April 28, 2024   5:53:12 AM ICT
เผดิมภพ สงเคราะห์ โหรหุ้นสอน เล่นหุ้น

ทุกเช้าเรามักจะได้ยินเสียงนุ่มๆ ของผู้ชายตัวโตที่ชื่อ เผดิมภพ สงเคราะห์ คาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้น แนะนำหุ้นเด็ด และตอบคำถามนักลงทุน ผ่านสื่อวิทยุหลายคลื่น และสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เป็นประจำ เขายังได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรในงานสัมมนาเรื่องหุ้นอยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นกิจวัตรปกติ

 

ความน่าเชื่อถือของเผดิมภพ เกิดมาจากเขา รู้ลึก และ รู้จริง ความน่าเชื่อถือตรงนี้แลกมาด้วยความ มุมานะ อย่างแท้จริง

ปัจจุบัน เผดิมภพ สงเคราะห์ เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง เขาเป็นโหรหุ้นที่ฮอตที่สุดของยุคนี้ก็ว่าได้ ความรู้ที่แตกฉานของเผดิมภพ มีรากฐานมาจากการ อ่าน หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ และบทวิเคราะห์หุ้นของทุกโบรกเกอร์

.......ชนิดที่เรียกว่า เสพติด ข้อมูลเลยทีเดียว

เมื่อมีโอกาสจับเข่าคุยกับเผดิมภพ ถามเขาถึงวิธีการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ....เคล็ดลับการลงทุนของเผดิมภพคืออะไร เขาตอบสั้นๆ ว่า การลงทุนที่จะประสบความสำเร็จ ต้องใช้วิธีลงทุนแบบคิดไปข้างหน้า ไม่อยากให้คิดไปข้างหลัง

สิ่งแรกที่โหรหุ้นชื่อดังผู้นี้แนะนำ นักลงทุนต้องดูความพร้อมของตัวเอง เรื่องแรก คือ การยอมรับ ความเสี่ยง และเรื่องของ เวลา ถ้าวันๆ นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานไม่มีเวลาดูหุ้นก็ควรจะหาหุ้นที่ไม่เสี่ยงจนเกินไป

ถ้าคุณมีเวลา และยอมรับความเสี่ยงได้ การลงทุนหุ้น ผันผวน ก็น่าสนใจแต่ต้องเป็น เงินเย็น เท่านั้น

ประเด็นการเลือกหุ้นผมมองว่าขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนว่าชอบหุ้นเสี่ยงมาก หรือเสี่ยงน้อย จากนั้นก็ต้องมาดูกลุ่มหุ้นที่จะลงทุน เวลาเลือกหุ้นให้หาหุ้นที่เติบโตมากกว่าเศรษฐกิจ หรือแย่น้อยกว่าเศรษฐกิจ

เผดิมภพ บอกว่า ถ้าซื้อหุ้นแบงก์ สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ 3 กลุ่มนี้ต้องซื้อตอนที่เศรษฐกิจ กำลังจะฟื้นตัว หุ้นพวกนี้จะได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นค่อนข้างมาก กลุ่มที่สองประเภทหุ้น บลูชิพ มักเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ในกลุ่มนำตลาดที่มีสภาพคล่องการซื้อขายสูง

หุ้น บลูชิพ ต้องซื้อขายตาม กองทุน ถ้าเศรษฐกิจดีราคาหุ้นก็จะดีเท่าๆ กัน

แต่ถ้าเล่นหุ้นตอนที่เศรษฐกิจขาลงต้องซื้อหุ้น Defensive Stock เป็นหุ้นที่ผันผวนน้อยกว่าตลาด ผลประกอบการดี และยังให้เงินปันผลในอัตราที่ดีกว่าฝากแบงก์ จะเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ ปัจจัย 4 เช่น อาหาร พลังงาน โรงพยาบาล หุ้นพวกนี้เหมาะกับช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี

ส่วนหุ้นประเภท Cyclical Stock หรือ หุ้นวงจร ลักษณะธุรกิจจะขึ้นๆลงๆ ตามภาวะอุตสาหกรรม หรือราคาสินค้าในตลาดโลก เช่น กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มน้ำมัน หุ้นประเภทนี้ เผดิมภพ แนะนำว่า ต้องจับจังหวะลงทุนให้ดี หุ้นพวกนี้จะต้องเล่น เป็นรอบ ไม่เหมาะถือยาวๆ

