May 18, 2024   7:34:46 PM ICT
***รายงานพิเศษ...กองทุนดาหน้าแจงขุนคลังขายหุ้นทำกำไรระยะสั้น

ใครจะนึกว่ากลุ่มนักลงทุนสถาบันจะเป็นผู้เทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องในระหว่างงานโรดโชว์ในประเทศไทยแลนด์ โฟกัส 2004 แทนที่จะเป็นกลุ่มเงินนอกประเทศที่เข้าซื้อหุ้นกว่า 1 หมื่นล้านบาทก่อนถึงวันจัดงานยักษ์ แม้แต่ขุนคลัง-สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ก็คงนึกไม่ถึงเช่นกัน จึงได้หลุดปากตำหนิการขายหุ้นของกองทุนรวมในประเทศ จนมีเสียงโต้จากกองทุนมีสิทธิการขายหุ้นโดยไม่ต้องแจ้งสาเหตุให้ใครทราบ แต่ถึงขณะนี้ผู้คนก็ยังงุนงงอยู่ว่าทำไมกองทุนในประเทศจึงต้องเทขายหุ้นออกมา !!
       
       
       ก่อนหน้าที่จะถึงวันจัดงานไทยแลนด์โฟกัส 2004 ระหว่างวันที่ 20-23 ก.ย. ผู้คนต่างคาดหมายว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะต้องปรับตัวขึ้นมาขานรับการจัดงานดังกล่าว ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น เนื่องจากดัชนีปรับตัวขึ้นมาตอบรับการจัดงานกว่า 44 จุด และเพียงพอถึงวันที่มีการจัดงานจริง ๆ ก็มีแรงขายทำกำไรออกมาตามคำเตือนของผู้คนวงการหุ้น เพียงแต่ผู้ที่ขายทำกำไรกลับเป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศเอง ไม่ใช่กลุ่มเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาซื้อหุ้นไทยก่อนหน้านี้
       
       สำหรับสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยตลอด 4 วันในช่วงของการจัดงานไทยแลนด์ โฟกัส 2004 ดัชนีตลาดหุ้นไทยซึ่งพุ่งขึ้นมาตอบรับการจัดงานโรดโชว์ยักษ์ กลับไม่สามารถต่อยอดไปยืนเหนือ 670 จุด ได้ดังที่โบรกเกอร์หลายต่อหลายค่ายทำนายไว้ เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนมีปัจจัยรบกวนจากภายนอกประเทศโดยในวันแรกที่มีการจัดงาน ไทยแลนด์ โฟกัส 2004 (20 ก.ย.) เรียกได้ว่า เริ่มต้นขึ้นด้วยความผันผวนเอามาก ๆ โดยช่วงเช้าดัชนีปรับขึ้นก้าวกระโดดตั้งแต่เปิดตลาดต้อนรับการจัดงานใหญ่ของวงการตลาดทุนไทย หนุนดัชนีขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดที่ 676.33จุดเลยทีเดียว และสวิงลงไปต่ำสุดที่ 667.94 จุด ก่อนมาปิดได้ที่ 668.29 จุด ลดลง 0.44 จุด มูลค่าการซื้อขาย 29,675.81 ล้านบาท
       
       ขณะที่วันที่สองของการจัดงาน(21ก.ย.) ก็ยังปรากฎว่าภาวะการลงทุนไม่สดใสต่อเนื่องจากวันก่อน และดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นจากวันก่อนหน้าอีกต่างหาก เมื่อหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ ๆ ถูกเทขายทิ้งร่วงลงไม่เว้นแม้แต่บรรดาหุ้นที่ได้ขึ้นร่วมนำเสนอข้อมูลในงานโรดโชว์ ไม่ว่าจะเป็น AOT THAI PTTEP โดยเฉพาะ SCC โดนถล่มหนักกว่าใครหลังถูกเอบีเอ็น แอมโร แนะนำให้ขายในงานไทยแลนด์โฟกัส โดยที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเกาะติดรอผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ในช่วงกลางคืน ดัชนีปิดตลาดจึงหล่นลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 มาปิดที่ 660.92 จุด ลดลงไปอีก 7.37 จุด แต่มูลค่าการซื้อขายยังหนาแน่นกว่า 22,192 ล้านบาท
       
