หลังจากที่ตลาดหุ้นทำสถิติสูงสุด ในรอบหลายปีเมื่อปีที่แล้ว ในปีนี้มีนักลงทุนหน้าใหม่ เข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ต้องการ ที่จะเข้ามาทำกำไร เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ทำเงินได้มากมาย จากตลาดหุ้น รวมทั้งคาดหวังว่าในปีนี้ จะทำกำไรได้มาก เหมือนกับปีที่ผ่านมา แต่นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน จะพบว่า ดัชนีตลาดหุ้นติดลบไปประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ จาก 800 จุด ลงมาเหลือ 600 จุด ต้นๆ หุ้นเล็กๆ บางตัวติดลบไปมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ นักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้นต่างฝันสลายไปตามๆ กัน โอกาสที่จะทำกำไรเหมือนปีที่ผ่านมาช่างน้อยเสียเหลือเกิน
นอกเหนือจากนั้น กลับต้องขาดทุนจากการลงทุนในปีนี้เสียด้วยซ้ำไป บางคนอยากจะได้เงินที่ตนเองขาดทุนไปกลับคืนมา ก็ยิ่งทุ่มเงินหนักเข้าไปมากกว่าเดิม ซึ่งก็ทำให้ขาดทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก ก็เลยกลุ้มใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จนบางคนถึงกับบอกเพื่อนๆ ว่าอย่ามายุ่งกับตลาดหุ้นเลย ถ้าไม่อยากหมดตัว
สำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์แล้ว เหตุการณ์ที่ตลาดตกต่ำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างไร เพราะถ้าตลาดหุ้นขึ้นมาแรง โอกาสที่จะตกลงมาแรงก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว นักลงทุนรุ่นเก่าจึงใช้ประสบการณ์ที่เหนือกว่าพาตนให้รอดจากวิกฤติที่เกิดขึ้นได้
ถึงแม้จะ ขาดทุน ไปบ้าง แต่ก็ไม่เสียหายมากเท่ากับนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาด ความสามารถในการเอาตัวรอดจากตลาดตกต่ำนั้นถือว่า เป็นความสามารถเฉพาะบุคคล ไม่สามารถเลียนแบบกันได้ง่ายๆ เพราะต้องอาศัยจิตใจที่เข้มแข็งพอสมควรที่จะกล้า ?ตัดอวัยวะ? เพื่อรักษา ?ชีวิต?
ถ้าพิจารณาดูจะพบว่า นักลงทุนมือใหม่ที่ขาดทุนจากการลงทุนในตลาดในปีนี้นั้นมีข้อผิดพลาดที่คล้ายๆ กันอยู่ดังนี้
หนึ่ง ทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้
นักลงทุนมือใหม่ส่วนใหญ่จะไม่สามารถทนถือเงินสดเพื่อรอโอกาสในการลงทุนที่จะมาถึงได้ เพราะคิดว่าการอยู่เฉยๆ คือการเสียโอกาสในการลงทุน หรือคิดว่ายิ่งเวลาผ่านไปโอกาสก็จะยิ่งเหลือน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนมือใหม่ส่วนใหญ่ จึงรู้สึกกระวนกระวายใจเมื่อมีเงินสดอยู่ในมือ และจะต้องขวนขวายหาทางที่จะนำเงินที่มีนั้นไปซื้อหุ้นให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะกลัวจะตกรถไฟ
เมื่อรีบซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดกำลังเป็นขาลง โอกาสที่จะ ?ติดดอย? รับของสูงก็จะมากขึ้น ยิ่งซื้อ ราคาหุ้นยิ่งลง และถ้าเตรียมตัวมาไม่ดีพอก็จะเกิดอาการตื่นตระหนก กลัวจะขาดทุนมากกว่าเดิมก็เลยตัดใจขายหุ้นออกไป แต่เมื่อพอขายไปแล้ว หุ้นกลับดีดตัวขึ้น เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา
การที่มือใหม่ไม่สามารถทนถือเงินสดรอได้นั้น อาจจะเป็นเพราะใจยังไม่นิ่งพอ ทำให้การตัดสินใจลงทุนเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่รอบคอบ โอกาสที่จะ ?ขาดทุน? ก็จะมีอยู่สูง
นักลงทุนระดับโลกอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์เคยกล่าวเอาไว้ว่า ?บางครั้งการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ก็นับว่าเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ดีอย่างหนึ่ง?
