April 30, 2024   6:34:41 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 2 พรรคการเมือง ดูดเงินรอบสุดท้ายจากตลาดฯก่อนเลือกตั้ง
 

nikei
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 692
วันที่: 07/08/2006 @ 21:26:17
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

.0008 2 พรรคการเมือง ดูดเงินรอบสุดท้ายจากตลาดฯก่อนเลือกตั้ง ใช้วิธีสร้างสตอรี่เปลี่ยนผู้บริหารขายหุ้นเพิ่มทุนจำเป็นต้องรีบทำถ้าเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ไทยรักไทยไม่ได้กลับมา ตลาดฯจัดการกับหุ้นปั่นที่ถูกขึ้นบัญชีดำได้สะดวกขึ้น เจอหุ้นอยู่ค่ายทรทส่วนทีพีไอโพลีน กลายเป็นหุ้นการเมืองน้องใหม่ขวัญใจประชาราชด้าน กรณ์ชูนโยบาย ปชป.ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในตลาดฯ เน้นให้ความสำคัญต่อการพัฒนามากกว่าดันดัชนี
นักลงทุนรายใหญ่หลายรายตั้งข้อสังเกตุว่า จะเกิดปฏิบัติการดูดเงินออกจาก ตลาดหุ้นรอบสุดท้ายของนักการเมืองที่พัวพันในตลาดฯ ได้แก่ ไทยรักไทย และ ประชาราช เพราะต่างฝ่ายต่างมีหุ้นในสังกัดของตัวเอง อย่างไรก็ตามข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงการตั้ง ข้อสังเกตุจากคนในวงการ
โดยใช้วิธีสร้างเรื่องราวใหม่ขึ้นมาเปลี่ยนผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้น ใหม่เพื่อให้เกิดความเชื่อถือ หลังจากนั้นก็ประกาศขายหุ้นเพิ่มทุน นักลงทุนจะได้กล้าซื้อ โดยให้จับตาดูการเคลื่อนไหวหุ้นดังต่อไปนี้ ได้แก่ ไออีซี บลิสเทล แอ๊ดคินซัน วินโคสต์ ทราฟฟิก ดราก้อน วันหรือ D1 และ ไทยฟิลม์ อันดัสเตรียล จัดเป็นหุ้นไทยรักไทย ส่วนหุ้นพรรคประชาราชคือ ทีพีไอโพลีน หุ้นน้องใหม่การเมือง
เหตุที่ถูกจัดเป็นหุ้นไทยรักไทย เพราะตัวที่เอยชื่อมาต่างมีคนในมุ้งนี้เข้ามาพัวพัน เช่น ไออีซี แอ๊ดคินซัน บลิสเทล ดราก้อน วัน คนในวงการต่างรับรู้ว่า มีเงาของพายัพ ชินวัตร สุริยา ลาภวิสุทธิสิน จเรรัฐ ปิงคลาศัย เป็นคนสนิทของพายัพ และเป็นที่ปรึกษา ประธานวุฒิสภา สุชน ชาลีเครือ ฉายแววอยู่ตลอด ส่วนวินโคสท์ ทราฟฟิก มีชื่อของเยาวภา วงษ์สวัสดิ์ พัวพัน และไทยฟิล์มคือ ประยุทธ มหากิจศิริ ส่วนทีพีไอโพลีน ชัดเจน มากเป็นของประชัย เลี่ยวไพรัตน์และเครือญาติ ที่กำลังขายเพิ่มทุนควบคู่กับการเปิดพรรคใหม่ ทำให้หุ้นเริ่มขยับ และหลายฝ่ายจับตามอง ราคาหุ้นโพลีนในกระดานจะเป็นขุมกำลังอย่างดี ของใครบางคน
อย่างไรก็ตามขณะนี้หุ้นสังกัดไทยรักไทยโดดเด่นมาก รีบเร่งสร้างสตอรี่ พฤติ กรรม เหมือนต้องการดูดเงินครั้งสุดท้ายจากตลาดหุ้น ก่อนเลือกตั้งครั้งใหม่ 15 ตุลาคม เพื่อหาเงินไปเลือกตั้งและไม่แน่ใจไทยรักไทยจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหรือไม่
ดังนั้นจึงต้องรีบออกของ เนื่องจากถ้าประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่นได้เป็นรัฐบาล เกมการปั่นหุ้นในตลาดฯจะทำได้ยากขึ้น หรือ ยุคใคร ยุคมัน รัฐบาลชุดใหม่จะไฟเขียวให้ จัดการกับหุ้นพวกนี้ หรือ ตลาดฯอาจเล่นงานหุ้นพวกนี้ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเกรงใจผู้มีอำนาจ เหนือกว่า
