May 7, 2024   5:19:34 AM ICT
การลงทุนภาครัฐปี 52 ฉายแววสดใส

 การลงทุนของรัฐวิสาหกิจบางโครงการอาจชะลอ จากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป จากการวิเคราะห์การลงทุนภาครัฐที่ผ่านมา พบว่า เม็ดเงินลงทุนจะมาจาก 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ การลงทุนของส่วนราชการและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่หลายโครงการเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่สำคัญซึ่งมีวงเงินการลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยในปีงบประมาณ 2552 ได้มีการกำหนดกรอบวงเงินการลงทุนของรัฐวิสาหกิจแบ่งเป็นวงเงินดำเนินการประมาณ 478,600 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุนประมาณ 237,142 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ค้างอยู่จากปีงบประมาณก่อนโดยประเมินว่าวงเงินเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีนี้อาจมีไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท


 สำหรับการลงทุนของส่วนราชการนั้นในปีงบประมาณ 2552 ได้มีการกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีไว้ที่ประมาณ 1,835,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2551 ประมาณร้อยละ 10.5 ในจำนวนนี้เป็นรายจ่ายลงทุนประมาณ 407,318 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.7 ในส่วนงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีมีประมาณ 174,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 59.7 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงบประมาณด้านการลงทุน  นอกจากนี้ หลังการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้มีแนวทางการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมกลางปีประมาณ 116,700 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยประเมินว่าในส่วนที่เป็นรายจ่ายด้านการลงทุนน่าจะมีประมาณ 7,165 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 6.1 ของวงเงินงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี


 ในส่วนของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (Mega Projects) ซึ่งรัฐบาลเดิมเคยกำหนดวงเงินไว้ที่ประมาณ 1,886,252 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาการลงทุนตามแผนการประมาณ 4 ปี ตั้งแต่ปี 2552-2555 โดยหากสามารถดำเนินการได้จะเกิดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นจำนวนมากและจะช่วยกระตุ้นการลงทุนโดยรวมของประเทศได้ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาโครงการ Mega Projects มีปัญหาในการดำเนินการ ส่งผลให้การลงทุนต้องล่าช้าออกไป โดยมีสาเหตุมาจากหลายประการ อาทิ การจัดหาแหล่งเงินทุนซึ่งส่วนใหญ่เป็นแหล่งเงินทุนภายนอกประเทศ ทำให้ต้องใช้เวลาในการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ปัญหาการประมูลสัญญาการก่อสร้างที่มีคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการ และการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายชุด ทำให้นโยบายในโครงการลงทุนต่างๆ เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย


 ส่วนในปี 2552 แม้รัฐบาลชุดใหม่จะมีแนวทางสานต่อโครงการที่ผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลชุดเดิมไปแล้ว แต่คาดว่าจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและแหล่งเงินทุนแล้ว อาจทำให้ในปีนี้รัฐบาลจะสามารถลงทุนในโครงการ Mega Projects ได้ไม่มากนัก โดยคาดว่าจะมีโครงการรถไฟฟ้า 2 สายที่สามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในปีนี้ ได้แก่ สายสีแดง: บางซื่อ-ตลิ่งชั่น และสายสีม่วง: บางซื่อ-บางใหญ่ รวมทั้งอาจมีโครงการรถไฟรางคู่และโครงการระบบชลประทานในบางพื้นที่เท่านั้น อีกทั้งโครงการ Mega Projects ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ ซึ่งอาจไม่ทันการสำหรับที่จะเป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในยามคับขันเช่นนี้ ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลชุดปัจจุบันควรเร่งดำเนินการคือการเร่งรัดการลงทุนในโครงการสำคัญและเร่งด่วนของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานะทางการเงิน ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่าที่จะคาดหวังการลงทุนจากโครงการ Mega Projects ที่อาจต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการและยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง

สถานการณ์ล่าสุดของโครงการรถไฟฟ้า
เส้นทาง ระยะทาง (กิโลเมตร) วงเงิน
(ล้านบาท) ความคืบหน้า
สายสีม่วง: บางซื่อ-บางใหญ่ 23 60,465 อยู่ระหว่างประกวดราคา
สายสีน้ำเงิน: บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค 27 80,410 กำลังเจรจาเงินกู้กับ JICA และอาจมีการทบทวนแหล่งเงินกู้
สายสีแดง: บางซื่อ-ตลิ่งชัน 15 8,748 อยู่ระหว่างการเตรียมเวนคืนที่ดิน
สายสีแดง: บางซื่อ-รังสิต 36 77,053 รอเซ็นสัญญาเงินกู้กับ JICA
สายสีแดง: บางซื่อ-พญาไท-หัวหมาก 19 36,924 อยู่ระหว่างทบทวน EIA
สายสีเขียว: แบริ่ง-สมุทรปราการ 13 24,512 รอเซ็นสัญญาเงินกู้กับ World Bank
สายสีเขียว: หมอชิต-สะพานใหม่ 12 36,924 รอเซ็นสัญญาเงินกู้กับ World Bank


ที่มา: รวบรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย จากข้อมูลของ สนข. และอื่นๆ


* จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและฐานที่ต่ำในปีก่อน การลงทุนภาครัฐปีนี้ยังโตได้ 6.0-8.5%
 สำหรับในปี 2552 หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลชุดใหม่ สถานการณ์ทางการเมืองก็เริ่มมีความคลี่คลายลงในระดับหนึ่ง อีกทั้งรัฐบาลก็เร่งดำเนินนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาหลายชุดด้วยกัน ตลอดจนเสียงตอบรับจากภาคเอกชนโดยเฉพาะนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศก็มีทิศทางที่เป็นบวกมากขึ้น ทำให้หากรัฐบาลสามารถเร่งดำเนินการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามที่ได้วางแผนไว้ โดยที่เม็ดเงินต่างๆ สามารถอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วภายในครึ่งแรกของปีนี้ ก็อาจทำให้การลงทุนภาครัฐสามารถกลับมาขยายตัวได้หลังจากที่อยู่ในระดับที่หดตัวในปีก่อน และจะเข้ามาเป็นเครื่องจักรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ในกรณีที่รัฐบาลมีเสถียรภาพเพียงพอที่จะผลักดันนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้โครงการลงทุนของภาครัฐที่สำคัญมีความคืบหน้าต่อไปได้ อีกทั้งจากระดับอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลงเป็นอย่างมาก ตลอดจนฐานของอัตราการขยายตัวการลงทุนภาครัฐที่ต่ำในปีก่อน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าจะทำให้การลงทุนภาครัฐในปี 2552 ยังสามารถขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 6.0-8.5 จากปีก่อนที่คาดว่าจะหดตัวประมาณร้อยละ 3.6 รวมทั้งมองว่าการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาครัฐน่าจะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีอัตราการขยายตัวตลอดทั้งปี 2552 ไม่อยู่ในระดับที่ถดถอยได้

เข้าชม: 1,906

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com