประหนึ่งทำใหม่ เสมือนมีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัท
ตั้งแต่ต้นปี 2546 ซึ่งจัดทำโดยผู้บริหารของบริษัทฯ เพื่อแสดงผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทฯ
สรุปข้อมูลงบดุลของบริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ปี (หน่วย: พันบาท) 2546 2547 2548 มี.ค. 2549
สินทรัพย์
สินทรัพย์หมุนเวียน
เงินสดและเงินฝากธนาคาร 24,957 22,215 51,600 50,493
ลูกหนี้การค้า 217,817 337,676 293,351 264,634
สินค้าคงเหลือ 84,361 90,486 142,265 133,819
สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 65,490 133,450 118,015 124,899
รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 392,624 583,826 605,231 573,846
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
เงินลงทุน 18,660 125,937 168,042 175,739
ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ 106,345 305,735 316,505 320,219
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น 3,193 165,674 164,700 146,283
รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 128,198 597,346 649,247 642,241
รวมสินทรัพย์ 520,822 1,181,172 1,254,478 1,216,087
หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
หนี้สินหมุนเวียน
เงินเบิกเกินบัญชี - 488,084 380,049 380,157
เจ้าหนี้การค้า 75,211 89,694 139,962 94,124
เจ้าหนี้บริษัทที่เกี่ยวข้อง 37,153 44,886 11,626 9,901
ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย 35,763 34,206 57,350 42,513
เงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนด
ชำระภายใน 1 ปี - 11,440 25,452 25,452
หนี้สินหมุนเวียนอื่น 23,846 32,449 3,971 4,088
รวมหนี้สินหมุนเวียน 171,973 700,759 618,410 556,234
หนี้สินไม่หมุนเวียน
เงินกู้ยืมระยะยาว - 98,560 141,108 134,745
รวมหนี้สินไม่หมุนเวียน - 98,560 141,108 134,745
รวมหนี้สิน 171,973 799,319 759,518 690,979
ส่วนของผู้ถือหุ้น
ทุนจดทะเบียน 25,000 250,000 250,000 250,000
ทุนชำระแล้ว 25,000 200,000 200,000 200,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้น - 65,294 65,294 65,294
ส่วนปรับปรุง - 3,176 10,303 6,106
กำไรสะสม 323,849 113,383 219,363 253,708
ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย - - - -
รวมส่วนของผู้ถือหุ้น 348,849 381,853 494,960 525,108
รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น 520,822 1,181,172 1,254,478 1,216,087
สรุปข้อมูลงบดุลของบริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
ปี (หน่วย: พันบาท) 2546* 2547* 2548 มี.ค. 2549
สินทรัพย์
สินทรัพย์หมุนเวียน
เงินสดและเงินฝากธนาคาร 121,036 121,356 111,697 110,190
ลูกหนี้การค้า 422,645 563,530 531,530 486,145
สินค้าคงเหลือ 211,762 227,584 284,796 273,663
สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 91,750 161,876 107,903 112,290
รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 847,193 1,074,346 1,035,925 982,288
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
เงินลงทุน - - - -
ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ 315,795 489,575 455,959 466,612
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น 4,977 4,988 11,438 5,801
รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 320,772 494,563 467,397 472,413
รวมสินทรัพย์ 1,167,965 1,568,909 1,503,323 1,454,701
หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
หนี้สินหมุนเวียน
เงินเบิกเกินบัญชี 310,000 488,171 380,049 380,157
เจ้าหนี้การค้า 294,672 296,701 300,605 237,204
เจ้าหนี้บริษัทที่เกี่ยวข้อง 22,202 56,297 25,867 20,853
ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย 126,616 117,735 117,692 111,008
เงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนด
ชำระภายใน 1 ปี 24,219 23,678 25,726 25,719
หนี้สินหมุนเวียนอื่น 58,035 92,020 11,321 10,789
รวมหนี้สินหมุนเวียน 835,744 1,074,603 861,260 785,730
หนี้สินไม่หมุนเวียน
เงินกู้ยืมระยะยาว 12,110 99,385 141,687 135,242
รวมหนี้สินไม่หมุนเวียน 12,110 99,385 141,687 135,242
รวมหนี้สิน 847,854 1,173,988 1,002,947 920,972
ส่วนของผู้ถือหุ้น
ทุนจดทะเบียน 250,000 250,000 250,000 250,000
ทุนชำระแล้ว 200,000 200,000 200,000 200,000
ส่วนเกินมูลค่าหุ้น 65,294 65,294 65,294 65,294
