May 18, 2024   6:01:10 PM ICT
ทุนนอกเล็งซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน-ขนส่ง

เหตุราคาถูก-แนวโน้มธุรกิจสดใส ธุรกิจถ่านหินในจีน-อินโดนีเซียไปได้ ขณะที่การแข่งขันในตลาดขนส่งทั่วโลกมีน้อย เปิดช่องทำกำไรต่อเนื่องตลอด 3 ปีข้างหน้า

กองทุนต่างชาติมองตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน จ้องทำกำไรจากหุ้นพลังงานกับขนส่ง โดยเฉพาะบ้านปู และโทรีเซนไทย เอเยนซีส์ เป็นผลจากคาดการณ์ธุรกิจถ่านหินในจีน และอินโดนีเซียยังไปได้สวย ขณะที่การแข่งขันในตลาดขนส่งทั่วโลกมีน้อย เปิดช่องทำกำไรต่อเนื่องตลอด 3 ปีข้างหน้า

นายแลนซ์ เดพิว ผู้จัดการกองทุนของเควส แคปิตอล ซึ่งมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทย 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณกว่า 7 พันล้านบาท ให้ข้อมูลกับฟาร์อีสเทิร์น อีโคโนมิค รีวิว นิตยสารเศรษฐกิจชั้นนำของเอเชียว่า เขามองตลาดหุ้นไทยยังสดใสน่าลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มขนส่งอย่างโทรีเซนไทย เอเยนซีส์ ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายธุรกิจเพิ่มจำนวนเรือเป็น 2 เท่า และสามารถทำรายได้เป็นเงินสดหมุนเวียนจำนวนมาก จากการขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์ทางเรือไปยังจีน

นายเดพิวอธิบายว่า หุ้นโทรีเซนไทย เอเยนซีส์ ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 40 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นมูลค่าต่ำเกินจริง พร้อมคาดการณ์การเสนอบริการขนส่งทางเรือรายใหม่จากทั่วโลก น่าจะปรากฏให้เห็นหลังปี 2550 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว จะส่งผลดีช่วยให้ธุรกิจและหุ้นบริษัทขนส่งรายนี้สดใส หุ้นมีโอกาสขยับขึ้นเป็น 60 บาทภายในปีนี้

นอกจากนี้ นายเดพิวยังชื่นชอบหุ้นกลุ่มพลังงานอย่างบ้านปู เพราะบ้านปูผลิตสินค้าป้อนตลาดจีน ซึ่งบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์หลายอย่างรวมถึงถ่านหินเพิ่มมากขึ้น และเป็นการนำเข้าถ่านหินเพื่อสนองความต้องการพลังงานในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยบ้านปูมีกำหนดจะเปิดเหมืองถ่านหินแห่งใหม่ในอินโดนีเซียปีนี้ ซึ่งเหมืองถ่านหินดังกล่าว คาดว่า จะผลิตถ่านหินมีคุณภาพดีที่สุดให้กับเอเชียได้

ทั้งนี้นายเดพิวมองว่า บ้านปูน่าจะทำธุรกิจได้ดีที่สุดในจีน พร้อมคาดการณ์จากแนวโน้มธุรกิจดังกล่าว จะช่วยให้ราคาหุ้นบ้านปูเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 154 บาท ไปแตะระดับ 200 บาทต่อหุ้น ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

ความเห็นของนายเดพิวสอดรับกับนางสาวอลิซาเบธ ซูน ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนแถบแปซิฟิกของสแตนดาร์ด ไลฟ์ อินเวสต์เมนต์ ในฮ่องกง ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารงานทั่วเอเชีย 3.5 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.4 แสนล้านบาท กล่าวว่า ยังคงยึดจุดยืนต้องระวังและรอบคอบกับการลงทุนในหุ้นไทยปีนี้ ซึ่งเบื้องต้นกองทุนมีเป้าหมายจะเข้าลงทุนในหุ้นเกี่ยวข้องกับพลังงาน และเป็นหุ้นมีพลวัตทำกำไรแข็งแกร่งอย่างหุ้น ปตท.