ส่วนประเภท หุ้นปันผล จะเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ค่อยชอบเสี่ยง ถ้าเป็นประเภทหุ้นเก็งกำไร ตามข่าว นักลงทุนจะต้องเร็ว ถ้าเข้าจังหวะผิดจะต้อง ทิ้ง ทันที

นักลงทุนต้องมองให้ออกว่าข้างหน้าจะมีเหตุการณ์อะไรบ้างที่มากระทบตลาดหุ้น เมื่อมีหุ้นได้รับผลกระทบ ก็ต้องมีหุ้นที่ได้ประโยชน์ อย่างช่วงที่ราคาน้ำมันแพง กลุ่มขนส่ง กลุ่มวัสดุก่อสร้างได้รับผลกระทบ แต่ธุรกิจโรงกลั่นได้ประโยชน์ หรือช่วงที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น คนได้ประโยชน์มากที่สุดคือ แบงก์ ส่วนต่างกำไรจะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นในเชิงกลยุทธ์กลุ่มแบงก์ และกลุ่มพลังงาน น่าสนใจที่สุด

วิธีการเล่นหุ้นให้ได้กำไร โหรหุ้นชื่อดัง บอกว่า อย่างแรกเลยนักลงทุนต้องรู้ว่าตัวเองกำลังเล่นหุ้นแบบไหน จากนั้นค่อยไปดูเรื่องการประเมิน มูลค่า ของหุ้น

อย่าไปประเมินมูลค่าหุ้นก่อน โดยไม่รู้ว่ากำลังเล่นหุ้นประเภทไหน แล้วมันเหมาะกับสไตล์ตัวเองรึเปล่า

ส่วนเรื่อง Timing หรือ จังหวะ ในการเข้าซื้อขาย สำคัญที่สุดต้องอ่านแนวโน้มตลาดให้ออก ถ้าตลาดหุ้นกำลังอยู่ในแนวโน้ม ขาขึ้น ต้องลงทุนหุ้นประเภท Growth Stock แต่ในสถานการณ์ที่อึมครึม ภาพตลาดไม่ชัดเจนต้องหาหุ้นที่ เสี่ยงต่ำ ไว้ก่อน เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน

เคล็ดลับลงทุนเมื่อยามที่ตลาดหุ้นไร้ทิศทาง เผดิมภพ ชี้แนะว่า ควรเลือกหุ้นที่เป็น Value Stock ประเภท จ่ายปันผลสูง ต้องไม่ใช่ธุรกิจที่ผันผวนมากเกินไป ให้มองหาหุ้นที่มีรายได้มั่นคง แล้วทยอยสะสมเข้าพอร์ตในช่วงที่หุ้นตกเยอะๆ

หุ้นอีกประเภทหนึ่งที่โหรหุ้นชื่อดังแนะนำ ก็คือหุ้นประเภท Turnaround Stock แต่เน้นว่าต้องเป็นประเภท ปรับโครงสร้างหนี้จบ ปลดล็อกเรื่องภาระอัตราดอกเบี้ยจ่าย หุ้นกลุ่มนี้จะฟื้นตัวเร็วถ้าตลาดหุ้นกลับมาบูมอีกครั้ง

เมื่อเลือกหุ้นได้แล้วประเด็นต่อมาต้องมาดูว่าหุ้นที่เราจะซื้อราคา ถูก หรือ แพง

ผมชอบดูค่า P/E เรโชเป็นหลักอยู่แล้ว แต่จะดูลึกกว่านั้นจะดู P/EG(Growth)เป็นหลัก คือ จะดู Growth ของกำไรในอนาคต(เติบโตขึ้นกี่เปอร์เซนต์หาได้จากรายงานของนักวิเคราะห์) บางตัว P/E ต่ำมากแต่หุ้นไม่ขึ้นเพราะมันไม่มี Growth ขณะที่หุ้นบางตัวทำไมซื้อขายกันที่ P/E แพงเพราะธุรกิจมันมี Growth สูง