       จนกระทั่งวันที่สามของการจัดงาน (22ก.ย.) ซึ่งเป็นถือเป็นวันสุดท้ายในการนำเสนอข้อมูลและการเสวนา ดัชนียังคงเคลื่อนไหวผันผวนไม่สามารถขยับขึ้นได้อย่างเต็มที่ โดยในช่วงเช้าดัชนีเปิดตลาดที่ 662.22 จุด เพิ่มขึ้น 1.30 จุด และสามารถทะยานขึ้นสูงสุดได้ที่ 667.23 จุด เพิ่มขึ้น 6.31 จุด ก่อนปิดตลาดที่ 663.51 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 2.59 จุด มูลค่าการซื้อขาย 22,193.36 ล้านบาท
       
       โดยเฉพาะวันที่สี่ของการจัดงาน(23ก.ย.) ซึ่งเป็นวันที่มีการนำผู้ร่วมงานไทยแลนด์โฟกัส 2004 บางส่วน ไปเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรม และโครงการหนองงูเห่า หรือ สนามบินสุวรรณภูมิ สภาพตลาดหุ้นไทยกลับต้องเผชิญกับปัจจัยลบตัวเก่าเข้ามามีอิทธิพลอีกครั้ง ได้แก่ ราคาน้ำมันแพง และปัญหา NPL หรือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปรากฎมีเรื่องหนี้ NPL ของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งผู้บริหารธนาคารได้เปิดเผยต่อนักลงทุนในงานไทยแลนด์โฟกัสว่าอาจเพิ่มขึ้น 2-3% จากการใช้กฏเกณฑ์สำรองใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บวกกับการปรับลดลงของดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศ และการเทขายทำกำไรหลังงานไทยแลนด์โฟกัส 2004 ทำให้ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ648.80จุด ลดลง 14.71 จุด หรือ2.22% ระหว่างวันร่วงลดลงกว่า 20.17 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย25,230.38บาท
       
       **ขุนคลังหลุดปากตำหนิ
       จะว่าไปแล้วการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่สามารถต่อยอดขึ้นไปเหนือ 670 จุด นอกจากปัจจัยร้ายที่กลับมารบกวนตลาดแล้ว ยังพบว่ากลุ่มนักลงทุนประเภทสถาบันเป็นผู้ที่เทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องทั้งก่อนหน้าและในระหว่างการจัดงานยักษ์ไทยแลนด์ โดยในวันที่ 20 ก.ย.นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อสุทธิ 1,838.24 ล้านบาท สถาบัน ขายสุทธิ 214.68 ล้านบาท และ นักลงทุนทั่วไป ขายสุทธิ 1,623.56 ล้านบาท ส่วนวันถัด 21 ก.ย.นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,519.17 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 540.85 ล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 978.33 ล้านบาท
       
       ขณะที่วันที่ 22 ก.ย.นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,279.73 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 848.36นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 431.37 โดยเฉพาะในวันที่ 23 ก.ย.นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 262.39บาท นักลงทุนสถาบันกลับขายสุทธิ 1,678.58 บาท ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยวกกลับมาซื้อสุทธิ 1,416.20 บาท
       
       การขายหุ้นของกองทุนรวมในช่วงที่มีการจัดงานทำให้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้กำกับดูแลตลาดทุนไทยโดยตรง ถึงกับให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตำหนิการขายหุ้นของนักลงทุนประเภทสถาบันว่า ไม่รู้จักกาละเทศะในช่วงเช้า แต่ก็ยังปรากฎว่าวันนั้นนักลงทุนสถาบันยังคงขายหุ้นออกมาหนักถึงกว่า 1.6 พันล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมยอดตั้งแต่ต้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 24 ก.ย. พบว่ากลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ขายสุทธิออกมา รวม 8,330.72 ล้านบาท
       
