May 13, 2024   8:54:56 PM ICT
ลุ้นหุ้นแบงก์สัปดาห์นี้นำตลาด....หลังโชว์งบQ3พีอีกลุ่ม8.9เท่าต่ำ
ผู้จัดการรายวัน-สัปดาห์นี้ลุ้นหุ้นแบงก์นำดัชนีหลังประกาศงบไตรมาส 3/47 วันที่ 21 ต.ค. บล.พัฒนสิน คาดมีแรงซื้อกลับหลังถูกกระหน่ำขายจน P/E เหลือแค่ 8.99 เท่า ต่ำกว่าตลาดซึ่งอยู่ที่ 9.54 เท่า ด้านไทยพาณิชย์ ยังมองหุ้นขาลงหลังน้ำมันพุ่งกระทบต้นทุน บจ. ส่วนแรงขายต่างชาติ 2 โบรกเกอร์เห็นตรงกัน ยังคงมีอยู่ทั่วโลกเพื่อลดความเสี่ยง ด้านผู้บริหารกองทุนมองฝรั่งขายทำกำไรปกติ เชื่อเริ่มมีการเข้ามาเก็บหุ้นบ้างแล้ว
        ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ต้นปี 2547 ที่ผ่านมา ถือได้ว่าอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างผันผวน โดยในช่วงต้นปีดัชนีปรับตัวขึ้นแรง ก่อนจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบ ทั้งการระบาดของไข้หวัดนก สถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ และที่สำคัญคือราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นจนยืนเหนือระดับ 50 ดอลลาร์ต่อบาเรล ยิ่งทำให้เกิดความแปรปรวนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น เพราะเริ่มมีการออกมาวิเคราะห์ว่าระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนอย่างมากซึ่งจะเห็นผลอย่างชัดเจนในปีหน้า
        ในขณะที่ตัวเลข NPL ของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากการใช้เกณฑ์จัดชั้นหนี้ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้เกิดความกังวลโดยเฉพาะต่อนักลงทุนต่างชาติ เห็นได้ชัดเจนจากราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ปรับตัวลงแรงกว่าตลาด
        รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวการซื้อขายรายกลุ่มของนักลงทุน ปรากฎว่าตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค.-15 ต.ค. 2547 นักลงทุนต่างชาติยังแสดงยอดขายสุทธิ 31,870.30 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันถึงแม้จะมีการเทขายหุ้นออกมาในช่วงของการจัดงานไทยแลนด์ โฟกัส แต่โดยรวมแล้วตั้งแต่ต้นปียังแสดงยอดซื้อสุทธิ 18,692.42 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิ 13,177.88 ล้านบาท
        ในด้านของดัชนีตลาดที่ปรับตัวลดลงกว่า 123 จุดหรือ 16.02% นักจากต้นปี ส่งผลให้อัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ของตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงจากระดับ 13.65 เท่า ในวันที่ 6 ม.ค. 2547 มาอยู่ที่ 9.58 เท่า ในวันที่ 15 ต.ค. ในขณะที่มูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ปรับตัวลดลงจาก 4.79 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ 4.22 ล้านล้านบาท หรือหายไปประมาณ 5.7 แสนล้านบาท
        ทั้งนี้กลุ่มหลักทรัพย์ส่วนใหญ่จะมีค่า P/E ปรับตัวลดลงตาม P/E ตลาด แต่กลุ่มที่ค่า P/E ปรับตัวลดลงแรงกว่าตลาดอย่างเห็นได้ชัดคือ หุ้นกลุ่มแบงก์ ที่มีค่า P/E เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2547 อยู่ที่ 16.47 เท่า แต่ล่าสุดวันที่ 15 ต.ค. 2547 ค่า P/E ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 8.99 เท่า อันเป็นผลมาจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงอย่างแรง หลังจากที่ธนาคารกรุงไทย (KTB) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/47 ออกมาต้องกันสำรองเพิ่มขึ้น
        อย่างไรก็ตามมีกลุ่มหลักทรัพย์ที่ค่า P/E ปรับตัวสูงขึ้นอย่างโดดเด่นสวนทางกับภาวะตลาดโดยรวมคือ กลุ่มการแพทย์ ที่มีค่า P/E ณ วันที่ 15 ต.ค. อยู่ที่ 21.92 เท่า เพิ่มขึ้นจากวันที่ 6 ม.ค. ที่มีค่า P/E อยู่ที่ 16.86 เท่า
        ล่าสุดวันที่ 15 ต.ค. 2547 ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 648.48 จุด เพิ่มขึ้น 7.18 จุด มูลค่าการซื้อขาย 16,204.59 ล้านบาท
        นายสาธิต วรรณศิลปิน ผู้จัดการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) (CNS) เปิดเผยว่า P/E ของหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ปรับตัวลดลงมาเหลือเพียง 8.99 เท่า ซึ่งถือว่าลงแรงกว่าตลาด เป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับตัวเลข NPL และคุณภาพของการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดจะคลายความกังวลต่อประเด็นดังกล่าว หลังจากวันที่ 21 ต.ค. ที่จะเป็นวันประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/47 ของธนาคาร
