ทันหุ้น-บาทส่อแววอ่อน 36 บาทต่อดอลล์ ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า หลังดอลล์แข็งค่าขึ้นต่างชาติทยอยลงทุนประเทศแถบเอเชีย จ้องเก็งกำไรค่าเงินในประเทศสภาพคล่องสูง ปลอดเกณฑ์เข้มงวด ส่งผลค่าเงินภูมิภาคผันผวนกว่าบาทเพราะเม็ดเงินทุนเคลื่อนย้าย ส่วนบาทแบงก์ชาติคุมเข้มไร้เงาฝรั่งเก็งค่าเงิน นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) KBANK เปิดเผยว่า ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้าค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลงแตะ 36.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 35.00-35.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามค่าเงินภูมิภาค
สาเหตุที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าน่าจะมาจากดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นหลังจากที่นักลงทุนเริ่มเข้าลงทุนในประเทศแถบเอเซีย ซึ่งการเข้ามาลงทุนต้องแลกเงินเป็นสกุลดอลลาร์ จึงส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว
นอกจากนี้ การที่สหรัฐลดอัตราดอกเบี้ยจนถึงจุดต่ำสุดที่ 0-0.25% ประกอบกับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาย่ำแย่ และสร้างความเสียหายกับประเทศมหาศาล ซึ่งสาเหตุดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐผ่านจุดที่เลวร้ายมาแล้ว แต่ไม่ได้ความหมายว่าจะถึงจุดต่ำสุด ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียทวีความรุนแรงขึ้นล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเริ่มถือครองเงินสกุลดอลลาร์มากขึ้น
“ มีความเป็นไปได้ที่ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกมาก เช่น ไต้หวัน เกาหลี และสิงค์โปร์ ต้องการรักษาเสถียรภาพและผลประโยชน์ส่งออก จึงมีการเข้าไปบริหารลดค่าเงินเพื่อหนุนการส่งออกให้ปรับตัวดีขึ้นเพราะฉะนั้นค่าเงินภูมิภาคโดยเฉลี่ยจึงอ่อนค่ากว่าสกุลดอลลาร์” นายธิติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทยังอ่อนค่าช้าหรือทรงตัวกว่าค่าเงินภูมิภาค โดยล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2552 ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 0.5% ส่วนค่าเงินภูมิภาคอ่อนค่าลงถึง 3-5% ซึ่งเป็นตามกลไกตลาด โดยนักลงทุนจะเริ่มหันไปสนใจลงทุน หรือ “เก็งกำไร” ค่าเงินของประเทศที่มีสภาพคล่องสูงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด และเป็นประเทศที่สามารถเข้าลงทุนได้ทมันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ส่งผลให้ค่าเงินภูมิภาคผันผวนกว่าค่าเงินบาทเพราะการเคลื่อนย้ายของเม็ดเงินลงทุน
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 2552 จนถึงปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณนักลงทุนต่างชาติเข้ามา “เก็งกำไร” เงินบาทเนื่องจากการเข้ามาลงทุนต้องผ่านกฎเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กำหนดไว้ อีกทั้งธปท.ยังเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อไม่ให้เกิดความผันผวนเพราะอาจกระทบต่อภาคส่งออก สำหรับกรณีที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยเพื่อโยกเข้าไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย เนื่องจากผลตอบแทนสูงและช่วยลดความเสี่ยงนั้นเชื่อว่าไม่มีนัยยะสำคัญเพราะมูลค่าที่ลงทุนปัจจุบันอยู่ที่ 7 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดิมที่เคยอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท
|