May 13, 2024   9:15:13 PM ICT
4 โบรกฯ เห็นพ้อง TOC ผลการดำเนินงานยังสดใสต่อเนื่อง คาดทั้งปีกำไรพุ่งก้าวกระโดด

เกียรตินาคิน ? เคจีไอ-ไซรัสคาดผลประกอบการ TOC ปีนี้ยังสดใส ปริมาณการ ขายเพิ่มต่อเนื่อง หลังบ.เดินเครื่องผลิตเต็มกำลัง เกียรตินาคิน มองกำไรไตรมาสล่าสุดเพิ่ม ถึง 156% เช่นเดียวกับเคจีไอ-ไซรัส มอง Q3-4/47กำไรจะดีมากเช่นกันส่วนยูไนเต็ด คาด ทั้งปีกำไรโต 389% ประสานเสียง เชียร์ ซื้อ

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล. เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า คาดว่าบริษัทจะมีการประกาศ ผลประกอบการออกมามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,335 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ผ่านมา ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (Spread) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ 390 เหรียญฯ/ตัน มาอยู่ที่ 456 เหรียญฯ/ตัน ในไตรมาสนี้ ซึ่งจาก ข้อมูลของ CMAI คาดว่าส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (Spread) นี้จะสูงกว่า 500 เหรียญฯ/ตัน ในไตรมาส 4

อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าในไตรมาสหน้าน่าที่จะมี Spread ที่อยู่ในระดับเดียวกับ ไตรมาสนี้ได้ นอกจากนี้ในส่วนของราคาขายผลิตภัณฑ์พลอยได้ในรูปของ P-Gas ซึ่งเป็นวัตถุดิบ ในการผลิต Benzene มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตามการเพิ่มขึ้นของ Benzene มีราคา เพิ่มสูงขึ้นมากจาก 400 เหรียญฯ/ตันในไตรมาสที่ผ่านมาเป็น 700 เหรียญฯ/ตันในไตรมาสนี้

ส่วนหนึ่งของการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่ามากของผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสนี้มา จาก ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมาเนื่องจากบริษัทมีการเดินเครื่องผลิตที่เต็มกำลังการผลิต โดยที่ คาดว่าในไตรมาสนี้จะมีปริมาณขายอยู่ที่ 164,000 ตัน ขณะที่ไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ 130,000 ตัน เพิ่มขึ้น 26% และคาดว่าในไตรมาสหน้าก็น่าที่จะรักษาระดับของการผลิตไว้ที่ระดับนี้ต่อไปได้

เรามีมุมมองเป็นบวกต่อการที่บริษัทมีนโยบายในการบริหารต้นทุนและโครงสร้างทาง การเงินของบริษัท โดยที่บริษัทยังคงเน้นในเรื่องของการบริหารต้นทุน เพื่อสร้างความสามารถใน การแข่งขันให้เพิ่มสูงขึ้น โดยมีการศึกษาลงในธุรกิจปิโตรเคมีปลายน้ำในหลายๆ ผลิตภัณฑ์ดัง เช่นที่ผ่านมาที่บริษัทมีการลงทุนใน BPE และ MEG เพื่อที่จะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยนั้นลดลง นอกจากนี้บริษัทยังคงรักษาระดับของ Gearing Ratio ของบริษัทให้อยู่ในระดับ 0.5 ? 0.7 เท่า โดยที่ปัจจุบันบริษัทมีการขออนุมัติเงินกู้จากสถาบันการเงินประมาณ 75 ล้านเหรียญฯ โดยมี อัตราดอกเบี้ยประมาณ LIBOR+0.6% โดยที่บริษัทจะบริหารหนี้ให้มีต้นทุนทางการเงินไม่เกิน 4.5% ความคืบหน้าในเรื่องของ BPE ได้รับการโอนหุ้นเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มรับรู้ในไตรมาส ที่ 4 ปีนี้ ความคืบหน้าล่าสุดบริษัทได้มีการโอนหุ้นระหว่างกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยผลการดำเนินการของ BPE จะเริ่มรับรู้เข้ามาในงบของ TOC ในลักษณะ Equity Method ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ขณะที่ PTT ผู้ถือหุ้นใน BPE อีก 50% เป็นลักษณะ Consolidate งบของ BPE ขณะที่ผลประกอบการของ BPE เริ่มที่จะทำกำไรได้แล้ว