เพราะฉะนั้นสูตรเด็ดของเผดิมภพเขาจะเปรียบเทียบโดยนำค่า P/E มาหารด้วยG(การเติบโตของกำไร)ถ้ายิ่งมันต่ำกว่า 1 เท่าลงมาแสดงว่าหุ้นตัวนั้นมีความน่าสนใจ เพราะการเติบโตของกำไรในอนาคตสูงกว่าพี/อี แต่ถ้าสูงกว่า 1 แสดงว่าพี/อีในปัจจุบันสูงกว่าการเติบโตของกำไรในอนาคต ความน่าสนใจหุ้นตัวนั้นจะน้อย

จากสถิติที่เผดิมภพเก็บรวบรวมเอาไว้นานนับสิบปีค่า P/EG(Growth)ตามทฤษฎีของ SET เคยต่ำที่สุด 0.35 เท่า(ดัชนีจะดีดกลับ)เมื่อปี 2541 ตอนนั้นดัชนีอยู่ที่ประมาณ 200 จุด ถือว่าเป็นราคาถูกมากที่สุดในประวัติการณ์ และสูงที่สุดของ SET อยู่ที่ 0.70 เท่า(หุ้นจะไปต่อไม่ไหว)

ปัจจุบันค่าพี/อี ตลาดอยู่ที่ประมาณ 9-10 เท่า ค่าพี/อีจี อยู่ที่ประมาณ 0.45 เท่า ณ สถานการณ์ที่เป็นอยู่ถือว่า ไม่ถูก และไม่แพง

ถ้าคำนวณตามทฤษฎี P/EG ในกรณีตลาดหุ้นแย่ที่สุดปีนี้(2547)พี/อีจีของ SET ไม่น่าจะต่ำกว่า 0.40 เท่า ค่าพี/อีประมาณ 9 เท่า หุ้นจะอยู่ที่ประมาณ 550 จุด ในกรณีที่ดีที่สุดพี/อีจี ไม่น่าจะสูงกว่า 0.50 เท่า ค่าพี/อี จะประมาณ 12.50 เท่า ดัชนีจะอยู่ที่ประมาณ 760 จุด

นอกจากดู พี/อีแล้ว เบสิคต่อมาก็ดู P/BV(ราคาปิดต่อมูลค่าหุ้น) แต่ตัว P/BV เผดิมภพ บอกว่าไม่อยากให้ดู Book Value(มูลค่าหุ้นตามบัญชี)อย่างเดียว อยากให้ดู Adjust Book(มูลค่ากิจการที่นักวิเคราะห์ปรับค่าให้เหมาะสม) มากกว่าว่าเป็นอย่างไร เพราะตัวนี้มักจะหลอกตานักเล่นหุ้น

เรโชอีกตัวหนึ่งที่ต้องดูประกอบ คือ ค่า D/E เรโช หรือ สัดส่วนหนี้สินต่อทุน ตัวนี้เผดิมภพ ชี้ว่าถ้าหุ้นตัวไหนที่มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนมาก(หนี้สูง) แสดงว่าหน้าตักเขาน้อย แต่จุดนี้ไม่ใช่จุดตัดสินว่าหุ้นตัวนั้นไม่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะหุ้นที่มี D/E เรโชสูงถ้าธุรกิจเขามี Growth สูง มาร์จินสูง ธุรกิจเขาดี.....ผมก็ถือว่าหุ้นตัวนั้นน่าสนใจ แต่ก็เสี่ยงตรงที่ถ้าดอกเบี้ยขึ้น หุ้นพวกนี้จะได้รับผลกระทบก่อนคนอื่น

เผดิมภพมีวิธีคิดในการตั้งเป้าหมายผลตอบแทนจากการลงทุน ถ้าจะซื้อDividend Stock(หุ้นปันผล) การคาดหวังเรื่องผลตอบแทนจาก เงินปันผล ควรจะไปผูกกับ ดอกเบี้ยเงินฝาก