ดังนั้น นักลงทุนจึงควรที่จะทำใจให้สงบ และไม่ควรกระวนกระวายใจถ้าไม่ได้ซื้อหุ้นหรือลงทุนอะไรสักระยะหนึ่ง ถ้าช่วงนั้นยังไม่มีโอกาสในการลงทุนที่ดีพอ
การนั่งสมาธิ หรือศึกษาพุทธธรรมก็จะช่วยในเรื่องนี้ได้อย่างมากทีเดียว
สอง ไม่ยอมขายขาดทุน
มีนักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากที่ถือคติ ?ไม่ขายไม่ขาดทุน? ยอมกอดหุ้นที่ราคากำลังร่วงอยู่ไว้โดยคิดว่าสักวันหนึ่งราคาก็จะต้องกลับมาที่เดิม แล้วก็นอนดูราคาหุ้นที่ติดลบแดงทั้งพอร์ตให้เจ็บใจเล่นอยู่ทุกวัน และแล้ว?ราคาหุ้น?บางตัวที่ซื้อไว้ก็ค่อยๆ ลดลงๆ จนโอกาสที่จะกลับมาราคาเท่าเดิมนั้นน้อยเสียเต็มที
ถ้าหุ้นที่ซื้อไว้นั้นเป็นหุ้นที่ดี มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โอกาสที่หุ้นนั้นจะมีราคากลับมาเท่ากับราคาที่ซื้อไว้นั้นก็มีมาก แต่ถ้าหุ้นนั้นเป็นหุ้นที่พื้นฐานไม่ดี หรือเป็นหุ้นเก็งกำไร โอกาสที่ราคาจะกลับมาราคาเท่าเดิมนั้น คงต้องรออีกนานทีเดียว
ถ้าจำกันได้ เมื่อต้นปี ราคาของหุ้น N-Park เคยขึ้นไปสูงสุดถึงหุ้นละ 12 บาทด้วยข่าวดีมากมายที่มาสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัท ปัจจุบันราคาหุ้นดังกล่าว ซื้อขายกันอยู่ที่ระดับราคา 1.2 บาทเท่านั้น ราคาลดลงกว่า 10 เท่าภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี นักลงทุนที่นอนกอดหุ้น N-Park ไว้เพื่อรอวันที่ราคาจะกลับไปเหมือนเดิม คงต้องใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว ซึ่งไม่มีใครทราบว่าจะต้องใช้เวลานานสักเพียงใด แต่คาดว่าคงจะไม่ใช่ภายในสิ้นปีนี้
ดังนั้น คติที่ว่า ?ไม่ขายไม่ขาดทุน? คงจะไม่จริงเสมอไปทีเดียว ถ้าพบว่าหุ้นที่ซื้อมามีพื้นฐานที่เปลี่ยนไป หรือเป็นหุ้นที่ไม่ดีจริงอย่างที่คิด บางครั้งการขายขาดทุนออกไปก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะถ้าเก็บหุ้นเอาไว้รอราคาวิ่งกลับมาเท่าเดิมอาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวสามารถนำเงินที่เหลือไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
บางครั้งการ ?ตัดอวัยวะ?เพื่อรักษา?ชีวิต?ก็เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นในการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะโอกาสที่นักลงทุนจะตัดสินใจผิดนั้นมีได้อยู่ตลอดเวลา แต่นักลงทุนส่วนใหญ่จะไม่ยอมขายหุ้นถ้าขาดทุนก็เพราะเสียดายเงิน รวมทั้งไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด ทั้งยัง ?คาดหวัง? ว่าราคาหุ้นจะกลับมาที่เดิม ซึ่งเป็นการเข้าข้างตัวเองมากกว่าที่จะมองความจริง ซึ่งถ้าหุ้นนั้นไม่ดีจริง โอกาสที่ราคาจะกลับมาที่เดิมนั้นคงมีไม่มากนักในระยะเวลาสั้นๆ
