May 5, 2024   9:28:01 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ฟ้าเปิดรับอวสาน 3 กกต.การเมืองคลี่คลาย-ศก.ไทยจะสดใสขึ้น
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 26/07/2006 @ 18:17:43
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

[b:81b14a5f1d">ฟ้าเปิดรับอวสาน 3 กกต.การเมืองคลี่คลาย-ศก.ไทยจะสดใสขึ้น[/b:81b14a5f1d">

กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองประเทศไทยไปเสียแล้ว
หลังจากศาลอาญาขึ้นนั่งบัลลังก์เมื่อวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมาและอ่านคำ
พิพากษาว่า 3 กรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. คือ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร มีความผิดตามที่นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้องในข้อหาร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 มาตรา 24 และ มาตรา 42 หลัง กกต.ทั้ง 3 ได้ร่วมกันจัดการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตรอบใหม่ เมื่อวันที่ 23 เม.ย.49 โดยไม่มีอำนาจ และออกหนังสือเวียนถึง ผอ.กต.เขตเลือกตั้งให้รับผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งไม่ถึงร้อยละ 20 เปลี่ยนเขตลงสมัครในรอบใหม่ ซึงถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้สมัครรายเดิม เวียนเทียนลงรับสมัครเลือกตั้งรอบใหม่เพื่อช่วยให้ผู้สมัครรายเดียวพรรคไทยรักไทย หลีกเลี่ยงเกณฑ์ ร้อยละ 20 และทำให้พรรคการเมืองอื่นเสียประโยชน์ จึงพิพากษาจำคุกจำเลย 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมกับสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี โดยที่ศาลอาญาชั้นต้นมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัว กกต.ทั้ง 3 คน หลังจากพิพากษาโทษจำคุก 4 ปี และเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง 10 ปี และให้ส่งคำร้องขอประกันตัวของจำเลยทั้งสามไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาแทน และศาลอุทธรณ์ก็ยืนคำพิพากษาศาลชั้นต้นในวันเดียวกันตามเหตุผลของศาลชั้นต้นที่ระบุชัดเจนว่า สาเหตุที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากมองว่าหากปล่อยตัวจำเลยเพื่อให้กลับไปปฏิบัติหน้าที่น่าจะเกิดความไม่เรียบร้อย สุจริตและเที่ยงธรรม เหมือนเช่นการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ดังนั้นเพื่อประโยชน์สุขและความเรียบร้อยของสังคม จึงไม่ให้มีการประกันตัวตามที่ร้องขอ
ดังนั้นจึงทำให้ 3 กกต. ต้องถูกคุมขังทันที และการเดินเข้าสู่เรือนจำเมื่อ
ช่วงหัวค่ำวันอังคารที่ผ่านมานั้น ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ากลายเป็นเหตุการณ์สำคัญ
ทางการเมืองที่ประชาชนชาวไทยต้องจดจำกันไปอีกนาน เพราะแทบจะเรียกได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่ายที่องค์กรกลางซึ่งตั้งขึ้นมาโดยเน้นที่ความเป็นกลาง ความบริสุทธิ์ ยุติธรรม จะต้องกลายเป็นจำเลยและเข้าสู่ห้องคุมขังตามกระบวนการทางกฎหมาย ก่อนที่จะตัดสินใจเซ็นใบลาออกในที่สุด แต่อย่างไรก็ตามในประเด็นดังกล่าวก็คงไม่มีใครปฏิเสธได้อีกเช่นกันว่าการหมดคุณสมบัติของการเป็นกกต. ที่ต้องถูกจองจำและลาออกไปแล้วนั้น ทำให้เมฆหมอกของความอึมครึมที่ปกคุลมการเมืองไทยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานั้นกลับมาสดใสและชัดเจนขึ้นทันตาเห็นได้เหมือนกัน เพราะถึงแม้ว่าก่อนหน้าการลงพระปรมาภิไธย ในพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.)