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ทำงานและบริหารงานได้ดีมากในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราค่อนข้างแน่ใจว่าเขาจะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาใหม่อีกครั้ง และควรช่วยให้หุ้นไทยปรับขึ้นได้อย่างน้อยในระยะสั้น นางสาวซูนกล่าว ขณะที่นักวางแผนลงทุนระดับภูมิภาคเห็นด้วยว่า ตลาดหุ้นน่าจะปรับขึ้นก่อนมีการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศในเดือนม.ค.ปีหน้า

โดยรายงานอ้างข้อมูลจากรายงานของ บล.ภัทร ย้อนประเมินดูว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา บรรดานักลงทุนมีพฤติกรรมเข้าไปซื้อหุ้นช่วง 3 เดือนก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง และจากนั้นอีก 6 เดือน จึงจะขาย ซึ่งตามสถิติช่วงนั้นกำไรจะปรับขึ้นอยู่ระหว่าง 10%-30%

ขณะที่นายธีรพงษ์ วัชิรพงศ์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ บล.ภัทร เชื่อว่าเศรษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่ง จะผลักดันให้กำไรบริษัทโดยเฉลี่ยเพิ่มถึง 25% ในปีนี้ สำหรับหุ้นที่บล.ภัทรเลือกลงทุนคือชินคอร์ป, ปูนซิเมนต์ไทย และธนาคารกรุงเทพ เพราะเชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาคเอกชนและภาครัฐตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป

อัตราการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมในภาคธุรกิจต่างๆ อยู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติปี 2540 ขณะที่รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะใช้เงินเพื่อโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคใหม่มากถึง 1 ล้านล้านบาทตลอด 5 ปีข้างหน้า ภายใต้สมมติฐานที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาใหม่อีกครั้ง นายธีรพงษ์ตั้งข้อสังเกต

ทั้งนี้ฟาร์อีสเทิร์น อีโคโนมิค รีวิว ให้ข้อมูลว่า ตลาดหุ้นไทยในปีที่แล้วให้ผลตอบแทนดีที่สุดในเอเชีย หากคิดเป็นเงินดอลลาร์ปรับขึ้น 117% แต่ในปีนี้ตลาดหุ้นไทยกลับติดกลุ่มให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดในภูมิภาค เนื่องจากข่าวร้ายหลายเรื่องตั้งแต่ไข้หวัดนก เหตุวุ่นวายภาคใต้และแผนแปรรูปรัฐวิสาหกิจสะดุด ฉุดตลาดติดลบประมาณ 17% นับตั้งแต่เดือนม.ค.ปีนี้

อย่างไรก็ตาม การเทขายอย่างหนักของนักลงทุนต่างชาติในช่วงปีนี้ ทำให้ตลาดหุ้นไทยติดหนึ่งในกลุ่มตลาดที่มีหุ้นราคาถูกที่สุดในภูมิภาค และปัจจุบันหุ้นมีการซื้อขายที่ค่าพีอีโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าตลาดเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์และฟิลิปปินส์

เหตุราคาถูก-แนวโน้มธุรกิจสดใส ธุรกิจถ่านหินในจีน-อินโดนีเซียไปได้ ขณะที่การแข่งขันในตลาดขนส่งทั่วโลกมีน้อย เปิดช่องทำกำไรต่อเนื่องตลอด 3 ปีข้างหน้า

กองทุนต่างชาติมองตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน จ้องทำกำไรจากหุ้นพลังงานกับขนส่ง โดยเฉพาะบ้านปู และโทรีเซนไทย เอเยนซีส์ เป็นผลจากคาดการณ์ธุรกิจถ่านหินในจีน และอินโดนีเซียยังไปได้สวย ขณะที่การแข่งขันในตลาดขนส่งทั่วโลกมีน้อย เปิดช่องทำกำไรต่อเนื่องตลอด 3 ปีข้างหน้า

นายแลนซ์ เดพิว ผู้จัดการกองทุนของเควส แคปิตอล ซึ่งมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทย 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณกว่า 7 พันล้านบาท ให้ข้อมูลกับฟาร์อีสเทิร์น อีโคโนมิค รีวิว นิตยสารเศรษฐกิจชั้นนำของเอเชียว่า เขามองตลาดหุ้นไทยยังสดใสน่าลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มขนส่งอย่างโทรีเซนไทย เอเยนซีส์ ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายธุรกิจเพิ่มจำนวนเรือเป็น 2 เท่า และสามารถทำรายได้เป็นเงินสดหมุนเวียนจำนวนมาก จากการขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์ทางเรือไปยังจีน

นายเดพิวอธิบายว่า หุ้นโทรีเซนไทย เอเยนซีส์ ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 40 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นมูลค่าต่ำเกินจริง พร้อมคาดการณ์การเสนอบริการขนส่งทางเรือรายใหม่จากทั่วโลก น่าจะปรากฏให้เห็นหลังปี 2550 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว จะส่งผลดีช่วยให้ธุรกิจและหุ้นบริษัทขนส่งรายนี้สดใส หุ้นมีโอกาสขยับขึ้นเป็น 60 บาทภายในปีนี้

