บล.ทรีนีตี้แม้ว่า STEC ได้ทำสัญญาซื้อขายวัสดุก่อสร้างกับ Suppliers ไว้แล้วซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงลง แต่หากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นกว่า 70 เหรียญฯต่อบาร์เรล หรือราคาเหล็กเส้นปรับตัวสูงขึ้นเกิน 25 บาทต่อ กก.บริษัทฯอาจต้องตั้งสำรองเพิ่มเติมปัจจุบันราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมาตลอด ในขณะที่ราคาเหล็กในช่วงนี้ค่อนข้างทรงตัวทำให้มีความเสี่ยงที่จะปรับประมาณการอัตรากำไรมากขึ้น
          บล.สินเอเชียคาดว่าจาก backlog ในมือตั้งแต่ต้นปีที่ 2.75 หมื่นล้านบาท จะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ประมาณ 1.69 หมื่นล้านบาท นั่นหมายถึงจะทำให้เหลือเป็น backlog ต่อไปยังปี 51 จำนวน 1.06 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีโครงการรอประมูลอยู่และต้องรอดูผลถึงปลายปี กว่าจะเซ็นสัญญากว่าจะเริ่มงาน คาดว่าน่าจะเป็นช่วงกลางปีหน้าที่บริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้จากงานใหม่ACLS จึงประมาณผลการดำเนินงานของ STEC สำหรับปี 51 โดยมีรายได้ประมาณ 1.32หมื่นล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับดีขึ้นมาอยู่ที่ 4.9% และกำไรสุทธิ 434 ล้านบาท(EPS 0.37 บาท/หุ้น)
          บล.บีทีภายในปีนี้ ต้นปี 51 คาดการสรรหา SubContractor ทราบผลประมาณกลางปี 51 คาดSTEC เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอันดับต้นๆ ที่มีความชำนาญ คาดทำให้ STEC มีงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าต่อเนื่องในปี 51 ภายหลังงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า 4 โรง (แก่งคอย สงขลา ราชบุรี และพระนครใต้) ทยอยแล้วเสร็จในต้นปี 51อย่างไรก็ตามจากงานก่อสร้างขนาดใหญ่ที่คาดออกมาในเวลาใกล้เคียงกัน คาดการแข่งขันมีแนวโน้มลดลง และคาดความสามารถทำกำไรดีขึ้น
          บล.นครหลวงไทยแม้คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นไปของ STEC จะเติบโตอย่างมั่นคงอย่างไรก็ตาม SCIBS เชื่อว่า ราคาหุ้นของ STEC จะยังไม่ปรับตัวขึ้นอย่างเด่นชัด จนถึงต้นปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โครงการ ARL มีความคืบหน้าชัดเจนและสามารถคาดการณ์ได้ว่าโครงการ ARL จะเสร็จได้ทันตามกำหนดเวลาที่วางไว้หรือไม่
          บริษัทหลักทรัพย์ ซื้อ ขาย ถือ ราคา/บาทบล.ทรีนีตี้ / - - 7.30บล.สินเอเชีย / - - 7.35บล.บีที / - - 6.50บล.นครหลวงไทย / - - 8.00

ข่าวหุ้น