May 18, 2024   5:37:58 PM ICT
วายุภักษ์ลงหุ้นได้70ตัวหวังดันดัชนีเหนือ730 จุด-ผลตอบแทนสูง15%

  วายุภักษ์ เล็งลงทุนหุ้นเพิ่มเป็น 70 ตัว หวังดัชนีสิ้นปีโต 730-740 จุด ส่งผลกองทุนสร้างผลตอบแทนสูงถึง 15% จาก 7-8% ในปัจจุบัน ล่าสุด NAV เพิ่มแล้ว 48% ชี้สภาพคล่องเหลือสูงถึง 1.5 หมื่นล้านลุยหุ้นพื้นฐานดี
       
        วานนี้(24 ก.ย.) นายโอฬาร ไชยประวัติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมดำเนินการลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์1 เปิดว่า ได้รับฟังสภาพตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากผู้จัดการกองทุนทั้ง 2 แห่ง คือ บลจ.เอ็มเอฟซี และบลจ.กรุงไทย รวมถึงหารือเรื่องการขยายขอบเขตของการลงทุนกองทุนฯ เพิ่มขึ้นจากหุ้นที่ 26 ตัวที่กระทรวงการคลังถืออยู่ด้วย เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาและวางกลยุทธ์ในการลงทุนต่อไป
        ทั้งนี้ ทรัพย์สินในส่วนของ 30,000 ล้านบาท จากทั้งหมด 100,000 ล้านบาทของกองทุนนั้น
       ที่ผ่านมากองทุนฯ ได้ลงทุนระยะสั้นเพียง 5,000 ล้านบาทเท่านั้นเมื่อรวมกับการลงทุนระยะยาวแล้วยังมีสภาพคล่องเหลือ 15,000 ล้านที่สามารถเข้าลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งหุ้นที่นอกเหนือจาก 26 ตัวเดิมนั้นต้องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบก่อนโดยในวันจันทร์ที่ 27 ก.ย. 47 นี้ จะนำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานกองทุนฯ ที่มีนายสมใจนึก เองตระกูล เป็นประธานพิจารณาก่อนที่จะเสนอให้ ครม. ได้รับทราบโดยเร็วที่สุด
        ทั้งนี้ ในเบื้องต้นคาดว่า เมื่อขยายกรอบการลงทุนแล้ว จะทำให้มีหุ้นที่ลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 70 ตัว ซึ่งในหุ้น 70 ตัวนี้ มีมูลค่าตลาดรวม (Market Cap) ประมาณ 70-80% เฉพาะใน SET 50 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของมูลค่าตลาดรวม
        สาเหตุที่กองทุนรวมวายุภักษ์ต้องขยายขอบเขตการลงทุนนั้น เพราะเท่าที่ได้ลงทุนไปแล้ว 15,000 ล้านบาทนั้น ยังมีข้อจำกัดในด้านการลงทุนอยู่ อาทิ การจำกัดให้ต้องลงทุนเฉพาะหุ้น 26 ที่กระทรวงการคลังถืออยู่นั้น ถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่มาก ประกอบกับการหมุนเวียนในตลาดมีน้อย จึงควรขยายให้ครอบคลุมมากขึ้น
