บล.ดีบีเอส วิคเคอร์คงคำแนะนำ ซื้อ แม้ว่าผลการดำเนินงาน 3Q50 ไม่ถึงกับน่าประทับใจนัก แต่บริษัทจะเร่งยอดขายใน 4Q50 โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะเปิดขายโครงการใหม่มูลค่ารวมถึง 9.8 พันล้านบาทในสมมุติฐานให้ยอดขายปีนี้เป็น 7.1 พันล้านบาทซึ่งคงที่เท่ากับปี 49 ส่วนยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) เป็น 8 พันล้านบาท ณ ปลาย 3Q50 ซึ่งส่วนใหญ่รับรู้รายได้ในปี 52
          บล.กรุงศรีอยุธยา
          โดยมีมูลค่าพื้นฐาน 4.82 บาท เราคาดการณ์ว่า การเปิดโครงการใหม่ใน4Q50 ที่มีสัดส่วนของคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นประกอบกับการผ่านพ้นจุดต่ำสุดของผลประกอบการในรอบปีจะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้น SPALI นอกจากนี้การวางแผนการรับรู้รายได้อยู่ในระดับที่ดีปัจจุบันสามารถทยอยรับรู้เป็นรายได้จนถึงปี 53 ช่วยเพิ่มเสถียรภาพของการรับรู้รายได้ในอนาคต และลดความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้น SPALI โดยปกติแล้ว หุ้น SPALIถือว่าเป็น Laggard ของกลุ่ม
          บล.เกียรตินาคิน
          ด้วยความน่าสนใจจากบริษัทมีงานในมือที่เป็นฐานของการเติบโตของรายได้ต่อเนื่อง2-3ปีจากจำนวน 12,556 ล้านบาท รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่องจากการเป็นDividend Stock ทีมีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง โดยให้ผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยในระดับที่น่าสนใจ 7-8% บริษัทจ่ายปันผลระหว่างกาลของปี 50 ( 0.12บาทต่อหุ้น)โดยคาดจ่ายปันผลครึ่งปีหลัง 0.16 บาทต่อหุ้น(Div.Yield 2H50ที่ 4.2% )
          บล.ยูไนเต็ด
          ผลประกอบการ 3Q50 กำไรมีกำไรสุทธิ 153 ล้านบาท (EPS 0.10 บาท/หุ้น)เพิ่มขึ้น 3%YoY โดยไตรมาสนี้มีรายได้ 985 ล้านบาท ลดลง 10%YoY และ 23%QoQขณะอัตรากำไรปรับตัวขึ้นเป็น 41.87% จากปีก่อนที่ระดับ 41.7% (ไตรมาสก่อนอยู่ที่ 39.34%) แต่จากภาษีที่จ่ายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดี่ยวกันในปีก่อน Tax Rate ไตรมาสนี้อยู่ที่ 35.4%
          บริษัทหลักทรัพย์ ซื้อ ถือ ขาย ราคา/บาทบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ / - - 5.00บล.กรุงศรีอยุธยา / - - 4.82บล.เกียรตินาคิน / - - 4.00บล.ยูไนเต็ด / - - 5.00

ข่าวหุ้น