ไล่ปตท.ท้ายตลาดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับมาบวกเกือบ 6 จุด หลังผันผวนลงทั้งวัน หุ้นแบงก์รีบาวน์ กสิกร ย้ำสำรองเข้มแล้ว ด้านนายกฯบลจ.โวยข้อหากองทุนดั๊มพ์หุ้น เหตุเก็บช่วงหุ้นตกต้องขายทำกำไรบ้าง ยังมองอนาคตตลาดดี ระบุผู้จัดการกองทุนไม่มีหน้าที่ตอบเหตุผลขายหุ้นให้ก.ล.ต.
       
        วานนี้(24 ก.ย.)ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนทั้งวันก่อนมีแรงซื้อกลับเข้ามาช่วงท้ายตลาดในหุ้นปตท. ส่วนความกังวลปัญหา NPL ของกลุ่มธนาคาพาณิชย์ผ่อนคลายลง ทำให้ดัชนีปิดที่ระดับ 654.60 จุดเพิ่มขึ้น มาปิดที่จุดสูงสุด 5.80 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 17,550.37 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 428.70 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 376.53 ล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 52.17 ล้านบาท
        หุ้นปตท.ถูกไล่ซื้อในชั่วโมงสุดท้ายขึ้นไปปิดที่จุดสูงสุดของวัน 171 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาท (3.01%)
        นายนพดล โกศลศุภศิริชัย นักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน บล.ซิกโก้ กล่าวว่า มีแรงกลับเข้ามาช่วงท้ายตลาดในหุ้นกลุ่มพลังงาน ทำให้ดัชนีบวกได้ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกในสัปดาห์ถัดไปในส่วนของหุ้นกลุ่มธนาคารนั้น 4 วันที่ผ่านมาปรับลดลงแรงเกินไปจึงมีแรงซื้อกลับในช่วงบ่ายวานนี้ คาดดัชนีจะปรับตัวขึ้นต่อได้ในสัปดาห์หน้าจากปัจจัยบวกเม็ดเงินใหม่ๆ จากกองทุนวายุภักษ์ และกองทุนใหม่ๆที่จัดตั้งขึ้นเข้ามาในตลาดหุ้น
       
       **กสิกรยันสำรองเข้มแล้ว
        แหล่งข่าวจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารยังไม่มีการเพิ่มสำรองใดๆทั้งสิ้น และที่ผ่านมาได้ตั้งสำรองหนี้ตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ไว้เกินอยู่แล้ว ซึ่งรองรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ได้ระดับหนึ่ง การชี้แจงข้อมูลให้กับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติรับฟังในงาน?Thailand Focus 2004?ได้ตั้งข้อสมมุติฐานหากธนาคารใช้เกณฑ์การตั้งสำรองแบบเดียวกับธนาคารกรุงไทย ธนาคารก็ยังมีสำรองเพียงพอ
        นอกจากนี้หาก NPL ของธนาคารเพิ่มขึ้นอีก 3 % จาก NPLเดือนสิงหาคม ประมาณ 10.3 % ธนาคารจะต้องมีการสำรองเพิ่มขึ้นอีกเพียง 5,000 ล้านบาท และตามความเป็นจริงแล้ว ธนาคารไม่จำเป็นที่จะต้องใส่เงินเพิ่มหรือกระทบกับเงินกองทุนของธนาคารเลย เนื่องจากมีสำรองส่วนเกิน ณ เดือนมิถุนายน 2547 13,512 ล้านบาท หากนำเข้าสำรองตามเกณฑ์ใหม่แล้ว จะมีเงินสำรองส่วนเกินเหลืออีกประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เม็ดเงินใหม่เข้าไปสำรองเพิ่มเติมงวดครึ่งปี
        ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามมาตรฐานบีไอเอส 12.65 %เป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 ประมาณ 7.23 %เงินกองทุนขขั้นที่ 2ประมาณ 5.41 % โดยมีการตั้งสำรองตามเกณฑ์ธ)ท.ประมาณ 46,143 ล้านบาท หรือคิดเป็นสำรองส่วนเกินจากเกณฑ์ที่ธปท.กำหนด 141.41 % หรือ13,512 ล้านบาท
        อย่างไรก็ตามธนาคารมีความระมัดระวังปล่อยสินเชื่ออยู่แล้ว โดยทั้งปีตั้งเป้าสืนเชื่อเติบโตสุทธิ 5-6 % หรือคิดเป็น 32,000 ล้านบาท จากยอดสินเชื่อคงค้างขณะนี้ 530,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับภาะวเศรษฐกิจ
       
       **กองทุนโต้ก.ล.ต.
       ขายหุ้นไม่มีหน้าที่รายงาน
        นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า แรงขายที่ออกมาในกลุ่มนักลงทุนสถาบันคงบอกไม่ได้ว่าจะเป็นแรงในส่วนของกองทุนเพียงอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ยังหมายถึงแรงขายที่มาจากบริษัทประกันภัย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคล เป็นต้น
        ทั้งนี้แม้ว่าจะมีแรงขายออกมาบ้างในส่วนของกองทุนรวมก็ตาม น่าจะเกิดจากการขายทำกำไรหลังจากที่เข้าซื้อมาตั้งแต่ราคาอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามกองทุนต่างๆยังมองการเติบโตของภาคการลงทุนในตลาดหุ้น สัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่ก็ยังมีสัดส่วนที่สูง
        ไม่อยากให้นักลงทุนมองการขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันแบบวันต่อวัน แต่ควรมองลักษณะการลงทุนที่ยาวนานกว่านั้น และไม่ใช่หน้าที่ของผู้จัดการกองทุนที่จะต้องมาคอยตอบคำถามให้ก.ล.ต.ถึงเหตุผลในการขายหุ้นออกไปนายอดิศรกล่าว
        นอกจากนี้การเติบโตของธุรกิจกองทุนจากการขอจัดตั้งกองทุนน่าจะทำให้ภาพของกองทุนกับการลงทุนในตลาดหุ้นดีขึ้น เพราะช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าบรรยกาศการลงทุนจพไม่เอื้ออำนวยแต่ผลตอบกลับจากการเปิดขายหน่วยก็ยังได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน

ที่มา www.manager.co.th