เราคาดว่า TOC จะรายได้รวมในปี 47 อยู่ที่ 22,655 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.24% เมื่อ เทียบกับปีที่ผ่านมา (yoy) ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของระดับราคาตามวัฎจักรธุรกิจทั้ง Ethylene และ Propylene ประกอบกับการขยายกำลังการผลิต ทำให้เรามองว่า กำไรสุทธิในปี 47 ของ TOC จะอยู่ที่ 6,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 354.94% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (yoy) เรา ประเมินราคาที่เหมาะสมของ TOC โดยใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ให้ราคาที่เหมาะสม ของ TOC ที่ 87 บาท/หุ้น เมื่อเทียบกับราคาปิดหุ้น TOC เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 47 อยู่ที่ 69.50 บาท ยังคงมี Upside gain ประมาณ 20% เรายังคงแนะนำ ?ซื้อลงทุน?

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เคจีไอ เปิดเผยว่า ตามข่าวที่ปรากฎ TOC ได้แสดง ความสนใจที่จะซื้อหุ้นบางส่วนของ VNT เพื่อสร้างความแน่นอนให้กับการขายเอทิลีนที่จะมาจาก ส่วนขยาย ซึ่งจะเริ่มผลิตในไตรมาส 1/48 กลยุทธ์หลักของ TOC คือการขยายและสร้างความ หลากหลายทางธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ จนถึงปัจจุบัน TOC ได้ลงทุนในโครงการผลิตภัณฑ์ ปลายน้ำไปแล้ว 3 โครงการ ได้แก่ การผลิต HDPE, MEG และฟีนอล เราเห็นว่าไม่ง่ายที่ TOC จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ VNT เนื่องจากผู้ถือหุ้นราย ใหญ่ ณ ปัจจุบันไม่ได้แสดงความตั้งใจที่จะขายหุ้นออกมา (กลุ่ม CP และโซลเวย์ เอส.เอ. ซึ่งเป็น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถือหุ้น VNT เป็นสัดส่วน 67% และอยู่ในธุรกิจพีวีซีในไทยมานาน) ดังนั้น TOC อาจจะซื้อหุ้น VNT จากผู้ถือหุ้นรายอื่นและจากผู้ถือหุ้นรายย่อยในตลาดฯ เรายังคงประมาณการ และคำแนะนำ คาดว่า TOC น่าจะมีอัตราการเติบโตของ EPS ระหว่างปี 2546-49 ที่ 84% หุ้น TOC ยังคงน่าสนใจลงทุนที่ PE ปี 47 ที่เพียง 8.6 เท่า และมี อัตรา PEG ที่เพียง 0.1 เท่า เรายังคงคำแนะนำ ?ซื้อ? เป้าหมาย 95 บ.

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จากบล. ไซรัส เปิดเผยว่า คาดกำไร 3Q47 สูงเกือบ 2.4 เท่า จากไตรมาสก่อน ขึ้นไปสูงถึงประมาณ 2.15 พันล้านบาท จากไตรมาสก่อนที่มีกำไร 912 ล้าน บาท และมากกว่าครึ่งปีแรกที่มีกำไร 1.65 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เนื่องจาก (1) Product spread ที่เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ US$456/ตัน ในไตรมาสนี้จาก US$390/ตัน ในไตรมาสก่อน (2) ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อนที่มีการทำ Shut-down และ (3) ราคาของ By- productsโดยเฉพาะ Py-gasซึ่งอิงกับราคาอะโรเมติกส์