       **นายกฯบลจ.โต้กลับ
       ขายหุ้นไม่ต้องแจงเหตุผลใคร
       นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า แรงขายที่ออกมาในกลุ่มนักลงทุนสถาบันคงบอกไม่ได้ว่าจะเป็นแรงในส่วนของกองทุนเพียงอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ยังหมายถึงแรงขายที่มาจากบริษัทประกันภัย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคล เป็นต้นทั้งนี้แม้ว่าจะมีแรงขายออกมาบ้างในส่วนของกองทุนรวมก็ตาม น่าจะเกิดจากการขายทำกำไรหลังจากที่เข้าซื้อมาตั้งแต่ราคาอยู่ในระดับต่ำ โดยที่ผ่านมากองทุนเข้ามาซื้อหุ้นกว่า 2 หมื่นล้านบาทจากต้นปี นอกจากนี้กองทุนต่างๆยังมองการเติบโตของภาคการลงทุนในตลาดหุ้น
       
       ไม่อยากให้นักลงทุนมองการขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันแบบวันต่อวัน แต่ควรมองลักษณะการลงทุนที่ยาวนานกว่านั้น และไม่ใช่หน้าที่ของผู้จัดการกองทุนที่จะต้องมาคอยตอบคำถามให้ก.ล.ต.ถึงเหตุผลในการขายหุ้นออกไปนายอดิศรกล่าว นอกจากนี้การเติบโตของธุรกิจกองทุนจากการขอจัดตั้งกองทุนน่าจะทำให้ภาพของกองทุนกับการลงทุนในตลาดหุ้นดีขึ้น เพราะช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าบรรยกาศการลงทุนจนไม่เอื้ออำนวยแต่ผลตอบกลับจากการเปิดขายหน่วยก็ยังได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน
       
       **บิ๊กบลจ.ดาหน้าชี้เหตุ
       ขายปรับพอร์ต-ลูกค้าถอนหน่วย
       นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ กล่าวว่า หากเทียบการขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศแล้ว ยังถือว่าน้อยถ้าเทียบกับการขายสุทธิของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งขณะนี้บลจ. ยังมองตลาดหุ้นไทยน่าสนใจอยู่ เห็นได้จากการเตรียมออกกองทุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามหากลูกค้าที่ถือหน่วยลงทุนมีความต้องการขายหน่วยลงทุนออกมา บลจ.เองก็จำเป็นจะต้องขายหุ้นเพื่อนำเงินมาให้กับลูกค้าด้วย
       
       นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาติ การขายสุทธิของสถาบันคงไม่มีนัยยะอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งในส่วนของ บลจ. ธนชาติ ก็มีการขายหุ้นออกมาในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะหลายกองทุนที่บลจ.ธนชาติบริหารมีนโยบายจ่ายเงินปันผลจึงมีการขายหุ้นบางส่วนออกมาอย่างไรก็ตามสัดส่วนของการลงทุนในหุ้นของกองทุนที่มีนโยบายในการลงทุนในหุ้นยังถือหุ้นในพอร์ตอีกว่า 90%
        ผมมั่นใจว่าไม่มีการทิ้งหุ้นในส่วนของกองทุนรวมอย่างแน่นอน หลายแห่งยังมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในลักษณะขาขึ้น รวมถึงบลจ.ธนชาติด้วยนายกำพลกล่าว
       
       นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงที่นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิอย่างต่อเนื่องนั้น บลจ.ไอเอ็นจีก็มีการขายหุ้นออกมาบ้าง แต่เป็นการขายปรับบัญชีการลงทุน เปลี่ยนกลุ่มลงทุนตามปกติ โดยลดการลงทุนในหุ้นบางกลุ่ม และไปเพิ่มการลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นที่มีทิศทางดีกว่า ทั้งนี้ตนมองว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยนั้นยังน่าลงทุนอยู่ แต่จะต้องเลือกลงทุนในหุ้นเป็นกลุ่มๆ ไป ขณะเดียวกันแม้ผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนจะออกมาดี แต่การลงทุนก็ต้องพิจารณาปัจจัยแวดล้อมด้วย เช่น การเมือง และภาวะราคาน้ำมัน เป็นต้น
       
