April 26, 2024   8:35:14 AM ICT
กลยุทธ์ลงทุน ฝ่าวิกฤติซับไพรม์

พลังสองอย่างที่กำลังต่อสู้เพื่ออำนาจสูงสูงในตลาดหุ้นสหรัฐเวลานี้คือ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกกับการฆาตรกรรมหมู่ในตลาดสินเชื่อ
          ในขณะนี้แม้แต่ผู้ที่มองโลกในแง่ดีก็กลัวว่าหุ้นจะต้องตกอีก และเพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพียงแต่มองย้อนไปดูถึงความบ้าคลั่งของตลาด และมองไปยังภาคที่กำลังดีที่สุดและแย่ที่สุด
          หุ้นที่ดีที่สุดในช่วงที่หุ้นตกเมื่อเร็วๆนี้คือหุ้นเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม โดยนักลงทุนยังคงหวังว่าจะได้ประโยชน์จากการเติบโตทั่วโลกอย่างแข็งแกร่ง ส่วนหุ้นที่แย่ที่สุดคือ หุ้นที่เกี่ยวกับผู้บริโภค และการเงิน เนื่องจากมีความเสี่ยงมากที่สุดจากปัญหาสินเชื่อที่กำลังเขย่าขวัญตลาด
          นอกจากนี้ยังมีสัญญาณของความวิตกกังวลเช่นกันว่า การเติบโตในสหรัฐอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่อ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตบางตัว เช่น หุ้นพลังงาน และผู้ผลิตวัตถุพื้นฐานจึงเริงร่าในขณะที่ตลาดหุ้นถดถอย
          หลายเดือนมาแล้วที่นักลงทุนเมินปัญหาสินเชื่อ โดยหวังว่ามันจะจำกัดอยู่แค่เงินกู้บ้านที่มีคุณภาพต่ำสุดและผู้บริโภคที่มีความมั่งคั่งน้อยที่สุด แม้แต่หลังจากที่ปัญหาสินเชื่อเริ่มส่งผลกระทบต่อจั๊งบอนด์ที่ถูกนำไปสนับสนุนการเทกโอเวอร์บริษัท ก็มีความหวังเกี่ยวกับการเติบโตจนทำให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดด้วยสถิติที่ระดับ 14000.41 จุด เมื่อวันที่ 19กรกฎาคม
          แต่ในขณะนี้ปัญหาสินเชื่อกำลังคุกคามเงินกู้คุณภาพสูงเช่นกัน ซึ่งเพิ่มความวิตกว่าบริษัทการเงิน และกองทุนบริหารความเสี่ยงที่ลงทุนในหลักทรัพย์ที่เกี่ยวกับเงินกู้ จะล้มมากขึ้น
          เมื่อวันศุกร์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงจากสถิติเมื่อวันที่ 19 กรฎาคม 5.8% และผู้จัดการกองทุนหลายแห่งคาดว่าบางทีอาจจะมีการปรับฐานอีก 10%
          นับแต่วันที่ 4 มิถุนายน เมื่อดาวโจนส์ทำสถิติในช่วงต้นๆ มีหุ้นเพียงสองในสิบกลุ่มเท่านั้นที่ปรับตัวขึ้นตามดาวโจนส์ คือหุ้นเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม แต่พอวันศุกร์ที่ผ่านมา ดาวโจนส์ปรับตัวลง 3.6% นับแต่วันที่ 4 มิถุนายน หุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐปรับตัวลงแค่ 1.1% และบริษัทอุตสาหกรรมปรับตัวลง 2.8% แต่หุ้นการเงินกลับดิ่งถึง 14.9% ในช่วงเดียวกัน ขณะที่บริษัทที่ให้บริการแก่ผู้บริโภค ปรับตัวลง 9.3%
          นักลงทุนไม่คิดว่าปัญหาสินเชื่อจะทำให้การเติบโตทั่วโลกสิ้นสุดลง แต่คิดว่ามันจะกระทบผู้บริโภคและบริษัทการเงิน
          หากตลาดสินเชื่อฝ่าฝันวิกฤติในขณะนี้ไปได้ หุ้นบางตัวที่ได้รับผลกระทบอาจจะมีราคาถูกในท้ายที่สุด แต่หากเกิดภาวะถดถอยขึ้นมาจริงๆ ตลาดอาจไปไกลกว่าที่เตรียมตัวไว้ และหุ้นอาจดิ่งอย่างรุนแรง