นอกจากนี้ นายเดพิวยังชื่นชอบหุ้นกลุ่มพลังงานอย่างบ้านปู เพราะบ้านปูผลิตสินค้าป้อนตลาดจีน ซึ่งบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์หลายอย่างรวมถึงถ่านหินเพิ่มมากขึ้น และเป็นการนำเข้าถ่านหินเพื่อสนองความต้องการพลังงานในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยบ้านปูมีกำหนดจะเปิดเหมืองถ่านหินแห่งใหม่ในอินโดนีเซียปีนี้ ซึ่งเหมืองถ่านหินดังกล่าว คาดว่า จะผลิตถ่านหินมีคุณภาพดีที่สุดให้กับเอเชียได้

ทั้งนี้นายเดพิวมองว่า บ้านปูน่าจะทำธุรกิจได้ดีที่สุดในจีน พร้อมคาดการณ์จากแนวโน้มธุรกิจดังกล่าว จะช่วยให้ราคาหุ้นบ้านปูเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 154 บาท ไปแตะระดับ 200 บาทต่อหุ้น ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

ความเห็นของนายเดพิวสอดรับกับนางสาวอลิซาเบธ ซูน ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนแถบแปซิฟิกของสแตนดาร์ด ไลฟ์ อินเวสต์เมนต์ ในฮ่องกง ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารงานทั่วเอเชีย 3.5 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.4 แสนล้านบาท กล่าวว่า ยังคงยึดจุดยืนต้องระวังและรอบคอบกับการลงทุนในหุ้นไทยปีนี้ ซึ่งเบื้องต้นกองทุนมีเป้าหมายจะเข้าลงทุนในหุ้นเกี่ยวข้องกับพลังงาน และเป็นหุ้นมีพลวัตทำกำไรแข็งแกร่งอย่างหุ้น ปตท.

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ทำงานและบริหารงานได้ดีมากในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราค่อนข้างแน่ใจว่าเขาจะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาใหม่อีกครั้ง และควรช่วยให้หุ้นไทยปรับขึ้นได้อย่างน้อยในระยะสั้น นางสาวซูนกล่าว ขณะที่นักวางแผนลงทุนระดับภูมิภาคเห็นด้วยว่า ตลาดหุ้นน่าจะปรับขึ้นก่อนมีการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศในเดือนม.ค.ปีหน้า

โดยรายงานอ้างข้อมูลจากรายงานของ บล.ภัทร ย้อนประเมินดูว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา บรรดานักลงทุนมีพฤติกรรมเข้าไปซื้อหุ้นช่วง 3 เดือนก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง และจากนั้นอีก 6 เดือน จึงจะขาย ซึ่งตามสถิติช่วงนั้นกำไรจะปรับขึ้นอยู่ระหว่าง 10%-30%

ขณะที่นายธีรพงษ์ วัชิรพงศ์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ บล.ภัทร เชื่อว่าเศรษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่ง จะผลักดันให้กำไรบริษัทโดยเฉลี่ยเพิ่มถึง 25% ในปีนี้ สำหรับหุ้นที่บล.ภัทรเลือกลงทุนคือชินคอร์ป, ปูนซิเมนต์ไทย และธนาคารกรุงเทพ เพราะเชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาคเอกชนและภาครัฐตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป

อัตราการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมในภาคธุรกิจต่างๆ อยู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติปี 2540 ขณะที่รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะใช้เงินเพื่อโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคใหม่มากถึง 1 ล้านล้านบาทตลอด 5 ปีข้างหน้า ภายใต้สมมติฐานที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาใหม่อีกครั้ง นายธีรพงษ์ตั้งข้อสังเกต

ทั้งนี้ฟาร์อีสเทิร์น อีโคโนมิค รีวิว ให้ข้อมูลว่า ตลาดหุ้นไทยในปีที่แล้วให้ผลตอบแทนดีที่สุดในเอเชีย หากคิดเป็นเงินดอลลาร์ปรับขึ้น 117% แต่ในปีนี้ตลาดหุ้นไทยกลับติดกลุ่มให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดในภูมิภาค เนื่องจากข่าวร้ายหลายเรื่องตั้งแต่ไข้หวัดนก เหตุวุ่นวายภาคใต้และแผนแปรรูปรัฐวิสาหกิจสะดุด ฉุดตลาดติดลบประมาณ 17% นับตั้งแต่เดือนม.ค.ปีนี้

อย่างไรก็ตาม การเทขายอย่างหนักของนักลงทุนต่างชาติในช่วงปีนี้ ทำให้ตลาดหุ้นไทยติดหนึ่งในกลุ่มตลาดที่มีหุ้นราคาถูกที่สุดในภูมิภาค และปัจจุบันหุ้นมีการซื้อขายที่ค่าพีอีโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าตลาดเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์และฟิลิปปินส์

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

เข้าชม: 1,342

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com