        ทั้งนี้จากมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน (NAV) 100,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้เพิ่มเป็นประมาณ 148,000 ล้านบาท หรือ คิดเป็นสัดส่วน 48% แล้ว ซึ่งเชื่อว่า ณ สิ้นปี 2547 นี้ ผลตอบแทนของกองทุนจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับมูลค่าผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งคาดว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงสิ้นปีดัชนีจะอยู่ที่ 730-740 จุด สำหรับผลตอบแทนที่จะผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับนั้น ขณะนี้สามารถดำเนินการและได้ผลตอบแทนประมาณ 7-8% แล้ว ซึ่งเชื่อว่าหากได้เข้าไปลงทุนในกลุ่ม SET 50 ก็จะส่งผลผู้ถือหน่วยลงทุนได้ผลตอบแทนประมาณ 14-15% อย่างแน่นอน
        หากรัฐวิสาหกิจตัวใดจะจดทะเบียนเข้าตลาด กองทุนก็จะต้องนำเงินส่วน 30,000 ล้านบาทนั้น เข้าไปซื้อ แต่คงจะไม่เทขายตัวที่ลงทุนอยู่ก่อนหน้านี้ทั้งหมด เพราะรัฐวิสาหกิจทุกตัวก็ทยอยเข้าไม่ได้เข้าพร้อมกัน
        นายศรีภพ สารสาส กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 กล่าวว่า ในส่วนของวงเงิน 70,000 ล้านบาทที่กองทุนรวมวายุภักษ์1 นำไปลงทุนในหลักทรัพย์ตามสิทธิของกระทรวงการคลังจำนวน 11 ตัวนั้น แม้ว่าจะเป็นการเข้าไปลงทุนในระยะยาวแต่ก็สามารถทำการซื้อขายได้เช่นเดียวกัน แต่ในช่วงที่ผ่านมาในส่วน 70,000 ล้านบาทนั้นยังไม่ได้มีการขายออกไปแต่อย่างใด หากจะมีการขายหุ้นออก ตามเงื่อนไขต้องเสนอขายคืนให้กับกระทรวงการคลังก่อน ซึ่งก็ต้องหารือกับกระทรวงการคลังก่อน
        อย่างไรก็ตาม กรณีหุ้นบุริมสิทธิธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB-P) ที่กองทุนเข้าไปถืออยู่ประมาณ 24.9% ซึ่งเกินเพดานที่กำหนด 5% คณะกรรมการกำกับการลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ได้อยู่ระหว่างการทำเรื่องเพื่อเสนอขายหุ้น SCB-P คืนให้กับกระทรวงการคลัง
        นอกจากนี้ บริษัท สยาม พัลพ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือปูนซีเมนต์ไทย จะเสนอซื้อบริษัท ฟีนิกซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ (PPC) คืน 100% ดังนั้นคณะกรรมการฯอยู่ระหว่างการทำเรื่องเพื่อเสนอขายหุ้น PPC คืนให้กับกระทรวงการคลังเพื่อให้กระทรวงการคลังได้นำหุ้นดังกล่าวไปขายให้กับบริษัทสยาม พัลพ์ ต่อไป
       