นักลงทุนรายใหญ่กล่าวต่อว่า หุ้นที่ถูกขึ้นบัญชีดำเหล่านี้ต่างใช้กลยุทธ เปลี่ยน ผู้บริหารหรือเจ้าของใหม่ เพื่อขายหุ้นเพิ่มทุน เพราะถ้าผู้บริหารเดิมนั่งต่อไป จะไม่มีใคร กล้าลงทุน ขณะนี้หุ้นพวกนี้ ทุกตัวใช้แผนเดียวกันหมด เปลี่ยนผู้บริหาร สร้างแผนทำธุรกิจ ใหม่ หลังจากนั้นประกาศขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนเฉพาะเจาะจง หรือ PP ซึ่งไม่มีใคร รู้ว่าใช่จริงหรือไม่ หรือเป็นนอมินีใคร
สำหรับประโยชน์ที่หุ้นเหล่านี้ได้รับ คือ ราคาขยับขึ้นทุกครั้งที่มีสตอรี่ใหม่ ซึ่งคนในวงการก็เชื่อว่า เป็นฝีมือของพวกเขาเองที่ทำ เนื่องจากนักลงทุนทั่วไปไม่มี ใครกล้าเข้าไปยุ่ง หุ้นที่เจ้ามือปั่นเพื่อหวังออกของและทางการขึ้นบัญชีดำ
ส่วนเรื่องราวใหม่ที่หุ้นพวกนี้สร้างขึ้นมา เช่น บริษัท วินโคสท์ฯ ก่อนประกาศเพิ่มทุน กลุ่มวงษ์สวัสดิ์ ออกมาปรากฎตัว ว่าจะรับซื้อหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมด รวมทั้งส่วนที่ผู้ถือหุ้นเดิม รายอื่นที่ไม่ใช้สิทธิด้วย เหตุที่ทำเช่นนี้เพื่อเรียกความเชื่อมั่น เพราะทันทีที่ข่าวนี้ปรากฎราคา หุ้นก็ขยับขึ้น จาก 2.50 เป็น 2.70 บาท
ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 สิงหาฯที่ผ่านมา กรรมการบริษัทมีมติให้เพิ่มทุนอีกจำนวน 143.172 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญ 143.172 ล้านหุ้น ตราไว้หุ้นละ 1 บาท มีแผนนำเงินไปลงทุน ในโครงการขนส่งสินค้าทางรถไฟผ่านบริษัท วินโคสท์ โลจิสติกส์ และบริษัทวินโคสท์ ทรานสปอร์ต คิดเป็นมูลค่าโครงการประมาณ 350 ล้านบาท
สำหรับการเพิ่มทุนดังกล่าวบริษัทจะจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวน 140.093 ล้านหุ้น เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 5 หุ้นเดิม ต่อ 2 หุ้นใหม่ ในราคา 1 บาทต่อหุ้น และจัดสรรหุ้นสามัญใหม่จำนวน 3.078 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการปรับสิทธิในใบสำคัญ แสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่ออกและเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อหุ้นสามัญ เพิ่มทุน เมื่อวันที่ 10-17 ส.ค.41
ขณะที่บริษัท ทราฟฟิกคอร์นเนอร์ฯ ก็มีการสร้างสตอรี่เพื่อรับแผนเพิ่มทุนเช่นกัน ด้วย การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ซึ่งเป็นกรรมการและ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ขายหุ้น 58 ล้านหุ้น คิดเป็น 16.92% ให้แก่ พ.ต.อ.รวมนคร ทับทิมธงไชย ราคาหุ้นละ 0.81 บาท ส่งผลให้ พ.ต.อ.รวมนคร กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทน และขยาย ธุรกิจเพิ่มเติม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ครั้งนี้หวังว่าจะทำให้ภาพลักษณ์ของ บริษัทดีขึ้น เพื่อจูงใจให้นักลงทุนซื้อเพิ่มทุน หลังจาก 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทขาดทุนมาตลอด
ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่าภายหลังจากที่พ.ต.ท.รวมนคร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TRAF คนใหม่เข้ามาบริหารงานไม่กี่วันก็ประกาศทันทีว่าบริษัทมีแผนเพิ่มทุนรอบใหม่ เพื่อระดมทุน ส่วน IEC ถือเป็นบริษัทที่มีสตอรี่ในการเพิ่มทุนมากที่สุด โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. อนุมัติเพิ่มทุน 150 ล้านหุ้น เป็นการเพิ่มทุนครั้งที่ 5 ในรอบ 1 ปี ราคาหุ้นละ 3.17 บาท จัดสรรให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจงจำนวน 4 ราย บริษัทมีสตอรี่ว่าจะนำเงินไปลงทุนใน ธุรกิจพลังงานทดแทนประเภทไบโอดีเซล หลังจากนั้นไม่นานก็มีกระแสข่าวจากบริษัทว่าจะควบรวมกิจการกับ BLISS ซึ่งแม้ความ ชัดเจนจะยังไม่มีแต่นักลงทุนก็แห่เก็งกำไรหุ้นไออีซีจนราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก จนกระทั่ง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ส.ค.49 บริษัทก็มีมติเพิ่มทุนอีก 21 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ใน ราคา 4.50 บาท เพื่อนำหุ้นดังกล่าวไปแลกกับ BLISS ตามแผนควบรวมกิจการในสัดส่วน 1 ต่อ 1 ส่วน ดังนั้นเมื่อมีสตอรี่ขึ้นมา บริษัทใหญ่ขึ้นจากการควบกับบลิส จะทำให้แผนขายเพิ่มทุน ให้กับสถาบันเฉพาะเจาะจงที่ค้างเติ่งมานาน จะขายออกก็คราวนี้ เพราะบริษัทประกาศมี แผนนำหุ้นเพิ่มทุนที่เหลืออยู่ก่อนหน้านี้จำนวน 470 ล้านหุ้นเสนอขายต่อไป สำหรับบริษัทไทยฟิล์มฯแม้จะไม่มีแผนเพิ่มทุนแต่ก็มีการสร้างสตอรี่เพื่อถ่ายเทผลประโยชน์ไปให้กับบริษัทลูกและผู้บริหาร
กล่าวคือบริษัทได้กู้ยืมเงินจาก บริษัทเลควูค แลนด์ จำกัด (เลควูค) ซึ่งเป็นบริษัทลูก และ นายประยุทธ มหากิจศิริ ส่งผลให้ต้องเสียดอกเบี้ย ตามสัดส่วนของเงินกู้ยืม โดย TFI ได้กู้เงินจากเลควูดจำนวน 3 ครั้ง ครั้งแรกจำนวน 280 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 ม.ค.49-22 ม.ค.49 รวม 19 วัน ในอัตราดอกเบี้ย 5.7% ครั้งที่สองจำนวนเงินต้น 5 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.49 ถึง 22 มี.ค.49 รวม 31 วัน อัตราดอกเบี้ย 7% และครั้งสุดท้ายจำนวนเงินต้น 100 ล้านบาท เริ่ม 17 พ.ค.49-16 พ.ค.50 รวม 1 ปี ในอัตราดอกเบี้ย 7.75% นอกจากนี้บริษัทยังได้กู้เงินจากนายประยุทธ จำนวนเงินต้น 50 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.49 และกู้เพิ่มอีก 50 ล้านบาท ในวันที่ 21 มี.ค.49 รวมเป็นเงินต้น 100 ล้านบาท คิดดอกเบี้ย ถึง 16 ก.พ.50 และถึง 20 มี.ค. 50 ตามลำดับ รวม 1 ปี ดอกเบี้ย 7 - 7.75% รวมดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งสองสัญญาเป็นเงิน 16.312 ล้านบาท
โดยบริษัทอ้างว่าการกู้ยืมเงินในครั้งนี้คณะกรรมการและกรรมการตรวจสอบได้ พิจารณาแล้ว และเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการกู้ยืมเงินจากเลควูค และนายประยุทธ เนื่องจากบริษัทขาดสภาพคล่องจากการขยายกำลังการผลิต จาก 77,000 ตันต่อปีในปี 47 เป็น 107,000 ตันต่อปีในปี 48 แต่บริษัทฯไม่ได้วงเงินสินเชื่อหมุนเวียนเพิ่มเติมจากธนาคาร
ส่วนดราก้อน วัน ของนายจเรรัฐ ก็เป็นที่น่าสงสัย เพราะไปซื้อซากเน่าของห้างไดอาน่าที่หาดใหญ่มา ปัดฝุ่นจะสร้างเป็นไอทีมอลล์ แบบหลักสี่พลาซ่า หรือ พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า พอหุ้นวิ่งก็ขายออกมาต่อเนื่องกว่า 24-25% นักลงทุนก็สงสัยทำไมเจ้าของถึงขาย มากเช่นนี้ หรือจะทิ้งบริษัท แต่บุคคลที่เข้ามารับล้วนเป็นคนคุ้นเคย เช่น สุมิต แช่มประสิทธิ์ จากไออีซี บางเสียงจึงตั้งข้อสงสัย ขายเพื่อให้หุ้นไปกระจายอยู่ในมือหลายคน