ส่วนปรับปรุง 5,993 3,270 10,303 6,106
กำไรสะสม 35,290 113,270 219,363 253,708
ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย 13,534 13,087 5,416 8,621
รวมส่วนของผู้ถือหุ้น 320,111 394,921 500,376 533,729
รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น 1,167,965 1,568,909 1,503,323 1,454,701
หมายเหตุ * มูลค่าจากงบการเงินรวมประหนึ่งทำใหม่ เสมือนมีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทตั้งแต่
ต้นปี 2546 ซึ่งจัดทำโดยผู้บริหารของบริษัทฯ เพื่อแสดงผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทฯ
สรุปข้อมูลงบกำไรขาดทุน ของบริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ปี (หน่วย: พันบาท) 2546 2547 2548 มี.ค. 2549
รายได้
รายได้จากการขาย 744,345 798,714 1,193,329 325,055
รายได้อื่น 10,819 13,557 66,200 12,912
รวมรายได้ 755,164 812,271 1,259,529 337,967
ค่าใช้จ่าย
ต้นทุนขาย 511,825 573,933 762,533 204,313
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 143,795 167,465 359,719 90,777
รวมค่าใช้จ่าย 655,620 741,398 1,122,252 295,090
กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ 99,544 70,873 137,277 42,877
ดอกเบี้ยจ่าย 72 5,104 30,904 8,115
ภาษีเงินได้ 28,256 15,224 393 417
กำไรหลังดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ 71,216 50,544 105,980 34,345
กำไรสุทธิ 71,216 50,544 105,980 34,345
กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน (บาทต่อหุ้น) 2.85 1.43 0.53 0.17
สรุปข้อมูลงบกำไรขาดทุน ของบริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
ปี (หน่วย: พันบาท) 2546* 2547* 2548 มี.ค. 2549
รายได้
รายได้จากการขาย 1,990,288 2,188,970 2,246,763 618,937
รายได้อื่น 13,793 11,076 20,181 6,805
รวมรายได้ 2,004,081 2,200,046 2,266,945 625,742
ค่าใช้จ่าย
ต้นทุนขาย 1155,370 1,292,711 1,456,596 400,378
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 685,682 775,831 665,126 175,533
รวมค่าใช้จ่าย 1,841,052 2,068,542 2,121,722 575,911
กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ 163,029 131,504 145,223 49,832
ดอกเบี้ยจ่าย 4,011 7,099 31,262 8,123
ภาษีเงินได้ 50,876 29,872 15,652 4,158
กำไรหลังดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ 108,142 94,533 98,309 37,550
ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในกำไรสุทธิ
ของบริษัทย่อย 2,109 448 7,671 (3,205)
กำไรสุทธิ 110,251 94,981 105,980 34,345
กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน (บาทต่อหุ้น) 0.55 0.47 0.53 0.17
หมายเหตุ * มูลค่าจากงบการเงินรวมประหนึ่งทำใหม่ เสมือนมีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทตั้งแต่ต้นปี 2546
ซึ่งจัดทำโดยผู้บริหารของบริษัทฯ เพื่อแสดงผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทฯ
สรุปข้อมูลงบกระแสเงินสด ของบริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ปี (หน่วย: พันบาท) 2546 2547 2548 มี.ค. 2549
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 43,751 (92,206) 173,601 7,087
กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (29,694) (368,205) (92,740) (1,938)
กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน (5,000) 457,668 (51,475) (6,256)
การเปลี่ยนแปลงกระแสเงินสด 9,057 (2,743) 29,384 (1,107)
เงินสด ต้นงวด 15,901 24,957 22,215 51,600
เงินสด สิ้นงวด 24,958 22,214 51,600 50,493
สรุปข้อมูลงบกระแสเงินสด ของบริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
ปี (หน่วย: พันบาท) 2547* 2548 มี.ค. 2549
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (208,976) 105,457 36,856
กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (88,951) (54,227) (30,532)
กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน 396,042 (64,198) (6,323)
การเปลี่ยนแปลงกระแสเงินสด (1,716) 3,309 (1,508)
เงินสด ต้นงวด 24,957 121,356 111,697
เงินสด สิ้นงวด 121,356 111,697 110,190
หมายเหตุ * มูลค่าจากงบการเงินรวมประหนึ่งทำใหม่ เสมือนมีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทตั้งแต่
ต้นปี 2546 ซึ่งจัดทำโดยผู้บริหารของบริษัทฯ เพื่อแสดงผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทฯ
จัดทำโดย บริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) |