  วายุภักษ์ เล็งลงทุนหุ้นเพิ่มเป็น 70 ตัว หวังดัชนีสิ้นปีโต 730-740 จุด ส่งผลกองทุนสร้างผลตอบแทนสูงถึง 15% จาก 7-8% ในปัจจุบัน ล่าสุด NAV เพิ่มแล้ว 48% ชี้สภาพคล่องเหลือสูงถึง 1.5 หมื่นล้านลุยหุ้นพื้นฐานดี
       
        วานนี้(24 ก.ย.) นายโอฬาร ไชยประวัติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมดำเนินการลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์1 เปิดว่า ได้รับฟังสภาพตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากผู้จัดการกองทุนทั้ง 2 แห่ง คือ บลจ.เอ็มเอฟซี และบลจ.กรุงไทย รวมถึงหารือเรื่องการขยายขอบเขตของการลงทุนกองทุนฯ เพิ่มขึ้นจากหุ้นที่ 26 ตัวที่กระทรวงการคลังถืออยู่ด้วย เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาและวางกลยุทธ์ในการลงทุนต่อไป
        ทั้งนี้ ทรัพย์สินในส่วนของ 30,000 ล้านบาท จากทั้งหมด 100,000 ล้านบาทของกองทุนนั้น
       ที่ผ่านมากองทุนฯ ได้ลงทุนระยะสั้นเพียง 5,000 ล้านบาทเท่านั้นเมื่อรวมกับการลงทุนระยะยาวแล้วยังมีสภาพคล่องเหลือ 15,000 ล้านที่สามารถเข้าลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งหุ้นที่นอกเหนือจาก 26 ตัวเดิมนั้นต้องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบก่อนโดยในวันจันทร์ที่ 27 ก.ย. 47 นี้ จะนำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานกองทุนฯ ที่มีนายสมใจนึก เองตระกูล เป็นประธานพิจารณาก่อนที่จะเสนอให้ ครม. ได้รับทราบโดยเร็วที่สุด
        ทั้งนี้ ในเบื้องต้นคาดว่า เมื่อขยายกรอบการลงทุนแล้ว จะทำให้มีหุ้นที่ลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 70 ตัว ซึ่งในหุ้น 70 ตัวนี้ มีมูลค่าตลาดรวม (Market Cap) ประมาณ 70-80% เฉพาะใน SET 50 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของมูลค่าตลาดรวม
        สาเหตุที่กองทุนรวมวายุภักษ์ต้องขยายขอบเขตการลงทุนนั้น เพราะเท่าที่ได้ลงทุนไปแล้ว 15,000 ล้านบาทนั้น ยังมีข้อจำกัดในด้านการลงทุนอยู่ อาทิ การจำกัดให้ต้องลงทุนเฉพาะหุ้น 26 ที่กระทรวงการคลังถืออยู่นั้น ถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่มาก ประกอบกับการหมุนเวียนในตลาดมีน้อย จึงควรขยายให้ครอบคลุมมากขึ้น
        ทั้งนี้จากมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน (NAV) 100,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้เพิ่มเป็นประมาณ 148,000 ล้านบาท หรือ คิดเป็นสัดส่วน 48% แล้ว ซึ่งเชื่อว่า ณ สิ้นปี 2547 นี้ ผลตอบแทนของกองทุนจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับมูลค่าผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งคาดว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงสิ้นปีดัชนีจะอยู่ที่ 730-740 จุด สำหรับผลตอบแทนที่จะผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับนั้น ขณะนี้สามารถดำเนินการและได้ผลตอบแทนประมาณ 7-8% แล้ว ซึ่งเชื่อว่าหากได้เข้าไปลงทุนในกลุ่ม SET 50 ก็จะส่งผลผู้ถือหน่วยลงทุนได้ผลตอบแทนประมาณ 14-15% อย่างแน่นอน
        หากรัฐวิสาหกิจตัวใดจะจดทะเบียนเข้าตลาด กองทุนก็จะต้องนำเงินส่วน 30,000 ล้านบาทนั้น เข้าไปซื้อ แต่คงจะไม่เทขายตัวที่ลงทุนอยู่ก่อนหน้านี้ทั้งหมด เพราะรัฐวิสาหกิจทุกตัวก็ทยอยเข้าไม่ได้เข้าพร้อมกัน
        นายศรีภพ สารสาส กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 กล่าวว่า ในส่วนของวงเงิน 70,000 ล้านบาทที่กองทุนรวมวายุภักษ์1 นำไปลงทุนในหลักทรัพย์ตามสิทธิของกระทรวงการคลังจำนวน 11 ตัวนั้น แม้ว่าจะเป็นการเข้าไปลงทุนในระยะยาวแต่ก็สามารถทำการซื้อขายได้เช่นเดียวกัน แต่ในช่วงที่ผ่านมาในส่วน 70,000 ล้านบาทนั้นยังไม่ได้มีการขายออกไปแต่อย่างใด หากจะมีการขายหุ้นออก ตามเงื่อนไขต้องเสนอขายคืนให้กับกระทรวงการคลังก่อน ซึ่งก็ต้องหารือกับกระทรวงการคลังก่อน
        อย่างไรก็ตาม กรณีหุ้นบุริมสิทธิธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB-P) ที่กองทุนเข้าไปถืออยู่ประมาณ 24.9% ซึ่งเกินเพดานที่กำหนด 5% คณะกรรมการกำกับการลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ได้อยู่ระหว่างการทำเรื่องเพื่อเสนอขายหุ้น SCB-P คืนให้กับกระทรวงการคลัง
        นอกจากนี้ บริษัท สยาม พัลพ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือปูนซีเมนต์ไทย จะเสนอซื้อบริษัท ฟีนิกซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ (PPC) คืน 100% ดังนั้นคณะกรรมการฯอยู่ระหว่างการทำเรื่องเพื่อเสนอขายหุ้น PPC คืนให้กับกระทรวงการคลังเพื่อให้กระทรวงการคลังได้นำหุ้นดังกล่าวไปขายให้กับบริษัทสยาม พัลพ์ ต่อไป

ที่มา www.manager.co.th
       

เข้าชม: 1,213

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com