ดังนั้นถ้ามีใครมาดันหุ้น หรือ หุ้นวิ่งขึ้นมาทางการก็ไม่สงสัย ขณะเดียวกันก็สูตรเดียว กันคือ เพิ่มทุนขายPP ราว 40 ล้านหุ้น และทั่วไป 130 ล้านบาท นำเงินไปลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ที่เล็งไว้แล้ว นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ข่าวหุ้นธุรกิจว่า รู้สึกเป็นห่วงตลาดหุ้น เท่าที่สังเกตุหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้น ถ้าไม่ใช่หุ้นที่รัฐบาลถืออยู่ก็เป็นหุ้น ที่มีความสัมพันธ์หรือความใกล้ชิดกับรัฐบาล
ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างชาติไม่ชอบไม่ ธรรมาภิบาล เป็นตลาดหุ้นไม่มีเสถียรภาพ นายกรณ์ กล่าวถึงนโยบายของประชาธิปัตย์กับตลาดหุ้นไทยว่า จะสร้างให้มีเสถียรภาพ เพราะพรรคไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในตลาดหุ้น ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาตลาด มากกว่าการบิดเบือนภาพ ไม่เน้นการดึงเอกชนภายนอกเข้ามา เพื่อดันดัชนี แต่พรรคฯจะเน้นให้ เอกชนรวมทั้งเอสเอ็มอี เข้ามาระดมทุนในตลาด ใช้เป็นแหล่งเงินทุนระยะยาว ไม่ใช่ มาเพื่อหวังกำไรจากราคาหุ้น
นอกจากนั้นเชื่อว่า ถ้าประชาธิปัตย์ ได้เป็นรัฐบาล บรรยากาศลงทุนจะดีขึ้น พรรคเน้น สร้างความสงบเรียบร้อย ความสามัคคีขึ้นในชาติ เรียกความเชื่อมั่นกลับมา เอกชนและ ต่างชาติจะกลับมาลงทุนในไทยอีกครั้ง เมื่อชาติสงบเรียบร้อย มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ชัดเจน ส่วนเรื่องแปรรูปรัฐวิสาหกิจต้องดูความเหมาะสมเป็นราย ๆ รัฐวิสาหกิจใดที่ผูกขาด หรือ เกี่ยวข้องสัมปทานรัฐ ควรตั้งองค์กรกลางขึ้นมากำกับดูแล เพื่อความโปร่งใสและเกิด ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

[/color:8174f7cff7">

 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#1 วันที่: 08/08/2006 @ 00:09:16 : re: 2 พรรคการเมือง ดูดเงินรอบสุดท้ายจากตลาดฯก่อนเลือกตั้ง
ในตลาดหุ้นมีแต่พวกเลวๆหาบ.เน่าๆเข้ามาแล้วก็ลากขึ้นไปปล่อยให้แมลงเม่าตามัวช่วยดันขึ้นไปแล้วแมลงเม่าก็ติดอยู่บนยอดดอยพออยากได้เงินอีกก็ปล่อยข่าวร้ายให้แมลงเม่าคายหุ้นออกมา แล้วพวกเลวๆก็เข้าไปรับใหม่ แล้วก็ปล่อยข่าวดี(ข่าวลวง)ดันหุ้นขึ้นไปใหม่โดยมีแมลงเม่ากลุ่มเดิมช่วยดันพอได้ราคาที่พอใจพวกเลวก็ปล่อยของเป็นวัฏจักรอย่างนี้ แต่ที่เลวร้ายกว่าพวกนักการเมือง ญาตินักการเมือง นักธุรกิจที่หากินในตลาดหุ้นก็คือ ตลท.ไม่รู้ว่าปล่อยให้พวกเลวๆเอาบริษัทเน่าๆเข้ามาหาเงินในตลาดได้อย่างไร ก็รู้ๆอยู่ว่าพวกนี้มาหาเงินกับรายย่อย ช่างไม่สงสารพวกแมลงเม่าบ้างเลย .0001
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#2 วันที่: 08/08/2006 @ 16:33:47 : re: 2 พรรคการเมือง ดูดเงินรอบสุดท้ายจากตลาดฯก่อนเลือกตั้ง
.0002 หุ้นผม เจ้ามือยอดเลวเลย หุ้นจะขึ้นก็ไม่ยอมให้ขึ้น จะรอเก็บแต่ของถูกๆ ผมก็แช่งให้มันฉิบหายทุกวันเลย
 กลับขึ้นบน
mr.w
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 490
#3 วันที่: 08/08/2006 @ 22:02:40 : re: 2 พรรคการเมือง ดูดเงินรอบสุดท้ายจากตลาดฯก่อนเลือกตั้ง
ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com