การเลือกตั้ง เมื่อวันศุกร์ที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่ง กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 อย่างแน่นอนแล้วจะทำให้ปัญหาการเมืองเริ่มคลายลงได้บ้าง แต่ก็ไม่เท่ากับการตัดสินคดี 3 กกต. เพราะคดีประวัติศาสตร์ดังกล่าวทำให้หลายเรื่องๆ หลายๆประเด็นคลายปมปัญหาได้ทันที และไม่แปลกที่เห็นว่าผู้เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ ภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการในแทบจะทุกสาขาอาชีพ ต่างเห็นด้วยกับการพิพากษาของศาล ถึงแม้ว่าอาจจะโหดร้ายไปบ้างเมื่อมองจากผลที่อดีตกกต.ทั้ง 3 คนจะได้รับก็ตาม
โดยก่อนหน้าที่ศาลอาญาจะตัดสินก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า กกต.ถูกต่อต้าน
จากหลายฝ่ายว่าขาดความชอบธรรมในการทำหน้าที่ไปแล้ว และเรียกร้องให้ลาออก
จากตำแหน่ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากกกต.ทั้ง 3 คน จนกระทั่งเมื่อมีคำตัดสินดังกล่าวออกมา เพราะฉะนั้นเมื่อกกต.ชุดเดิมที่ถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งถึง 10 ปี และไม่มีสิทธิจัดการเลือกตั้งได้อีกแล้ว ก็จะให้การเลือกตั้งครั้งใหม่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายเสียที โดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้านที่โจมตีกกต. มาตลอดนับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับเป็นการยุติปัญหาทางการเมืองทั้งหมดได้ และหลังจากนี้เมื่อมีการสรรหากกต. ชุดใหม่ ตามขั้นตอนของกฎหมายได้แล้ว เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเป็นไปด้วยความราบรื่น และ
ประเทศก็น่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่เสียที หลังจากต้องบริหารประเทศภายใต้รัฐบาล
รักษาการมานานกว่า 4 เดือน จนส่งผลในการบริหารประเทศ การอนุมัติโครงการ
สำคัญๆ ยังเดินหน้าไม่ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากนักลงทุนยังขาดความมั่นใจต่อ
สถานการณ์การเมืองในประเท ศ และโดยเฉพาะการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายปี
2550 ที่ต้องล่าช้าออกไป เพราะตามขั้นตอนแล้วจะต้องเริ่มพิจารณาในเดือนกันยายนนี้หลังจากจบปีงบประมาณ 2549 แต่เมื่อยังไม่มีรัฐบาลใหม่ก็ไม่สามารถที่จะอนุมัติงบฯได้ทัน ทำให้ในช่วงต้นปี 2550 จะทำให้ไม่มีเม็ดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้
เพราะฉะนั้นเมื่อการเมืองคลี่คลาย ความเชื่อมั่นกลับคืนมา สิ่งดีที่คาดการณ์กันไว้ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัว และควรจะเดินหน้าได้อย่างเต็มตัวเสียที เมื่อการเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อย อย่างน้อยในขณะนี้ที่สถานการณ์ความอึดอัดทางการเมืองบรรเทาลงนั้น ความมั่นใจของนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศก็น่าจะเริ่มกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง กลุ่มไหน ประเทศใดที่เตรียมจะโยกเงินลงทุนหนีไปลงทุนในประเทศอื่น ก็จะเปลี่ยนใจและไม่คิดจะย้ายฐานการผลิตหรือการลงทุน เมื่อเหตุการณ์กลับมาชัดเจนอีกครั้ง เพราะในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาต้องยอมรับว่านักลงทุนต่างชาติเป็นกังวลกับปัญหาทางการเมืองที่ไม่จบไม่สิ้นภายในประเทศไทยมากทีเดียว รวมถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นหลายฝัก หลายฝ่าย ทั้งพรรคการเมือง กลุ่มพันธมิตรฯ เอกชน รวมไปถึงนักวิชาการที่ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล และคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจไปต่างๆนานา ซึ่งล้วนแต่ออกมาในทางลบแทบทั้งสิ้น จึงทำให้นักลงทุนยิ่งขยาดกับการที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่เมื่อเหตุการณ์หลังจากนี้เริ่มสดใส จึงเชื่อว่านับจากนี้ไปทั้งการเมือง และเศรษฐกิจของประเทศน่าจะเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายทางมากขึ้นแล้ว โดยเฉพาะเศรษฐกิจในประเทศที่หลายสำนักต่างพยากรณ์จนน่าใจหายว่าในปีนี้จีดีพีอาจไม่ถึง 4% หรือถ้าถึงก็คงไม่เกิน 4.5% เพราะปัจจัยการเมืองเป็นตัวถ่วงที่สำคัญ ดังนั้นเมื่อหมดอุปสรรคอาจทำให้การเมืองไทยเดินหน้าไปไม่ได้ ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังที่ยังเหลืออยู่อีกประมาณ 5 เดือน ให้ฟื้นตัวและผงกหัวขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นแรงใจให้ประชาชนไทยมีความหวังกลับขึ้นมาอีกครั้ง ว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความหวังที่จะไปได้ดี ไม่ใช่ถดถอยจนกู่ไม่กลับ เพราะปัญหาที่แก้ไม่ตกจนกลายเป็นวิกฤติการเมืองในประเทศ
นอกจากนี้ยังแน่ใจด้วยว่าแม้ต้องสรรหากกต. ใหม่ก็จะไม่ทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปจากเดิมด้วย เพราะทั้งประธานวุฒิสภา และประธานศาลฎีกาที่เป็นหัวเรี่ยว หัวแรงในการดำเนินการสรรหาบุคคลที่เหมาะสมนั้น ยืนยันหนักแน่นว่าการเลือกตั้งจะไม่เลื่อนออกไปอีกแน่ เพราะการเลือกตั้งทั่วไปจำเป็นต้องเดินหน้า ไม่ให้การเมือง เศรษฐกิจ และการลงทุนในประเทศสะดุดอีก โดยคาดว่าการสรรหากกต.ชุดใหม่ทั้ง 5 คนนั้นจะดำเนินการเสร็จสิ้นก่อนพระราชกฤษฎีกา หรือ พ.ร.ฎ. มีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ส.ค.นี้ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้บรรยากาศเริ่มกลับมาสดใส เพราะเมื่อกกต.หมดคุณสมบัติ ต่างฝ่ายต่างก็พร้อมที่จะเดินหน้าดำเนินการ
ทุกอย่างเพื่อให้ได้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรมและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย
เกิดขึ้น ซึ่งเท่ากับเมื่อมองในมุมไหนตอนนี้ก็การเมือง เศรษฐกิจก็น่าจะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นได้จากนี้ไป
เชื่อว่าจะสามารถมีการเลือกตั้งได้ในวันที่ 15 ต.ค. 2549 นี้ได้ เพราะคงจะมีการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ใหม่ได้ทันการเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งตรงนี้จะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มมากขึ้น และที่ผ่านมาเราได้ชี้แจงนักลงทุนไปมากแล้ว ว่าการเมืองของไทยจะจบได้โดยเร็ว ซึ่งนักลงทุนก็เข้าใจ เพราะสถานการณ์ทางการเมืองไทยยังคงเดินไปตามระบอบประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญอยู่ นายทนง พิทยะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวแสดงความมั่นใจทันทีที่ผลการพิพากษาคดีจากศาลอาญา โดยนายทนง ยังเชื่อด้วยว่าปัญหาการเมืองที่คลี่คลายกลายเป็นปัจจัยบวกจะทำให้หลังจากนี้นักลงทุนจะกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ได้รัฐบาลใหม่
ในขณะที่ส่วนของภาคเอกชนเอง นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการ
รองเลขาธิการสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า เชื่อว่าคนทั่วไปและนักธุรกิจมีความรู้สึกดี
ขึ้นแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงไม่ทำให้การค้าการลงทุนกลับมาดีในทันที เพราะนัก
ธุรกิจจะมั่นใจเต็มที่เมื่อมีรัฐบาลใหม่ซึ่งเมื่อเวลานั้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของ
ประเทศจึงจะชัดเจน
ส่วนนายสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มองว่า หลังจากศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุกคณะกรรมการการเลือกตั้ง กกต.) ทุกฝ่ายควรเคารพคำพิพากษา เพื่อเปิดทางให้มีการสรรหากกต.ใหม่ ซึ่งจะสามารถดำเนินการเลือกตั้งได้ภายในวันที่ 15 ตุลาคม ตามพระราชกฤษฎีกาที่กำหนด ขณะเดียวกันพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลควรจะร่วมมือกันในการหาแนวทางแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองของประเทศให้คลี่คลายไปในทางที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งเพื่อให้ได้รัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประกาศกู้เศรษฐกิจของประเทศ
เอกชนต้องการให้มีการเลือกตั้งตามกำหนดในวันที่ 15 ตุลาคม เนื่องจาก
นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศรับทราบกันอย่างชัดเจนถึงกำหนดการเลือก
ตั้งของไทย และยังมีความเชื่อมั่นในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจว่าจะไม่ได้รับผล
กระทบไปมากกว่าที่เป็นอยู่ นายสันติ กล่าว
เพราะฉะนั้นเหตุการณ์จากนี้ไป คงต้องจะจับตากันอย่างใกล้ชิดว่าขั้นตอน
การสรรหากกต. ใหม่จะดำเนินเสร็จเมื่อไหร่ และกกต. ชุดใหม่จะมีคุณสมบัติเหมาะสมและสามารถทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่ แต่เชื่อว่าอะไรคงไม่สำคัญไปกว่าขอให้การเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมีขึ้นในอีกกว่า 2 เดือนจากนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น และก็หวังว่าความสมานฉันท์น่าจะเกิดขึ้นเสียที เพราะถือว่าการลาออกของ 3 กกต. ได้ปลดล็อกปัญหาทางการเมืองให้หลุดพ้นไปแล้ว ซึ่งจากนี้ไปอนาคตการเมืองจะออกมาในรูปแบบไหน พรรคใดจะได้เสียงข้างมากเพื่อจัดตั้งรัฐบาล รวมไปถึงเศรษฐกิจจะขยายตัวเท่าไหร่ คงไม่ใช่ประเด็นหลักในขณะนี้แล้ว แต่ประเด็นหลักและเป็นเรื่องที่สนใจก็คือ ทุกฝ่ายจะจับมือและร่วมกันเดินหน้าพัฒนาประเทศให้กลับคืนสู่ความเชื่อมั่นได้อย่างไร นั่นต่างหากที่เป็นประเด็นร้อนที่ทุกฝ่ายจะต้องเร่งมือ ประเทศล้าหลังมาหลายเดือนแล้ว การดำเนินโครงการต่างๆ โดยเฉพาะเมกะโปรเจ็กที่คาดหมายว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในปีนี้นั้น ก็ล่าช้าออกไปทั้งที่คาดว่าน่าจะเริ่มประมูลกันได้แต่ตั้งเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะปัญหาการเมืองที่ไม่ลงตัวส่งผลกระทบ ต่อเรื่องดังกล่าวอย่างหนัก ทำให้เศรษฐกิจที่ทำท่าจะชะลอตัวอยู่แล้ว กลับมาแขวนอยู่เส้นด้ายเพราะปัญหาเหล่านี้ แต่เวลาไม่เคยคอยท่าทึกคนต้องเดินหน้าเพื่อฟื้นฟูสิ่งที่สูญเสียไปในช่วงหลายเดือนก่อนให้ได้ อดีตเป็นเรื่องที่ควรจำไว้เป็นบทเรียนสอนตัวเองในการวางแนวทางในอนาคต จากนี้ไปประเทศไทย คนไทย ก็ควรจะมองไปยังอนาคตร่วมกัน
ขอบคุณศาลสถbตย์ยุติธรรม กับการตัดสินคดีที่ทำให้ประชาชนรู้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรกระบวนการทางตุลาการก็ยังเป็นทางออกที่ดีในยามที่ประเทศถึงทางตัน และที่ลืมไม่ได้ก็คืออดีต กกต.ทั้ง 3 คน ที่ตราประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่จารึกไว้ให้
ประชาชนคนไทยรับทราบโดยทั่วกัน เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปิด ก็หวังว่าการเมืองไทยจะสด
ใส และเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเติบโตได้ตามเป้าหมายเสียที

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com