ทั้งปี 47 กำไร 4.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 218% จากปีก่อน และคาดโตต่อเนื่องอีก 62% ในปี 48 จากกำลังผลิตที่จะเพิ่มขึ้น 55% หลังเริ่มการผลิตของโรงงานส่วนขยาย 1 โรง ใน 1Q48 ด้วยกำลังผลิต 315,000 ตัน/ปี จากกำลังผลิตปัจจุบัน 575,000 ตันต่อปี (แบ่งเป็นเอทิลี น 385,000 ตัน/ปี และโพรพิลีน 190,000 ตัน/ปี) และ Product spread (ราคาขาย-ต้นทุนวัตถุ ดิบ) ที่เรามีสมมุติฐาน ค่อนข้าง Conservative

ข่าวการเจรจาซื้อหุ้น VNT ยังไม่มีข้อสรุป (Business Day Oct.18,2004) เป็นการ เจรจาเพื่อซื้อหุ้นบางส่วนใน VNT (ไม่ทราบว่าจะเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นรายใด คือ กลุ่มโซเว่ หรือ กลุ่ม CP) แต่ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ วัตถุประสงค์เพื่อเป็นการ Secure การขายผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ ซึ่งปัจจุบัน TOC ขายให้แก่ VNT ในสัดส่วนประมาณ 10-15% และ Diversify ธุรกิจ ผู้บริหาร TOC ยอมรับว่ามีการศึกษาการเข้าลงทุนในธุรกิจ Downstream อื่นๆ เช่นกัน

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.ยูไนเต็ด เปิดเผยว่า จากการทำ Preview ผล ประกอบการไตรมาสที่ 3 กับผู้บริหาร คาดว่าราคาขายผลิตภัฑณ์ โอเลฟินส์เพิ่มขึ้นมากกว่าวัตถุ ดิบ ส่งผลให้ส& 63242;วนต& 63242;างราคาจําหน่ายโอเลฟ& 63233;นส& 63246;กับราคา วัตถุดิบแนฟทา (Spread) สูงขึ้นมาก โดยคาดว่า ราคาจําหน& 63242;ายเอธิลีนในไตรมาส 3/47 อยู& 63242; ที่ 870 เหรียญ/ตัน เพิ่มขึ้น 16% qoq จาก 750 เหรียญ/ตันในไตรมาส 2/47 ในขณะที่ราคาจําหน่าย 63242;ายโพรพิลีนเพิ่มสูงขึ้น 13% จาก 698 เหรียญ/ตันในไตร มาส 2/47เป& 63250;น 787 เหรียญ/ ตัน ในขณะที่ราคาวัตถุดิบแนฟทาเพิ่มสูงขึ้นน้อยกว่า คือ 10% qoq จาก 340 เหรียญ/ตัน เป็น 374เหรียญ/ตัน

คาดว่าจะมีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3/47 สูงมากถึง 2,272 ล้านบาท และมากกว่าที่ คาดการณ์ไว้เดิมที่ 1,979ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 149% QoQโดยคาดว่า Spread จะเพิ่ม ขึ้นจาก 390 เหรียญต่อตันในไตรมาสที่ 2/47 เป็น 456 เหรียญต่อตัน นอกจากนั้นแล& 63243; วราคาของผลิตภัณฑ& 63246;พลอยได& 63243; (By-product) คือ Pyrolysis gasoline ก็มี ราคาเพิ่มสูงขึ้นมากจาก 400 เหรียญ/ตันในไตรมาส 2/47 เป& 63250;น 700 เหรียญ/ตันใน ไตรมาสนี้ในขณะที่ปริมาณการจําหน& 63242;ายโอเลฟ& 63233;นส& 63246;ก็เพิ่มสูงขึ้น จาก 130,000 ตันเป& 63250;น 164,000 ตัน

เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อไปสำหรับไตรมาสที่ 4/47 เนื่องจากราคาน้ำมันที่ยังมีแนว ปรับตัวสูงขึ้นจะยังประคองให้ราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์อยู่ในระดับสูงต่อไป ในขณะที่อุปทานโอเล ฟินส์ในโลกเพิ่มขึ้นน้อยกว่าอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นไปจนกระทั่งปี 49-50 เพราะโรงงานในตะวันออก กลางส่วนใหญ่จะสร้าง Downstream ขึ้นมารองรับโอเลฟินส์ที่ผลิตได้ด้วย โดยเราคาดว่าบริษัท จะมีกำไรสุทธิสูงถึง 2,953 ล้านบาท บนสมมุติฐาน spread และ