          ความวิตกกังวลที่สำคัญในปัจจุบันนี้นี้อยู่ที่การระงับเงินกู้หลายพันล้านดอลลาร์ที่จะนำไปซื้อบริษัท โดยมีความกลัวว่าเงินกู้เหล่านี้อาจล้มลงจนเกิดวิกฤติไปทั่วธนาคาร บริษัทโบรกเกอร์ที่ทำอันเดอร์ไรให้บริษัท และธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกิจการ วิกฤติสินเชื่อยังส่งผลกระทบเงินกู้บริษัท และหลักทรัพย์จำนองที่มีเกรดสูงกว่า โดยมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คาดว่าปัญหานี้จบลงแล้ว
          นักลงทุนบางคนกังวลว่า วิกฤติสินเชื่อกำลังส่งผลกระทบต่อการเติบโตของสหรัฐแล้ว
          หุ้นบริษัทพลังงานและบริษัทที่ผลิตวัตถุดิบ เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม และเหล็กกล้า ในตอนแรกดีดตัวขึ้นได้ดีแม้เกิดวิกฤติสินเชื่อ แต่ในช่วงหนึ่งหรือสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มันปรับตัวลง เพราะมีความกังวลว่าการเติบโตในสหรัฐอาจไม่แข็งแกร่งเหมือนที่หวัง
          นักวิเคราะห์ยังมองความอ่อนแอของหุ้นสาธารณูปโภคเมื่อเร็วๆนี้ว่าเป็นสัญญาณเตือนแต่เนิ่นๆ
          ตามปกติแล้วหุ้นสาธารณูปโภคมักให้ปันผลสูง และเนื่องจากว่ามันผลิตพลังงานจึงได้ประโยชน์จากราคาพลังงานที่สูงขึ้น การปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มนี้จึงสะท้อนถึงความกังวลว่าดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ทำให้เงินปันผลเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับพันธบัตรและสะท้อนว่ามีความวิตกว่าความต้องการพลังงานอาจลดลง
          บริษัทยาและผู้ผลิตสินค้าบริโภคหลักๆก็มักดีในช่วงเวลาเช่นนี้ เพราะยอดขายมีแนวโน้มที่จะคงที่และสามารถคาดการณ์ไม่ว่าเศรษฐกิจแข็งแกร่งหรือไม่ แต่บริษัทยาได้รับผลกระทบเพราะว่ามีความวิตกเกี่ยวกับการแข่งขันในอุตสาหกรรมเองและวิธีการขายสินค้าขณะที่สินค้าบริโภคหลักๆมีปัญหาเพรามีความวิตกเกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค
          นักลงทุนบางคนกำลังซื้อหุ้นเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเพราะมันมีแนวโน้มเติบโตและซื้อหุ้นสุขภาพและหุ้นสินค้าหลักเพราะมีมันมีเสถียภาพ
          วิธีการหนึ่งที่นิยมใช้กันแพร่หลายคือ การมองหาหุ้น"คุณภาพ"ภายในกลุ่มอุตสาหกรรมแต่ละชนิด หรือบริษัทอุตสาหกรรมในบ้านและในต่างประเทศ
          หลายปีมาแล้ว ที่นักลงทุนมองหาหุ้นขนาดเล็กที่มีความมั่นคงน้อยกว่าเพราะมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่า และมองหาพันธบัตรที่มีความเสี่ยงมากกว่าเพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่า
          แต่ในขณะนี้ นักลงทุนกำลังหวั่นวิตกและหันไปหาหุ้นที่มีขนาดใหญ่กว่าและมีเสถียรภาพมากกว่า และพันธบัตรที่ดูเหมือนว่าจะมีความปลอดภัยมากว่า
          (เรียบเรียงจาก วอลสตรัท เจอร์นัล)

ข่าวหุ้น

เข้าชม: 3,011

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com