        ทั้งนี้ผลการดำเนินงานที่ออกมาเชื่อว่าจะทำให้เกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น เพราะประเมินว่าภาพรวมแล้วผลการดำเนินงานจะออกมาค่อนข้างดี ทั้งจากการขยายสินเชื่อและกำไรจากการขายเงินลงทุน ยกเว้นธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่ผลการดำเนินงานอาจจะลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรมากจากการขายหุ้น ITV
        ดังนั้นประเมินว่าในสัปดาห์นี้ความเคลื่อนไหวของดัชนีอาจจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ โดยที่ระดับ 640 จุดถือว่าความเสี่ยงลดลงมากแล้ว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ P/E ปรับตัวลงมากถือว่าความเสี่ยงน้อยที่จะปรับตัวลดลงไปอีก
        ส่วนนักลงทุนต่างชาตินั้น มีแนวโน้มว่าจะยังคงมีแรงขายต่อไป โดยเป็นการขายหุ้นในตลาดหุ้นทั่วโลก เพื่อลดความเสี่ยงหลังจากที่ราคาน้ำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจของ 2 ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน มีแนวโน้มว่าจะเริ่มชะลอตัวลง
        นายสาธิตกล่าวถึงการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นกลุ่มการแพทย์ว่า มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนโครงสร้างการดำเนินงานของกลุ่มที่มีการควบรวมกัน และมีความแข็งแกร่งทางการเงินมากขึ้น รวมทั้งการผลักดันของรัฐบาลที่ต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย หุ้นกลุ่มนึ้จึงกลายเป็นที่สนใจของนักลงทุน
        อย่างไรก็ตามราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาเกิดจากความคาดหวังของนักลงทุน ทำให้ราคาขึ้นไปเร็วกว่ารายได้ที่จะเข้ามา ผลักดันให้ P/E ของกลุ่มปรับตัวขึ้นสวนทางกับทิศทางตลาด ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 ปีจึงจะเห็นว่าการปรับโครงสร้างของกลุ่มโรงพยาบาลเกิดความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
        ด้านนายอดิพงศ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด ให้ความเห็นว่า สัปดาห์นี้ตลาดยังมีแนวโน้มอยู่ในขาลงต่อเนื่อง แม้ว่าผลการดำเนินงานกลุ่มธนาคารจะออกมาดีขึ้นจากปีก่อน โดยประเมินว่ากำไรจะโตขึ้นกว่า 100% ซึ่งมาจากการไถ่ถอนสลิป/แคปส์และกำไรจากการขายเงินลงทุน ส่วนในปีหน้าคาดว่าการเติบโตของกำไรธนาคารจะลดลงเหลือเพียง 9% เท่านั้น จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ย (สเปรด) ของแบงก์แคบลง และปีนี้จะไม่มีกำไรจากรายการพิเศษเหมือนปีก่อน
        ส่วนแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ คาดว่าจะมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการขายหุ้นในตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปีหน้า โดยบล.ไทยพาณิชย์ประเมินว่าปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง ซึ่งในส่วนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่บล.ไทยพาณิชย์มีการวิเคราะห์ครอบคลุม 117 บริษัทหรือ 81% ของมาร์เก็ตแคปรวม คาดว่าในปีนี้จะมีการเติบโตของกำไรอยู่ในระดับ 39% แต่ปีหน้าจะลดลงเหลือเพียง 5.8% เท่านั้น จากประเด็นสำคัญคือต้นทุนการดำเนินงานที่ปรับสูงขึ้น
        นายกำพล อศัวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาติ จำกัด กล่าวว่าหากพิจารณาการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ถือว่าเป็นช่วงที่ปกติเพราะหากพิจารณาข้อมูลย้อนหลังต่างชาติซื้อสุทธิจนถึงระดับประมาณ 1.5-2.0 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงมีการทำกำไรออกมาช่วงสั้นๆ ก่อนจะกลับมาซื้ออีกครั้งเพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน โดยราคาหุ้นหลายตัวในขณะนี้เชื่อได้ว่ากองทุนต่างชาติเริ่มทยอยเข้ามาเก็บหุ้นบ้างแล้ว
        ทั้งนี้มุมมองของการลงทุนยังเชื่อว่าในช่วงระยะยาวการลงทุนในตลาดหุ้นจะสร้างผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่าผลตอบแทนที่จะได้รับจากกากฝากเงินอย่างแน่นอน และการลงทุนภายใต้การบริหารงานของกองทุนจะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนด้วยตัวเองอย่างชัดเจน เพราะมีการกระจายการลงทุนในหุ้นหลายกลุ่ม ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนของหุ้นเหล่านั้นก็มีต่างกัน
เข้าชม: 1,238

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com