นายจักรภพ เพ็ญแข โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ขอให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมใช้กลไกภาครัฐเข้าไปดูแลให้ราคาเหล็กให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยให้ทั้งสองกระทรวงไปร่วมกันกำหนดเพดานราคาขายต่อกิโลกรัมขึ้นมาหากมีการขายเกินกว่าราคานี้ รัฐบาลจะเปิดเสรีนำเข้าเหล็กทันที

     เช่น สมมติตัวเลขราคาที่เหมาะสมอยู่ที่กิโลกรัมละ 16 บาท หากเอกชนไม่ให้ความร่วมมือ รัฐบาลก็จะเปิดเสรีการนำเข้าเหล็กทันที

     เขากล่าวว่า รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการดังกล่าว เพื่อแก้ไขวิกฤติราคาเหล็กในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาราคาผันผวนขึ้นลงตั้งแต่ 11 บาท จนถึง 22 บาทต่อกิโลกรัม ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ

     ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายที่ชัดเจนมาโดยตลอดในการสนับสนุนกลไกตลาด และจะไม่แทรกแซงกลไกราคาตามกรอบการค้าเสรีในฐานะสมาชิกขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) แต่ก็ยกเว้นการแทรกแซงเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ

     ทั้งนี้ การตรวจสอบข้อมูลของคณะรัฐมนตรีตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์จะพบว่ามาตรการภาษีปกป้องการทุ่มตลาด (เอดี) เหล็ก จะไม่เกี่ยวข้องกับเหล็กที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างประเภทเหล็กเส้นและเหล็กข้ออ้อย โดยจะมีผลทำให้เหล็กรีดร้อนที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามีราคาสูงขึ้นเท่านั้น

     การพิจารณาของ ครม. มีขึ้นเพราะกระแสเรียกร้องของผู้รับเหมาก่อสร้างที่ระบุว่าได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งปัจจุบันไทยนำเข้าเหล็กก่อสร้างโดยจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา5% ในขณะที่ตลาดโลกมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งตอนนั้นคณะกรรมการว่าด้วยสินค้าและบริการ (กกร.) มีมติให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายเหล็กเส้นแจ้งปริมาณและราคาจำหน่ายในทุกขั้นตอน เพื่อป้องกันการขาดแคลนและกักตุนสินค้า

     นายพินิจ จารุสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จะเรียกผู้ประกอบการเหล็กก่อสร้างมาหารือภายใน 4-5 วัน เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ราคาเหล็กสอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง

     คงต้องหามาตรการมาแก้ปัญหา ซึ่งกระทรวงฯเคยแก้ไขไปแล้วครั้งหนึ่ง ที่มีการเรียกประชุมผู้ใช้และผู้ผลิตให้พบกัน และทำให้ราคาเหล็กลดลงจากกิโลกรัมละ 22 บาท เหลือ 19 บาท ปัญหาครั้งที่แล้วเกิดจากการกักตุน แต่เราก็ใช้วิธีผู้ผลิตพบผู้ใช้ ก็แก้ปัญหาได้นายพินิจ กล่าว

     ราคาเหล็กที่สูงขึ้นนั้นเป็นไปตามต้นทุนราคาน้ำมัน รวมถึงราคาเหล็กในตลาดโลกที่สูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ไทยเปิดเสรีเหล็กก่อสร้างอยู่แล้ว

     นายเกียรติพงษ์ น้อยใจบุญ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)เปิดเผยว่า ตัวเลขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกมาระบุว่ามีเพียง 1.4 หมื่นตัน เท่านั้นที่โดนเก็บภาษีจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะนั่นเป็นตัวเลขหลังจากประกาศใช้มาตรการเอดีแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการไม่กล้าสั่งเหล็กจากต่างประเทศเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพราะกลัวเจอภาษีแพง ทำให้ปริมาณนำเข้าน้อยลง

     ข้อมูลตัวเลขเหล็กที่โดนเอดีที่แท้จริงมีเท่าไร ผมเชื่อว่ารัฐมนตรีรู้ดี เฉพาะสมาชิกของ ส.อ.ท.ก็มีความต้องการใช้เยอะมาก ไหนจะผู้ประกอบการรายย่อย ดังนั้นแค่หมื่นกว่าตันคงไม่ใช่ ที่ยังมีการสั่งซื้ออยู่นั้นอาจเพราะความต้องการเหล็กชนิดพิเศษ ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเท่านั้น ไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศนายเกียรติพงษ์ กล่าว

     เขายังตั้งข้อสังเกตว่าหากตัวเลขเหล็กที่โดนภาษีเอดีมีเพียง 1.4 หมื่นตันจริง ทำไมไม่ลดภาษีเอดีเหลือ 0% เพื่อให้เหล็กจากต่างประเทศเข้ามาได้สะดวก เพราะขณะนี้สถานการณ์เหล็กโลกมีราคาแพงไม่มีทางที่จะเข้ามาดั๊มพ์ตลาดไทยได้แน่

     ไม่ต้องกลัวว่าจะกระทบผู้ผลิตในประเทศ เพราะตอนนี้ราคาเหล็กทั่วโลกแพงเหมือนกันหมด ดังนั้นไม่มีทางที่เหล็กจากต่างประเทศจะเข้ามาขายในราคาถูก และดัมพ์ราคาเหล็กในประเทศนายเกียรติพงษ์ กล่าว

     นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การที่ ส.อ.ท. เรียกร้องให้มีการเปิดเสรีการนำเข้าเหล็กและชะลอการใช้เอดีออกไปอีก 6 เดือนนั้น จะสร้างปัญหาให้ผู้ผลิตเหล็กในประเทศ หากเหล็กนำเข้ามีราคาต่ำกว่าเหล็กที่ผลิตในประเทศ

     กระทรวงพาณิชย์พร้อมจะแก้ปัญหาให้ผู้ประกอบการ หากต้องการขอโควต้านำเข้าเหล็กอัตราภาษีพิเศษอีกปีละ 2 ล้านตัน นอกเหนือจากที่ผลิตได้ในประเทศปีละ 3 ล้านตัน แต่ขอยืนยันว่ามาตรการเอดีเหล็กยังมีความจำเป็นในขณะนี้

ที่มา www.kaohoon.com