เนื่องจากการลงทุนในหุ้น เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หรือเงินฝากธนาคาร จึงทำให้ผลตอบแทนคาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นจึงสูงกว่าการลงทุนประเภทอื่น อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นจะเปรียบเหมือน "มหาสมุทรแห่งความมั่งคั่ง" แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะประสบความสำเร็จจากการลงทุนในตลาดหุ้น

สำหรับ "ณสุ จันทร์สม" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อยุธยา มองว่า หลักการของ Dollar Cost Averaging นั้น ทางทฤษฎีแล้วถือว่าเป็นหลักการที่ดี และหากผู้ลงทุนสามารถที่จะนำมาปฏิบัติได้จริง ก็เชื่อว่าน่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นเดียวกัน เพราะจะช่วยทำให้ต้นทุนในการลงทุนในหุ้นโดยรวมของผู้ลงทุนต่ำกว่าราคาตลาด

อย่างไรก็ตาม หากคุณสามารถที่จะจับจังหวะการลงทุนในตลาดหุ้น (Timing) ได้ โอกาสของผลตอบแทนที่จะได้รับก็จะแตกต่างกันมาก คนสองคนเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นในจังหวะที่ต่างกันนิดเดียว คนหนึ่งกำไร แต่อีกคนหนึ่งกลับขาดทุน เพราะฉะนั้น จังหวะในการลงทุนก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกัน

โดยส่วนตัวคิดว่า ถ้าผู้ลงทุนเข้าใจอารมณ์ของตลาด ไม่ต้องใช้ Dollar Cost Averaging ก็ได้ หากเข้าใจว่าตลาดในตอนนั้นปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดเป็นปัจจัย ที่เกิดจาก "ความกลัว" ซึ่งกำลังทำงานอยู่ ก็เข้าซื้อหุ้นในช่วงนั้น คือซื้อตอนที่ตลาดหุ้นปรับตัวลง และขายตอนที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ถ้าผู้ลงทุนมีความรู้และมีความเข้าใจมากเพียงพอคิดว่า Dollar Cost Averaging ก็ไม่จำเป็น

"เพียงแต่ผู้ลงทุนจะต้อง แบ่งกระสุนให้เป็น ผมว่าทุกคนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในหุ้น ไม่ว่าจะเป็นวอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาใข้ทฤษฎีการแบ่งกระสุนทั้งนั้น คือ ไม่ใช่ซื้อตูมเดียวหมด แต่คนส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น แล้วพอผิดปุ๊บ ก็มักจะเสียหายจากการลงทุนค่อนข้างเยอะ"

ณสุ บอกว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่ จะแบ่งกระสุนเป็น สมมติมีเงินลงทุนในหุ้น 100 บาท เขาก็จะแบ่งเป็นไม้ๆ พอเขาเข้าไปซื้อหุ้นไม้แรก หากหุ้นปรับตัวลงมาอีก เขาก็จะมีกระสุน (เงิน) ที่จะเข้าไปลงทุนเพิ่ม

ดังนั้น หากผู้ลงทุนมีความรู้ความเข้าใจอาจจะรอดูจังหวะในการลงทุนได้ แต่ให้แบ่งกระสุนเอาไว้ด้วย "คิดอย่างนี้ดีกว่า ไม้แรกคุณเข้าไป ถ้าคุณถูก คุณก็ได้กำไร แต่กำไรน้อย แต่ถ้าคุณผิด คุณมีไม้ที่สอง แต่ถ้าคุณเข้าไปไม้เดียวตูมแล้วผิด คุณน็อคเลยนะ ดังนั้น เข้าไปเป็นไม้ๆ คือถ้ามี 100 บาท แบ่งไว้สัก 5 ไม้ เข้าไปไม้ละ 20 บาท ถ้าหุ้นขึ้นมา กำไรอาจจะได้น้อยแต่ก็ยังได้ ถ้าคุณลงทุนก็ควรจะมีกำไร

เพราะฉะนั้นการลงทุนในหุ้น คุณต้องบริหารเงินของคุณให้ดี กำไรน้อยดีกว่าขาดทุนเยอะ

กรุงเทพธุรกิจ