       **อเบอร์ดีนไม่ขายเหตุถือยาว
       นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่า ทาง บลจ.อเบอร์ดีน ในช่วงที่มีการขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันทางบลจ.อเบอร์ดีนไม่ได้ขายหุ้นออกมามาก เนื่องจากยังมองการลงทุนส่วนใหญ่เป็นแบบระยะยาว และมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก แต่การลงทุนต้องอาศัยระมัดระวังมากขึ้นเลือกเพราะมีควาผันผวนจากปัจจัยหลายอย่างโดยเน้นลงทุนเฉพาะหุ้นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตดี และนักลงทุนไม่ควรจะลงทุนแบบระยะสั้น เพราะมีความเสี่ยงสูงในภาวะที่ดัชนีผันผวนมากเช่นนี้
       
       นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด-กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แรงขายในส่วนของนักลงทุนสถาบันช่วงที่ผ่านมา น่าจะเป็นการขายทำกำไรในระยะสั้นเท่านั้น เพราะราคาที่หลายแห่งเข้าซื้อหุ้นรายตัวมีต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ กาปรับขึ้นของดัชนีจนสร้างผลตอบแทนได้ในระดับจึงส่งให้มีแรงเทขชายทำกำไรออกมา
        ทั้งนี้หากมองแนวโน้มการขึ้นของ SET INDEX ยังถือว่ามีแนวโน้มในขาขึ้น สำหรับราคาหุ้นในหลายตัวขณะนี้ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำและน่าลงทุน
       
        **โต้งเชื่อปรับพอร์ต
       แต่มีรายย่อยขายตาม
       
       นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดเผยถึง กรณีที่ตลาดหุ้นไทยลดลงแรงในวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมานั้นตลท.ได้เข้าไปตรวจสอบการซื้อขาย ซึ่งก็พบว่ามีแรงเทขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศจริง แต่ก็มีแรงเทขายของนักลงทุนทั่วไปในประเทศด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ขายออกไปนั้น ก็มีแรงซื้อกลับเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เทขายเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะเป็นการปรับพอร์ตการลงทุนก็ได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ โดยตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่ได้สอบถามถึงสาเหตุการเทขายแต่อย่างใด
       รู้ด้วยว่ากองทุนไหนขายออกมา แต่ลักษณะการเทขายไม่มีจุดประสงค์เทขายอย่างเดียวมีแรงซื้อเข้ามาด้วย โดยแรงซื้ออาจจะน้อยกว่าแรงขายอาจเป็นการปรับพอร์ตนายกิตติรัตน์ กล่าวไว้
       
       การออกมาระบุของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ที่ว่ากองทุนขายจริงแต่ซื้อกลับน้อยแสดงว่าอาจมีการปรับพอร์ต แต่ที่น่าสนใจดูเหมือนจะอยู่ตรงที่เขาระบุว่านอกจากกองทุนขายออกมาแล้วก็มีแรงเทขายของนักลงทุนบุคคลทั่วไปออกมาปะปนด้วย ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของนางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณที่ว่า หากเทียบการขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศแล้วที่ผ่านมายังถือว่าน้อยถ้าเทียบกับการขายสุทธิของนักลงทุนรายย่อย เมื่อดูตัวเลขการลงทุนเฉพาะเดือนก.ย.(ณ 24 ก.ย.)ก็พบว่านักลงทุนทั่วไปหรือรายย่อยขายสุทธิประมาณ 1 หมื่นล้าน ส่วนยอดขายสุทธิทั้งปีรายย่อยขายน้อยกว่านักลงทุนสถาบันแน่นอนอยู่แล้ว
       
        หรือนี่คือเครื่องสะท้อนว่า ปีนี้จะเป็นปีที่นักลงทุนรายย่อยเมืองไทย โดยเฉพาะรายที่มีพอร์ตการลงทุนใหญ่ ๆ หันมาลงทุนตามนักลงทุนประเภทกองทุนรวมในประเทศเป็นหลัก ไม่เกาะกระแสลงทุนตามเงินที่ไหลมาจากต่างประเทศเป็นหลักเหมือนในอดีต

ที่มา www.manager.co.th

เข้าชม: 1,292

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com