สาม ไม่เข้าใจหุ้นที่ลงทุนดีพอ
นักลงทุนมือใหม่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้วิเคราะห์หุ้นที่จะลงทุนด้วยตนเอง ส่วนใหญ่มักจะซื้อหุ้นที่มีคนแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการลงทุนตามเวบไซต์ต่างๆ นักวิเคราะห์ โบรกเกอร์ ญาติ หรือเพื่อนๆ ที่มากระซิบบอกใบ้หุ้นเป็นรายตัว ให้ซื้อหุ้นนั้น หุ้นนี้ ราคาจะวิ่งไปเท่านั้นเท่านี้
เมื่อไม่ได้วิเคราะห์หุ้นที่จะลงทุนด้วยตนเอง จึงไม่เข้าใจในปัจจัยต่างๆ ที่จะมากระทบต่อพื้นฐานของหุ้นนั้นๆ และเมื่อผสมโรงกับตลาดที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง ทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นที่ซื้อไว้นั้นจะมีราคาลดลงมีอยู่มากทีเดียว และเมื่อราคาหุ้นลดลง
นักลงทุนมือใหม่ก็ไม่สามารถที่จะพิจารณาได้ด้วยตนเองว่าจะถือหุ้นตัวนั้นไว้ หรือจะซื้อเพิ่ม หรือจะขายออกไปดี เมื่อยังตัดสินใจไม่ได้ก็เลยถือหุ้นตัวนั้นไว้ จนราคาหุ้นค่อยๆลดลงๆมาอยู่ในระดับที่เกินกว่าจะ ?ตัดใจขาย? ออกไปได้ สุดท้ายก็ต้องนอนกอดหุ้นไว้เพื่อรอวันที่ราคาหุ้นจะกลับมาเท่าเดิม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน
การที่ไม่เข้าใจหุ้นที่จะลงทุนดีพอ รวมทั้งการที่ไม่ได้วิเคราะห์หุ้นด้วยตนเอง ทำให้นักลงทุนมือใหม่หลายคนต้อง ?ขาดทุน? จากการลงทุนในช่วงที่ผ่านมามากพอสมควร
ดังนั้น นักลงทุนมือใหม่จึงควรที่จะศึกษาหาความรู้ให้มากก่อนที่จะเข้าตลาดหุ้น ฝึกทำการวิเคราะห์หุ้นด้วยตนเอง แทนที่จะไปเชื่อในสิ่งที่นักวิเคราะห์หรือคนอื่นๆ บอกมาทั้งหมด ทั้งยังจะต้องฝึกจิตใจให้สงบ ไม่ให้ฟุ้งซ่านหรือกระวนกระวายใจเมื่อไม่ได้ซื้อหุ้นอะไรสักหุ้นหนึ่งเป็นเวลานานๆ
และที่สำคัญ ?การขายขาดทุน? นั้น บางครั้งก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำในการลงทุน
ถ้าทำได้ดังที่กล่าวมา นักลงทุนมือใหม่ก็จะมีเกราะป้องกันตนเองจากการตกต่ำของตลาดหุ้น รวมทั้งสามารถเอาตัวรอดได้เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤติเกิดขึ้นในคราวต่อไป ส่วนที่ผ่านมาในปีนี้ เงินที่ ขาดทุน ไปก็ถือว่าจ่ายเป็น ค่าเล่าเรียน? เกี่ยวกับการลงทุนสักคอร์สก็แล้วกัน ถึงแม้ค่าเล่าเรียนคราวนี้จะแพงไปสักหน่อยก็ตาม
ที่มา บทความของคุณ วิบูลย์ พึงประเสริฐ จาก bangkokbizweek.com ไทยหุ้น.คอม ขอขอบคุณครับ |