ถ้า Yield จากดอกเบี้ย 2% ความคาดหวังจากเงินปันผลควรจะ 4-5% ขึ้นไป เพราะถ้าแนวโน้มดอกเบี้ยขึ้นต้องหาหุ้นที่จ่ายปันผลสูง ขณะที่ในสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นไม่ค่อยดีการลงทุนเพื่อหวัง Capital Gain หวังผลตอบแทนจากการหาจังหวะเข้าทำกำไร 10% ก็เยอะแล้ว

เขาย้ำว่าเป้าหมายการทำกำไรของแต่ละคนต่างกัน และไม่มีจุดสมดุลที่ตายตัวหรอก แต่สิ่งที่ต้องดูนั้นควรเทียบกับราคาที่เหมาะสม หรือ ราคาตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้น ถ้าราคาหุ้นขึ้นมาใกล้กับราคาเป้าหมายก็ควรจะขายออกไปก่อน

ผมคิดว่าวิธีลดความเสี่ยงที่ดีที่สุด หนึ่ง ต้องซื้อหุ้นที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน สอง ไม่ควรซื้อหุ้นเยอะตัวเกินไป สาม ถ้าราคาหุ้นสูงกว่าราคาเป้าหมาย ควรขาย สี่ ถ้าหุ้นตกลงมามากกว่าพื้นฐาน พิจารณาแล้วไม่ทำให้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นเปลี่ยน ควรซื้อ ห้า ถ้าปัจจัยพื้นฐานหุ้นเปลี่ยนต้องขายทิ้ง ทุกราคา ไม่จำเป็นต้องดูว่าหุ้นลงมากี่เปอร์เซนต์

สัญญาณที่บอกว่าพื้นฐานหุ้นเปลี่ยน เผดิมภพยกตัวอย่าง บริษัท ก. ไปทำสัญญารับงานจากบริษัท ข. 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีผลต่อกำไรของบริษัทมาก แต่จู่ๆ มาบอกยกเลิก ผู้ถือหุ้นบริษัท ก ได้ข่าวนี้ ขาดทุนเท่าไรก็ต้องขายทิ้ง เพราะถือว่าพื้นฐานหุ้นเปลี่ยนไปแล้ว

เผดิมภพยังให้แง่คิดถึงวิธีกระจายความเสี่ยงว่า ตามทฤษฎีเขาบอกว่าต้องลงทุนหุ้นมากๆ จะช่วยลดความเสี่ยง

เนื่องจากผมใกล้ชิดกับนักลงทุนรายย่อย ผมคิดว่าเลือกตัวที่เจ๋งๆ 4-5 ตัวก็พอแล้ว แต่ให้หมุนตามจังหวะตลาด ช่วงที่ตลาดหุ้นดีต้องเล่น Growth Stock ช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดีให้เล่น Dividend Stock คนที่เล่นหุ้นเก่งเขาจะรู้ว่าแต่ละช่วงต้องเล่นหุ้นแบบไหน

ในโลกการลงทุนส่วนตัวของเผดิมภพ ช่วงที่ตลาดหุ้นอึมครึม เขาบอกว่าส่วนตัวไม่มีเงินลงทุนในตลาดหุ้น จะถือ Cash มากกว่า เงินที่มีอยู่จะเอาไปซื้อหุ้นปันผลก็ไม่มากพอ จะซื้อกองทุนก็ไม่ค่อยชอบ ช่วงที่ตลาดหุ้นดีก็มีเงินลงทุนอยู่บ้าง

โหรหุ้นชื่อดังมีคติที่ใช้เตือนนักลงทุนอยู่เสมอว่า เวลาซื้อหุ้นเราอย่าหลอกตัวเอง ถ้าพื้นฐานหุ้นเปลี่ยนไปแล้ว เรายังหลอกตัวเองว่าหุ้นจะกลับมาอีก ผมคิดว่าเป็นวิธีการที่ผิด ในทางกลับกันเวลาหุ้นตกต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆ ในใจเรายังคิดเลยว่าถูกมากๆ แต่หลอกตัวเองว่าเรากลัว ไม่กล้าซื้อ สุดท้ายก็เสียโอกาส

.....การซื้อหุ้นอย่าใช้ อารมณ์ หรือ จิตวิทยา ของตัวเองมาตัดสิน ให้ใช้ข้อมูลเป็นตัวตัดสิน

เข้าชม: 3,948

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com