| ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากการที่ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรป เริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัวลง ก็ทำให้มีโอกาสที่จะมีเม็ดเงินลงทุนไหลจากสหรัฐ และยุโรปมายังภูมิภาคเอเชีย และจากการที่ตลาดหุ้นไทยนับว่ามีความน่าสนใจมากกว่าตลาดภูมิภาคอื่นๆ ในแง่ของราคาที่ต่ำกว่า และปัจจัยพื้นฐานที่ดี ประกอบกับการใช้จ่ายช่วงก่อนการเลือกตั้ง ก็คงจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย อันอาจจะทำให้ตลาดมีความคึกคักและสามารถปรับขึ้นได้ในระดับหนึ่งในช่วงที่เหลือของปี 2547 และในช่วงต้นปี 2548
อย่างไรก็ตาม จากการที่ตลาดยังมีปัจจัยลบ ทั้งที่เป็นปัจจัยลบเดิม เช่น ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในประเทศ และในสหรัฐ การแพร่ระบาดของไข้หวัดนก เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ของไทย และการก่อการร้ายในต่างประเทศ และปัจจัยลบใหม่ เช่น การปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติก่อนหน้าช่วงวันหยุดยาว และการที่นักลงทุนอาจชะลอการซื้อขายก่อนหน้าการจัดตั้งรัฐบาลในช่วงต้นปี 2548 ก็ทำให้คาดว่าการลงทุนคงจะเป็นการเก็งกำไรระยะสั้น อันทำให้ตลาดมีการปรับฐานเป็นระยะๆ มากกว่าที่จะอยู่ในขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากปัจจัยลบที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงนัก ดัชนีก็อาจมีโอกาสปรับขึ้นไปปิดสิ้นปีที่ระดับประมาณ 700 จุดได้ ขณะที่นักลงทุนคงจะติดตามผลกระทบของปัจจัยต่างๆ ต่อปัจจัยพื้นฐาน ทั้งในทางตรง เช่น ผลกระทบจากการจัดตั้งรัฐบาลต่อความคืบหน้าของโครงการลงทุนภาครัฐ และทางอ้อม เช่น ผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อรายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐ และต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐ อันจะมีผลกระทบต่อฐานะการคลังและระดับหนี้สาธารณะของประเทศ ซึ่งในที่สุดแล้ว ก็อาจส่งผลย้อนกลับมาที่กรอบการใช้จ่ายจากภาครัฐเพื่อการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานของประเทศอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ แม้ว่าตลาดจะสามารถปรับขึ้นได้ แต่การลงทุนที่คาดว่าจะเป็นลักษณะการเก็งกำไรระยะสั้น ก็อาจจะทำให้ตลาดมีความผันผวน และทำให้การลงทุนมีความเสี่ยงสูง ซึ่งหากภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องไปในระยะยาว ก็จะมีผลกระทบต่อความน่าสนใจ และความน่าเชื่อถือของตลาด และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตลาดทุนในระยะยาว ทั้งนี้ การที่จะทำให้ตลาดมีความน่าเชื่อถือ และจูงใจให้เม็ดเงินลงทุนเข้ามาอยู่ในตลาดในระยะเวลาที่นานพอที่จะทำให้ตลาดสามารถพัฒนาได้ในระยะยาวนั้น จะต้องอาศัยการพัฒนาทั้งทางด้านปริมาณ เช่น มูลค่าการซื้อขายและจำนวนบริษัทจดทะเบียนในตลาด และทางด้านคุณภาพ เช่น การดูแลปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน การแก้ปัญหาหนี้เสีย ธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการดำเนินงานทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ตลอดจนความเท่าเทียมในเรื่องของการควบคุมดูแลของทางการ เป็นต้น
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากปัจจัยต่างๆ อาจทำให้การลงทุนโดยรวมเป็นลักษณะการซื้อเก็บแล้วขายทำกำไรระยะสั้น อันอาจทำให้การปรับขึ้นของตลาดมีการปรับฐานเข้ามาสลับเป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม หากปัจจัยลบที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงนัก ดัชนีก็อาจมีโอกาสปรับขึ้นไปปิดสิ้นปีที่ระดับประมาณ 700 จุดได้ | 