ปริมาณการผลิตใกล้เคียงกับไตรมาสที่ 3 และรับรู้กำไรจากการขายหุ้น TOC ซึ่ง BPE ถืออยู่ 32.25 ล้านหุ้น ในราคา 46 บาท ในไตรมาสที่ 4 อีก 581 ล้านบาท

เราค่อนข้างจะ Bullish หุ้น TOC มากกว่าหุ้นอื่น ๆ ในกลุ่มปิโตรเคมีด้วยเหตุผล หลัก ๆ คือ

1.บริษัทขยายกำลังการผลิตได้ถูกจังหวะเวลา เพราะผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์มีความต้อง การเพิ่มสูงมากและยังเป็นขาขึ้นจนถึงปี 2549 โดยกำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นจาก 575 พันตันเป็น 890 พันตันต้นปี 48 (หรือเพิ่มขึ้น 55%) และทำ Debottlenecking ซึ่งเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 1,140 พันตันในปี 49 (หรือเพิ่มขึ้นอีก 28%)

2.บริษัทยังมี Tax Shield เหลืออีก 9,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มเสียภาษี ปลาย ๆ ปี 48 และเสียภาษีในอัตราเพียง 12.5% ไปอีก 5 ปี เนื่องจากได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จาก BOI

3.การเข้าซื้อ BPE ที่มูลค่า 3,700 ล้านบาท (โดยประเมินราคา TOC ที่เพียง 46 บาท) ถือว่าเป็น Deal ที่ดีและถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับราคาปัจจุบันที่ 69 บาท และคิดเป็น มูลค่าตามราคาตลาดสูงถึง 4 พันกว่าล้านบาท (จำนวนหุ้น TOC ที่ BPE ถืออยู่ 58.36 ล้านหุ้น)

4.BPE ปัจจุบันสามารถผลิตเต็มเต็มกำลังการผลิตและจะทำ Debottlenecking เพิ่มกำลังการผลิตอีก 25% เป็น 250 พันตัน ในเดือน ก.พ.48 และยังสามารถเพิ่มกำลังการผลิต ได้อีกเท่าตัว ดังนั้น TOC จะสามารถ Secure ยอดขายและ spread ได้มากขึ้นในช่วงวัฎจักรปิ โตรเคมีขาลง

5.นอกจากนี้ การที่บริษัทมีกําลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัวดังที่กล่าวมาข้างต้น จะมีลูกค้าที่แน่นอนจากการมีโครงการ EO/EG 300 พันตัน และโครงการฟ& 63234;นอล อีก 200 พันตัน ซึ่งจะแล้วเสร็จและเริ่มผลิตได้ในปี 49 และ 50 ตามลำดับ

คาดว่าปี 47 บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 6,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 389% หรือมีกำไรต่อ หุ้น 8.3 บาท และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 8,339 ล้านบาทในปี 48 หรือเพิ่มขึ้น 21% และมีกำไร ต่อหุ้นเท่ากับ 10.16 บาท และคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลได้ในอัตรา 3.5%-4.5%

คำแนะนำ :จากการที่คาดว่าบริษัทจะ Growth ได้สูงกว่าบริษัทในกลุ่มปิโตรเคมี อื่น ๆ ในช่วง 1 ปีข้างหน้า และมีความเสี่ยงในช่วงที่วัฎจักรปิโตรเคมีเป็นขาลงต่ำกว่าในกลุ่ม เดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีระดับพีอีต่ำเพียง 6.9 เท่าในปี 48 และเมื่อประเมินราคาด้วย DCF ที่ WACC12% จะมีราคาที่เหมาะสมที่ 92.5 บาท หรือมี Upside Gain 33% จึงยังคงคำแนะ นำ ?ซื้อ?

ที่มา efinance.com

เข้าชม: 1,356

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com